ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความภาษาอังกฤษเรื่อง การจัดการกับความตายและสภาวะใกล้ตาย (Coping witn death and Dying) โดย Colin Murray Parker

บทความภาษาอังกฤษเรื่อง การจัดการกับความตายและสภาวะใกล้ตาย (Coping witn death and Dying) โดย Colin Murray Parker
การตายคือบททดสอบที่สมบูรณ์เมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับมัน เมื่อเรากลายเป็นคนป่วย (patients) ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกหรือทีมงานของผู้เชี่ยวชาญที่ทำการดูแลรักษา ที่จะต้องรับมือจัดการกับสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องที่เรามีประสบการณ์และสามารถที่จะจัดการกับมันได้อย่างง่ายดาย ความตายบ่อยครั้งคือเรื่องของการสูญเสีย แต่มันก็สามารถจะเป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านที่นำไปสู่ความสงบและสันติได้ ความตายอาจจะสะท้อนความผิดพลาดหรือความสำเร็จ การสิ้นสุดหรือการเริ่มต้น เป็นความพ่ายแพ้หรือชัยชนะ ที่พวกเรา(ผู้เชี่ยวชาญที่ดูแลรักษา) จะต้องพยายามปรับปรุงแนวทางของพวกเราในการดูแลรักษา แต่อย่างไรก็ตาม สภาวะแวดล้อม ความตาย ไม่เคยเป็นสิ่งที่คุ้นเคยหรือปกติในชีวิตประจำวันของเราเลย
ในปัจจุบันการดูแลของนักจิตวิทยาเกี่ยวกับความตายและสภาวะใกล้ตาย การสูญเสีย มีการพัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้น ซึ่งจะต้องขอบคุณอย่างมากกับการทำงานของ Hospics[1] หรือสถานที่พักพิงดูแลผู้ป่วย และการจัดการที่หลากหลายเช่น Cruse-Bereavement Care พร้อมกับการให้คำปรึกษาแนะนำในสถานการณ์ของความสูญเสีย  Hospics  ถูกมองว่าเป็นหน่วยของการดูแลสุขภาพเช่นเดียวกับลักษณะของครอบครัวเสมอ ซึ่งรวมถึงตัวคนไข้ ที่ค่อนข้างจะเป็นความสัมพันธ์ของคนไข้กับครอบครัว เช่นเดียวกับทางเลือกพิเศษที่พวกเขาใช้ในช่วงที่มีชีวิตอยู่
สนามที่ใหญ่ที่ให้แนวทางทางส่วนหนึ่งในประเด็นหลักสำหรับการทบทวนงานวิจัยทางด้านการแพทย์และวิทยาศาสตร์ที่อยู่ภายใต้วิธีปฏิบัติและทฤษฎีที่ผู้เขียนจะได้ทำการบรรยาย สิ่งที่ผู้อ่านสนใจจะพบข้อมูลเหล่านี้ในหนังสือของ Kauffman (2002)  Kisssane and Bloch (2002)และ Parker and Marcus (1988) ที่ให้รายละเอียดที่มากสำหรับการทดสอบเกี่ยวกับทฤษฎีและการปฏิบัติในการให้คำปรึกษาแนะนำกับคนไข้ที่อยู่ในสภาวะใกล้ตาย (Dying Patients)  รวมทั้งครอบครัวของพวกเขา คือสิ่งที่ถูกอธิบายในงานของ Parker และคณะ (1996)
