ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

สินค้าสุขภาพ นัฐวุฒิ สิงห์กุล

ลักษณะของสินค้าทั่วไป ความต้องการซื้อ (Demand)และความต้องการขาย (Supply) จะต้องมีความสมดุลกัน รวมทั้งการมีข้อมูลข่าวสารหรือ Information ระหว่างผู้ซื้อผู้ขายจะต้องเข้าใจ สิ่งเหล่านี้ถือเป็นกลไกลตลาดตามปกติ (ข้อสังเกตคือดูเหมือนอำนาจของผู้ซื้อและผู้ขายจะเท่ากัน ทั้งดีมานและซัพพายจะต้องสมดุลสอดคล้องกัน ผู้ซื้อและผู้ขายต้องมีข้อมูลเท่าเทียมกัน เหมือนเราซื้อสบู่เราก็ต้องรู้ส่วนประกอบ สรรพคุณ)
สิ่งดังกล่าวข้องต้นเป็นเรื่องขอองสินค้าทั่วไป แต่ถ้าเป็นสินค้าสาธารณสุข หรือสินค้าด้านสุขภาพ แม้ว่าจะมีการจำหน่ายในท้องตลาดเช่นเดียวกันแต่ก็มีความแตกต่างกันดังนี้
1.การเข้าออกอย่างเสรีระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ถ้าเทียบกับตลาดทั่วไป จะพบว่า ผู้ซื้อเสรี แต่ผู้ขายไม่เสรี (คนซื้อจะเข้ามาขายสินค้าเหล่านี้ต้องมีใบประกอบโรคศิลป์ มีสถาบันทางการแพทย์รับรอง ต้องเป็นพยาบาล เภสัชกร ดังนั้นการเข้ามาไม่ได้เสรี) ในขณะเดียวกันผู้ซื้ออาจจะไม่เสรีเช่นกัน เช่น อยู่ๆคุณจะเดินเข้าไปผ่าตัดสมองทำไม่ได้ หรือการซื้อยาบางตัวต้องให้หมอสั่ง ดังนั้นมันมีการกำหนดหรือจำกัดผู้ขาย เกิดสิ่งที่เรียกว่า “สภาวะเสมือนกึ่งตลาดผูกขาด” ผู้ซื้อมีมาก ผู้ขายมีน้อยหรือมีจำกัด ทำให้เกิดสภาวะเสมือนหนึ่งตลาดผูกขาด เกิดสภาวะ Supply induce demand คือ สภาวะที่คนขายสามารถสร้างให้เกิดดีมานหรือความต้องการได้  เช่น เปิดร้าขายก๋วยเตี๋ยวอยากให้คนรู้จักคนมากินก็อาจต้องโฆษณา ในทางสาธารณสุขก็เช่นเดียวกัน Supply หรือ supplier สามารถ Induce ให้เกิด Demand ได้ เช่น หมอตรวจร่างกายแล้วบอกว่าคุณต้องมาผ่าตัด หรือต้องผ่าตัด ทำให้คุณต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัด ดังนั้นกลไกลการเข้าออกเสรีมันทำไม่ได้
2. ธรรมชาติของความต้องการ (Demand) มันมีสิ่งที่เรียกว่า Uncertainly of demand  คือเราไม่สามารถรู้ว่าเมื่อไหร่เราจะมี demand ต่อสินค้าชนิดนั้น เช่นเดียวกับว่า เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เราจะเจ็บป่วย ตัวอย่างเช่น บางทีอยู่ดีๆเดินไปก็หกล้มขาหัก โดนกิ่งไม้หล่นใส่หัวจนหัวแตก สิ่งเหล่านี้เราคาดการณ์ไม่ได้ แต่ถึงแม้ว่าในชีวิตของเราจะ unciertainly แต่ก็ยังมีโรงพยาบาลอยู่ แต่Uncertainly ก็นำไปสู่ค่าใช้จ่ายที่คนจำนวนมากไม่สามารถรับผิดชอบได้  เรียกว่า catastrophy Illness หรือ ความเจ็บป่วยที่เป็นหายนะต่อคนซื้อ นำไปสู่ Catastrophy ของค่าใช้จ่าย
3. เนื่องจากมันมี information ที่ไม่เท่ากัน ผู้ขายมี Information อยู่อย่างเหลือเฟือ ในขณะที่ผู้ซื้อมีข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์  (Imperfect information) เช่น หมอบอกต้องผ่าตัดก็ต้องผ่าตัด
