ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

วัฒนธรรม Furry : อัตลักษณ์ ตัวตน มนุษย์และสัตว์ ผ่านงานของ Joe Strike เรื่อง Furry Nation โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

หนังสือชื่อ Furry Nation: The True Story of America’s Most Misunderstood Subculture (2017) โดย Joe Strike ซึ่งเป็นสมาชิกแฟน Furry ตั้งแต่ยุค 1980s รวมทั้งเป็นนักเขียนที่มีผลงานเกี่ยวกับภาพยนตร์ งานแอนิเมชั่น และวัฒนธรรมป๊อป เขาเล่าเรื่องราวของชุมชน Furry ตั้งแต่รากฐานทางประวัติศาสตร์จนถึงวัฒนธรรมร่วมสมัย ผ่านบทสัมภาษณ์และประสบการณ์ตรงของผู้ก่อตั้งและผู้เข้าร่วม เช่น การสร้าง fursuit และความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังมัน เขาใช้วิธีการเล่าเรื่องด้วยสัมภาษณ์บุคคลจริง เชื่อมโยงกับประสบการณ์ของ Joe Strike ที่เป็นผู้เขียนเองด้วย โดยมีภาพถ่ายแฟนเก่า fanzine, โปสเตอร์จัดงาน Furry Party ยุค 1980s–1990s และรูปภาพงาน Anthrocon งานแฟนคอนที่ใหญ่ที่สุดของวงการFurry Joe Strike เล่าเส้นทาง Furry fandom ที่เริ่มจากกลุ่มเล็กในงาน sci-fi convention ในยุค 80s ไต่ระดับขยายตัวเมื่ออินเทอร์เน็ตเกิดขึ้นใน 90s และกลายเป็นกลุ่มวัฒนธรรมร่วมสมัย มีศิลปะ furry, fursuit, และงาน convention ที่เป็นพื้นที่สร้างสรรค์และยอมรับตัวตนของคนที่ชื่นชอบสิ่งเหล่านี้อย่างเปิดเผย Joe Strike ไม่ได้เน้นแค่ภาพด้านสว่าง ด้านสวยงาม ของวงการ Furry อย่างเดียว แต่ลงลึกถึงเรื่อง stigma, ด้านมืด, หรือความเข้าใจผิด ที่ Furry fandom เคยเผชิญ ทั้งปัญหาในสายข่าวหรือสื่อ และภาพลักษณ์ไม่ดีจากสังคม ผมชอบเรื่องเล่าที่สะท้อนผ่านมุมมองประสบการณ์ของผู้เขียน หนังสือผสมปนกับเรื่องส่วนตัวของ Joe Strike ซึ่งเขาเล่าว่าตัวเองมี “alligator fursona” เพราะมันสะท้อนตัวตนลึก ๆ ของเขา ซึ่งช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจว่า Fursona มักเป็นตัวแทนของตัวตนที่แท้จริงของคนสร้างมัน หนังสือถ่ายทอดเรื่องราวผ่านการสัมภาษณ์ทั้ง “greymuzzles” (แฟนรุ่นบุกเบิก) เช่น Mark Merlino, Rod O’Riley, Uncle Kage และคนเบื้องหลังวงการ เช่น ศิลปิน furry, ช่างทำ fursuit, นักข่าว, ผู้บริหารงานท่องเที่ยวเมืองที่จัด Anime/Furry convention รวมทั้ง ปรากฏการณ์การแพร่ของ fandom ผ่าน sci-fi cons และ furry partiesที่เริ่มจากฝั่ง West Coast แล้วแพร่ไปฝั่งตะวันออก การรวมตัวของ fandom จากกลุ่มเล็กสู่วงกว้างความเชื่อมโยงผ่านสื่อ เช่น fanzines, underground comix, TMNT ฯลฯ ดังนั้น Furry คือความหลากหลาย ซึ่งไม่จำกัดอยู่ที่ fursuits เพียงอย่างเดียว แต่มีรูปแบบการแสดงออกอื่น อย่าง art หรือ fursona; และมุมมองของ Dr. Kathy Gerbasi ผู้ก่อตั้ง Furscience ถูกหยิบมาเล่า คำสำคัญในหนังสือ ที่ทำให้เราเข้าใจประเด็นเรื่องของ Furry มากขึ้นเช่น Furry Fandom คือชุมชนคนที่สนใจตัวละครสัตว์ที่มีลักษณะและพฤติกรรมแบบมนุษย์ (anthropomorphic animals) ที่ไม่ใช่แค่การแต่งชุดสัตว์ แต่รวมถึงศิลปะ วรรณกรรม การ์ตูน ภาพยนตร์ และกิจกรรมร่วมกัน