เมื่อคนเข้ามาใกล้ชิดสัมพันธ์กับความตาย ผู้เชี่ยวชาญอาจจะมีจำนวนน้อยมากที่ไม่สามารถควบคุมอยู่เหนือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แพทย์เชิงวิทยาศาสตร์ ( Scientific Medicine) สามารถช่วยเหลือพวกเรากับการบรรเทาความเจ็บป่วยส่วนหนึ่งให้กับผู้ป่วยที่กำลังเผชิญหน้ากับความตาย แน่นอนว่าความรู้ทั้งหมดที่เขามีในการช่วยเหลือคนป่วย เกือบ100 เปอร์เซ็นต์ในคนไข้ของเราก็ยังคงต้องตาย ทั้งที่คนไข้และครอบครัวของเขามาหาพวกเราให้ช่วยรักษาอย่างต่อเนื่อง ที่แผ่ขยายครอบคลุมอย่างกว้างขวางที่การดูแลของเราถูกแทนที่ด้วยพระหรือนักบวช (Priest) ที่ทำให้เราเข้าใจเกี่ยวกับอำนาจหรือพลังในการควบคุมความตาย การเปลี่ยนแปลงของบทบาทดังกล่าว สร้างความไม่สบายใจให้กับพวกเรามากที่สุด
การตายคือเหตุการณ์ทางสังคม(Social Event) มันส่งผลกระทบต่อคนหลายคน ในวงชีวิตของผู้คน คนไข้หรือผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางของการรักษาตราบเท่าทีพวกเขายังมีลมหายใจอยู่หรือมีชีวิตอยู่ แต่พวกเขาจะนำมาซึ่งความยุ่งยากมากขึ้นในไม่ช้า สิ่งเหล่านั้นที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับครอบครัวกำลังจะเริ่มต้นขึ้น
หรืออย่างไรก็ตามพวกเราคิดเกี่ยวกับความตายว่าไม่ใช่แค่สภาวะเปลี่ยนผ่านของผู้ป่วย (As a transition of patients) เท่านั้นมันคือสภาวะการเปลี่ยนผ่านที่แน่นอนสำหรับครอบครัวด้วย เมื่อชีวิตของพวกเขาจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
จุดสุดท้ายของความตาย (Death Tips) นำมาซึ่งผู้อยู่รอดหรือผู้มีชีวิตอยู่ (Survivors) ไปยังสถานการณ์ใหม่ (New situations) บทบาทใหม่ (New Roles) อันตรายใหม่ (New Dangers) และโอกาสใหม่ (New Opportunities) พวกเขาต้องเผชิญหน้าอยู่บ่อยครั้งกับการเรียนรู้แนวทางการจัดการใหม่ในช่วงเวลาดังกล่าว เมื่อการควบคุมหรือเอาชนะความโศกเศร้ามันเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขา ที่จะจัดการกับความรับผิดชอบเดิมและการดำรงอยู่กับสิ่งใหม่โดยลำพัง
แบบแผนหรือธรรมเนียมการฝึกสอนแพทย์และพยาบาล ทำน้อยมากในการจัดการหรือเตรียมการสำหรับการท้าทายเกี่ยวกับการดูแลเกี่ยวกับความตายและการสูญเสีย พวกเราเป็นจุดเริ่มต้นของการรักษาชีวิต แต่พวกเราสูญเสียความรู้ว่าอะไรที่เราควรจะทำต่อเมื่อไม่สามารถรักษาหรือช่วยชีวิตผู้ป่วยได้  ส่วนหนึ่งของพวกเราจัดการกับปัญหาดังกล่าวโดยการปฏิเสธความจริงที่เป็นอยู่ พวกเรายืนกรานอยู่บนการต่อสู้สำหรับการรักษาจนกระทั่งความเจ็บปวดสิ้นสุดลง สิ่งที่น่าเศร้าคือ อาวุธหรือเครื่องมือที่เราใช้บ่อยครั้งทำลายหรือลดทอนคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยที่ถูกกำจัดออกไป จุดสุดท้ายเมื่อมันมาถึงคือความจริงที่เจ็บปวด
ความรู้อื่นๆกับตัวพวกเขาเอง กับคนไข้ที่อยู่ในสภาวะใกล้ตายแต่พยายามที่จะปกปิดมันกับคนไข้ ถ้าพวกเขาทำสำเร็จ คนไข้อาจจะตายด้วยความโง่ที่สุขล้น (Blissful ignorance)  แต่บ่อยครั้งพวกเขาทำผิดพลาด ดังเช่นการเจ็บป่วยหรือโลกที่ลุกลามมากขึ้น คนไข้มองดูตัวเองในกระจกและตระหนักหรือรับรู้ว่าใครบางคนโกหก  ในช่วงเวลาที่เขาต้องการคนที่น่าเชื่อถือไว้วางใจในผู้รับผิดชอบทางการแพทย์ของพวกเขา พวกเขาตระหนักและรู้ดีว่าพวกเขาเป็นผู้ที่ถูกหลอกลวงทรยศ