4. ความจำกัดในการเข้าสู่ตลาด Restriction of entry คนที่เข้ามาต้องมีใบประกอบโรคศิลป์ มีสถาบันรับรอง
5. สินค้าทั่วๆไป คุณจะซื้อไม่ซื้อคนอื่นไม่เดือดร้อน เป็นเรื่องเฉพาะตัว แต่สินค้าสาธารณสุขมีผลต่อคนอื่นด้วย เราเรียกว่า Externalities มีทั้งทางบวกและทางลบ ทางลบ เช่น คุณเป็น TB คุณมานั่งเรียนก็จะแพร่กระจาย TB ให้กับคนอื่นในห้อง อันนี้ถือว่าเป็นผลกระทบทางลบ ในทางกลับกัน ถ้าเป็นทางบวก  คนในห้อง 10 คนฉีดวัคซีน 9 คน อีกหนึ่งคนไม่ต้องฉีดก็ไม่เป็นโรค เกิดสภาวะคุ้มครองหมู่ “Herd Immunity” คนที่เหลือไม่ต้องฉีดเพราะคุณได้รับวัคซีน 90 % อีก 10 % ไม่ต้องคุ้มครองได้ 100 %  ถือว่าได้รับผลประโยชน์ไปด้วย อันนี้อธิบายในแง่วิทยาศาสตร์ ในทางสังคมศาสตร์ เรื่องการไม่ทิ้งขยะ สมมติคน 90 % ไม่ทิ้งขยะ เก็บขยะเป็นที่ คนมีวินัย แม้ว่าคุณเป็น 10 % ที่ไม่มีวินัย ไม่ใส่ใจ แต่สุดท้ายมันจะบังคับให้คุณทำโดยอัตโนมัติ เช่น ในประเทศสิงคโปร์ ดังนั้นถ้าคุณวางแผนเชิงนโยบาย คุณต้องทำตัวเลขให้ขึ้นสูงขึ้น
6. Externality ทางบวก รัฐอยากให้เกิดขึ้น ต้อง ช่วยเหลือด้านการเงินหรืออุดหนุน (Subsidy) บางเรื่อง เพราะรัฐมีหน้าที่ 3 อย่าง คือ จัดหา (Provision) ควบคุม (regulation) และอุดหนุน (Subsidy) การผลิตสินค้าทั่วไป ต้องการกำไร (For Profit)  แต่มันก็มีลักษณะหนึ่งที่เรียกว่า การกระตุ้นหรือส่งเสริมการไม่แสวงหากำไร (Non profit incentive) มันมีส่วนช่วยพัฒนาสาธารณสุขไทย ในต่างประเทศเอาเชื่อมโยงเรื่องการกุศลที่มีส่วนกับงานสาธารณสุข ตัวอย่างโรงพยาบาลศิริราชได้งบประมาณไม่กี่พันล้าน แต่ต้องใช้เงินแต่ละปี 10,000 กว่าล้านบาท อาจต้องยิ่งระดมเงิน โดยจัดงานการกุศล การขอรับบริจาค ขายธงที่ระลึกวันมหิดล เพื่อเอาเงินเข้ามาช่วย เป็นต้น

7.ในทางเศรษฐศาสตร์ มนุษย์ ผู้ซื้อ หรือผู้บริโภค (Consumer)  ดำเนินการอย่างไร คนเราตัดสินใจซื้ออะไรมีเหตุผล 2 อย่าง คือ (1) เพื่อการบริโภค ต้องการความสุข ความเพลิดเพลิน ทำเพื่อบริโภค (2) เพื่อการลงทุน เช่น การซื้อที่ดิน การลงทุนเพื่อการศึกษา เช่นเดียวกันเรื่องสุขภาพมันมีทั้งสองส่วน คือ ทั้ง Consumption เช่น เราไปโรงพยาบาลเพื่อให้หายจากความเจ็บปวด และ Investment คือ การมีสุขภาพดี เป็นการประกันความแข็งแรงและความมีสุขภาพดีอันนำไปสู่รายได้จากการทำงานเพื่อเลี้ยงชีวิต

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ เน้นอยู่ที่ปัจจัยทางชีววิทยาเพ

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเกี่ยวกับการนอนเป็นสิ่งที่ถูกทำให้เป็นเรื่องส่วนตัว(priv

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile Derkhiem ในหนัง