ตัวอยางเข่น การพบปะในงานคอนเวนชันเช่น Anthrocon หรือ กลุ่มวาดภาพออนไลน์ที่แลกเปลี่ยน fan art คำว่า Anthropomorphism คือการให้คุณสมบัติ แบบมนุษย์กับสัตว์ หรือสิ่งไม่มีชีวิต หากมองในเชิงมานุษยวิทยาเป็นการสร้างสะพานเชื่อมระหว่างคนกับสิ่งอื่น ตัวละคร นิมาน ภาพยนต์หรือการ์ตูนอย่างเช่น Bugs Bunny, Mickey Mouse การใช้สัตว์เป็นตัวแทนบุคลิกหรือสะท้อนคุณค่ามนุษย์ ส่วน Fursona คือตัวตนในโลก Furry ที่สร้างขึ้นโดยสมาชิก เป็นการผสมตัวเองในอุดมคติกับลักษณะของสัตว์ ทำหน้าที่ทั้งเป็น avatar ในโลกออนไลน์ และเป็นเครื่องมือในการสำรวจอัตลักษณ์ โดยคนหนึ่งอาจมี Fursona เป็นสุนัขหมาป่าเพราะชอบความภักดีและความแข็งแกร่ง บางคนเลือกสัตว์หายากเพื่อสะท้อนความรู้สึกไม่เหมือนใคร และเหตุผลอื่น ๆ เฉพาะตัว สิ่งที่ผมเห็นเกี่ยวกับความน่าสนใจของความคิดเรื่อง Furry และ Fursona มีดังนี้คือ 1. การสะท้อนแนวคิดเรื่อง “ภาวะมนุษย์—สัตว์ (anthropomorphism)” เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ Joe Strike ชี้ว่า “anthropomorphism” ไม่ใช่สิ่งเพิ่งเกิด แต่คือสิ่งที่ฝังอยู่ในจิตใจมนุษย์มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จากภาพวาดในถ้ำ เทวรูป ไปจนถึงนิทานพื้นบ้านและพิธีกรรมทางศาสนา เช่นเขาเปรียบเทียบจากตำนานเทพเจ้า เช่น Zeus กับ Leda ที่เป็นหงส์ แสดงถึง “DNA วัฒนธรรมสัตว์มนุษย์ ที่ฝังลึกอยู่ในวัฒนธรรมมนุษย์ 2. Fursona คือ ตัวตนที่เลือกได้ (Chosen Identity) ใน Furry Nation Joe Strike อธิบายว่า fursona คือร่างอวตารสัตว์ที่ผู้เข้าร่วม Furry fandom สร้างขึ้นเพื่อแทนตัวเองในโลกแฟนดอม ไม่ใช่แค่คอสเพลย์ แต่เป็น การประกาศตัวตน โดยผู้สร้าง fursona จะเลือก สายพันธุ์ ลักษณะ สี ขน เสื้อผ้า บุคลิก ที่สะท้อนทั้งสิ่งที่พวกเขารู้สึกว่าตัวเองเป็น และสิ่งที่พวกเขาอยากเป็น Fursona บางตัวใกล้เคียงกับเจ้าของมาก ในขณะที่บางตัวตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง เพื่อเป็นพื้นที่ทดลองบทบาทใหม่ในสังคม ดังเช่น Joe Strike มี fursona เป็น “จระเข้” (alligator) ซึ่งเขาเล่าว่ามันเป็นสัตว์ที่มีภาพลักษณ์ดุ แข็งแรง แต่ก็มีความลึกลับและน่าเอ็นดูในบางมุม—คุณสมบัติที่เขารู้สึกว่าอยู่ในตัวเขาเองแต่ไม่สามารถแสดงออกในชีวิตประจำวันได้ 3 Fursona ในฐานะตัวตนที่สอง (Second Self) Joe อ้างถึงคำอธิบายจากนักวิจัยใน Furscience ว่า fursona มักทำหน้าที่เป็น ideal self หรือ “ตัวตนในอุดมคติ” ที่ช่วยให้ผู้คนสำรวจและทดลองความเป็นไปได้ของตัวเอง ซึ่งนักมานุษยวิทยาอาจมองว่ามันคือ liminal identity ตัวตนกึ่งกลางระหว่างความจริงกับโลกสมมติ Fursona เปิดพื้นที่ให้เจ้าของแสดงพฤติกรรมที่ในโลกจริงอาจถูกจำกัดด้วยเพศ วัย อาชีพ หรือค่านิยมสังคม ตัวอย่างเชิงรูปธรรมเช่น มีแฟน Furry ที่เป็น introvert ในชีวิตจริง แต่ fursona ของเขาเป็นหมาป่าที่มั่นใจและชอบเข้าสังคม พอเข้าร่วม convention เขาสามารถใช้ fursona นี้พูดคุยกับคนแปลกหน้าได้อย่างสบายใจ การเลือกสายพันธุ์และสัญลักษณ์ หนังสือเล่าว่าการเลือกสัตว์ไม่ได้สุ่ม