ในกรณีอื่นๆครอบครัวผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่อาจจะปฏิเสธโอกาสที่จะพูดคำว่าลาก่อน (Say Goodbye) และอ้างถึงภาระหน้าที่ในเชิงจิตวิทยาที่ไม่สิ้นสุดกับคนไข้ แน่นอนว่ามันไม่ใช่ทีมงานของผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นผู้ซึ่งพบว่ามันยากลำบากมากที่จะจัดการกับบุคคลที่กำลังจะตาย ทั้งเพื่อน ผู้ร่วมงาน และสมาชิกในครอบครัวที่สูญเสียความสมดุลและพวกเขาอาจจะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองอย่างไม่เพียงพอ  โดยสภาวะที่ถูกกดดัน กับการรักษาที่ต่อเนื่องยาวนานของคนป่วย  การที่คุณไม่บอกว่าเขากำลังจะตาย เป็นสิ่งที่หมอควรทำหรือไม่? หรือมันจะเป็นการฆ่าเขาถ้าเขารู้ความจริงในเรื่องดังกล่าว  ( you won’t tell him he’s dying will you doctor? It would kill him it he found out ) เมื่อการสังเกตหรือเฝ้าดูอาจจะเป็นโอกาสที่ได้พิสูจน์ความจริง
พวกเขา (คนป่วย) ชอบมากกว่ากับการสะท้อนของผู้ให้ข้อมูล(informant)ในความไร้ความสามารถของตัวเองกับการจัดการความจริง มากกว่าที่จะเป็นคนไข้ ทั้งหมดในการทำงานของพวกเรา (ทีมผู้เชี่ยวชาญ) พร้อมกับความเจ็บป่วยขั้นสุดท้ายของผู้ป่วยและครอบครัวของเขา ที่จำเป็นต้องพิจารณาปัญหา 3 ประการเกี่ยวกับจิตวิทยา ที่มีความสลับซับซ้อนในการเปลี่ยนผ่านทางจิตวิทยาที่พวกเขาต้องเผชิญ ทั้งความกลัว(Fear) ความโศกเศร้า(grief) และการต่อต้านกับการเปลี่ยนแปลง (Resistance of Change)
ปัญหาของความกลัว (Problem of Fear)
ความกลัวเป็นการตอบสนองโดยธรรมชาติต่อการถูกคุกคามต่างๆ (the nature response to any threat) กับชีวิตของเราเองหรือคนที่เรารัก มันมีหน้าที่สำคัญในทางชีววิทยา (Biological Function) ในการจัดเตรียมร่างกายและจิตใจของเรากับการที่จะต่อสู้ (flight) หรือยอมพ่ายแพ้ (Flee)
การมีอยู่อย่างสมบูรณ์ของระบบประสาทอัตโนมัติที่สนับสนุนกับการสิ้นสุดหรือความตายเหล่านี้ ระหว่างผลกระทบที่ตามมาเกี่ยวกับความกลัว คือสภาวะไม่มีสมาธิ (Hyperalertness) กับอันตรายที่เพิ่มมากขึ้น ความเขม็งตึงของกล้ามเนื้อที่มากขึ้น (increased muscular tension) อัตราการเต้นของหัวใจที่เพิ่มมากขึ้น (Cardiac rate) และระบบย่อยอาหารภายใน ในลักษณะของความเร่งด่วนที่เพิ่มขึ้นในสภาพแวดล้อม ของวิวัฒนาการ ปฏิกิริยาเหล่านี้ยืนยันการอยู่รอดของเรา
มันเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง สำหรับคนไข้โรคมะเร็งที่ยึดโยงอยู่บนธรรมชาติของการวินิจฉัยโรคและวิ่งหนีหรือละทิ้งจากหมอ  ดังนั้นเขาอาจจะถูกกระตุ้นกับการทำบางสิ่ง ความไม่มีสมาธิที่ถูกผลิตโดยความกลัว  ที่อาจจะเป็นสาเหตุของความกลัวในบุคคล กับจินตนาการของอันตรายที่เพิ่มมากขึ้น ที่ซึ่งอาจจะไม่มีอยู่จริง แต่ก็สร้างความอ่อนแอเปราะบางในการดูแลเอาใจใส่ตัวเอง และกลายเป็นอันตรายในตัวมันเองขึ้นได้
ถ้าความตึงเครียดของกล้ามเนื้อเพิ่มมากขึ้น และดำเนินการต่อเนื่องเรื้อรังเป็นระยะเวลายาวนาน กล้ามเนื้อก็จะเริ่มเหนื่อยล้าและนำไปสู่ความเจ็บปวด (ache) อาการบ่งชี้เหล่านี้อาจจะถูกตีความอย่างผิดพลาดโดยตัวผู้ป่วยเอง เช่นเดียวกับสัญญาณของมะเร็งหรือโรคร้าย (disease) ที่ทำให้บุคคลเกิดความหวาดกลัว(dreads) ที่คล้ายคลึงกับเรื่องการเต้นของหัวใจเป็นสิ่งที่ถูกตีความผิดอยู่บ่อยครั้ง เช่นเดียวกับสัญญาณของโรคหัวใจ (Heart Disease) การเพิ่มขึ้นของความหลวาดกลัวและขยายวงจรของความกลัวที่เลวร้ายมากขึ้น และอาการบ่งชี้ความเจ็บป่วยหรือโรค (Symptom)
กรณีทั้งหมดเหล่านี้ มันมีหนทางในตัวมันเอง ในการจัดการเมื่อพวกเราเผชิญหน้ากับความกลัว มันกลายเป็นความก้าวร้าวรุนแรง (Aggressive) การตำหนิติเตียนกับบางคน ดังเช่นคนไข้จำนวนหนึ่งเผชิญกับการบ่งชี้อาการของโรคที่เลวร้าย ที่พวกเขาตอบสนองโดยการกล่าวหาหรือตำหนิการรักษา มันคือสิ่งที่สะท้อให้เห็นว่าพวกเขากำลังต่อสู้กับหมอมากกว่ามะเร็งนอกจากนี้ยังมีการใช้ประโยชน์จากวัตถุต่างๆ เช่น การใช้แอลกอฮอล์  การใช้ยาเสพติด การติดเหล้าติดยาคือสิ่งที่พวกเขาบรรเทาความทุกข์ได้ในระยะเวลาสั้นๆ  แต่อาจจะกลายเป็นสาเหตุใหม่อย่างอื่นในระยะยาวได้
การตอบสนองอย่างมีเหตุผลกับอันตรายคือการค้นหาความช่วยเหลือ ถ้าหมอมีความผิดพาดกับการรักษาความเจ็บป่วย พวกเขาอาจจะไม่แปลกใจหรือโกรธ ถ้าคนไข้ค้นหาการรักษากับผู้ทำการรักษาทีอยู่นอกขนบ (ไม่ใช่การแพทย์สมัยใหม่) การปฏิบัติที่ขัดแย้งกับแพทย์สมัยใหม่ การรักษาไม่ใช่สิ่งที่คนไข้มีความต้องการเท่านั้น แต่เป็นความสบายใจเกี่ยวกับความมีเมตตากรุณา (อารมณ์ ความรู้สึก) ที่ไม่ใช่ประเภทของคำพูด (non-verbal kind) เช่นแม่อาจจะปลอบโยนลูกที่ตกใจ ที่มีประสิทธิภาพในการลดทอนความกลัว หรือพยาบาลผู้ซึ่งสัมผัสกับคนไข้ตลอดเวลา ก็รู้ว่าอำนาจของมือที่สัมผัสเป็นสิ่งที่สร้างพลังได้อย่างไร
ในขณะที่หมอ นานๆครั้งที่จะสัมผัสคนไข้อย่างใกล้ชิด (bad at touching)  ค่อนข้างที่จะหลีกเลี่ยงการสัมผัสทางกาย  (avoiding physical contact) กับคนไข้ของพวกเขา  เช่นเดียวกับความกลัวว่าคนไข้จะติดเชื้อ ที่ซึ่งมันอาจจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