แต่สะท้อนคุณลักษณะหรือความฝันของเจ้าของ เช่น หมาป่า (wolf) คือ อิสระ ความภักดี กลุ่มเพื่อน สุนัขจิ้งจอก (fox) คือ ความฉลาด เจ้าเล่ห์ มีเสน่ห์ มังกร (dragon) คือ พลัง ความลึกลับ ความสร้างสรรค์สัตว์สมมติหรือผสมพันธุ์ (hybrid) คือ การปฏิเสธข้อจำกัดของหมวดหมู่เดิม ๆ Fursona ในเชิงมานุษยวิทยา 4. หากมองจากมุม anthropology of performance (Victor Turner, Erving Goffman) Fursona ทำหน้าที่คล้าย “mask” ในพิธีกรรมถือเป็นการเปลี่ยนบทบาทและสถานภาพชั่วคราว เพื่อสำรวจและแสดงสิ่งที่อยู่ข้างใน ก็คล้ายการใช้หน้ากากในพิธีพื้นเมืองที่ช่วยให้ผู้สวมเป็น “สิ่งอื่น” ได้อย่างถูกยอมรับ ซึ่งเป็นกระบวนการ playful identity construction ที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในกรอบอัตลักษณ์เดิมก็ได้ ผลกระทบต่อชีวิตจริง Joe Strike ชี้ว่า fursona ไม่ได้อยู่แค่ในโลกออนไลน์หรือ convention แต่หลายคนเอาคุณสมบัติของ fursona กลับไปใช้ในชีวิตจริง เช่น กล้าเข้าสังคมมากขึ้น กล้าพูดในที่สาธารณะ รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ตัวอย่างในหนังสือดังเช่น สมาชิก Furry คนหนึ่งเล่าว่า ก่อนมี fursona เขาไม่กล้าเต้นหรือพูดต่อหน้าคนมาก แต่หลังจากใส่ชุดและสวมบท fursona ในงานคอน เขาพบว่าตัวเองสามารถเต้นท่าบ้าบิ่นและพูดคุยกับคนได้ และหลังจากนั้นก็สามารถทำได้แบบนี้ได้แม้ไม่มีชุด ประเด็นเหล่านี้เปิดโลกสำหรับผมมากและน่าสนใจในการให้คำแนะนำกับนักศึกษาสารนิพนธ์ของตัวเอง ในการอ่านงานหรือหนังสือหลายเล่มในฝั่งต่างประเทศมาก ๆ และเปรียบเทียบกับบริบทของสังคมไทย เริ่มสนุกขึ้นมาแล้ว ที่จะท้าทายนักศึกษา…

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พิธีกรรม สัญลักษณ์ และ Victor Turner โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

  พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ  Victor turner  ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก  Arnold Van Gennep  ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา  (Periodicity)  ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์   จะทำอะไร   จะปลูกอะไร   ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ   ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคม ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ   โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น  3  ระยะคือ 1.rite of separation  หรือขั้นของการแยกตัว   ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม   ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์  (purification rites)  เช่น   การโกนผม   การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย   รวมถึงการตัด   การสร้างรอยแผลเป็น   การขลิบ  (scarification or cutting)  ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 2.rite of transition  เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ   โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...