เมื่อบางคนเผชิญกับสภาวะใกล้ตาย ไม่ใช่แค่คนไข้เท่านั้นที่จะเผชิญกับความหวาดกลัวมันรวมถึงคนที่อยู่ใกล้ชิดเขาด้วย  นี่คือความสามารถในการผลิตวงจรของความเลวร้ายอื่นๆ เมื่อความตื่นตระหนกของคนไข้เป็นสิ่งที่สะท้อนความกลัวในสายตาของคนที่อยู่รอบๆตัว แม้ว่าคนที่มีสุขภาพดีที่สุด เมื่อมีคำถามว่าเขาต้องการจะตายที่ไหน  พวกเขาจะตอบทันทีว่า ที่บ้าน (home)  ระดับของความกังวลของบุคคลที่อยู่รอบๆตัวเขา  คนที่กำลังจะตายที่บ้าน บ่อยครั้งถูกให้เหตุผลที่ดีกับการส่งตัวเขาไปรักษาที่ Hospics หรือโรงพยาบาล เช่นเดียวกับบุคคลคนหนึ่งที่ถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลกล่าวว่า มันคือที่ปลอดภัยสำหรับการตายที่นี่
เมื่อคนจำนวนมากกลัวเกี่ยวกับสภาวะใกล้ตาย พวกเรา (ทีมที่รักษา) รู้ว่าทำไมบุคคลที่อยู่ในสภาวะใกล้ตาย จึงรู้สึกหวาดกลัว มีนคือความล่อลวงหรือชักจูงกับคำพูดว่า ฉันเข้าใจ  (ปลอบประโลมใจกับผู้ป่วยว่าเขาเข้าใจสิ่งที่ผู้ป่วยกำลังเผชิญ) ความจริงคือไม่มีใครเลยที่จะรู้หรือเข้าใจความกลัวของคนอื่น และความหลากหลายของความกลัวในความเจ็บป่วยขั้นสุดท้ายของคนไข้ที่ไม่สามารถจัดการอะไรกับความตายตรงหน้าได้
จินตนาการเกี่ยวกับความตายของเขาถูกกระตุ้นจากการ์ตูนเกี่ยวกับผีและภาพยนตร์สยองขวัญ รวมถึงภาพที่น่ากลัวเกี่ยวกับความตายที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ เมื่อคนเรียนรู้เกี่ยวกับความตายที่แท้จริง (Real Death) บ่อยครั้งความตายเป็นสิ่งที่ถูกจัดการควบคุมอย่างเลวร้าย ในความไม่สมควรหรือเหมาะสมที่จะพูดถึงมัน (การตัดหรือปฏิเสธการรับรู้เกี่ยวกับความตาย) ประชาชนส่วนใหญ่มองความตายหมายถึงความเจ็บปวดรุนแรง (Death means agony) มันเป็นสิ่งที่เข้ามาโดยไม่ตั้งตัว สร้างความประหาดใจ ตกใจ กับพวกเขา รวมทั้งการเรียนรู้ว่าจะดูแลรักษาอย่างเหมาะสมเพื่อให้ความเจ็บปวดไม่ได้เป็นปัญหาสำคัญ

ปัญหาของความโศกเศร้า (Problem of Grief)
ความโศกเศร้า (Grief) คือปฏิกิริยาโดยทั่วไปที่ตอบสนองกับการสูญเสียหลักต่างๆ และเป็นสิ่งที่ไม่ถูกจำกัดกับการสูญเสียผลัดพราก (Bereavement)
ความเจ็บป่วยดังเช่นโรคมะเร็ง และเอดส์ มีแนวโน้มสำคัญในขั้นตอนนี้ คนไข้คือกลุ่มที่เผชิญกับการสูญเสียอื่นๆ ความสูญเสียความปลอดภัย และผลกระทบทางร่างกายที่เกี่ยวข้องกับโรคภัยไข้เจ็บ และนำไปสู่การไร้ความสามารถที่เพิ่มมากขึ้น(increasing disability)ในขึ้นต่อมา ที่นำไปสู่การสูญเสียความเคลื่อนไหว (loss of Mobility) การประกอบอาชีพ และการสูญเสียการทำหน้าที่ของอวัยวะต่างๆในร่างกาย  และความเป็นไปได้การสูญเสียชีวิตของคนไข้  แต่ละการสูญเสียใหม่มีความสัมพันธ์กับแนวโน้มความรู้สึกเจ็บปวดที่เพิ่มมากขึ้น  ประสบการณ์ของบุคคลต้องการอย่างมากกับการได้ร้องไห้ออกมาดังๆ และความปรารถนาที่จะหาหนทางเก็บรักษาวัตถุ หรือสิ่งบางอย่างที่กำลังจะสูญเสีย เช่น ผู้หญิงอาจจะเสียใจผิดหวังอย่างรุนแรงเมื่อสูญเสียเต้านม และค้นหาวิธีการปลอบประโลมใจบางอย่างในการซ่อมแซมตกแต่งหรือการพึ่งพาหมอศัลยกรรมในการประกอบสร้างขึ้นมาใหม่ หรือผู้ชายที่อาจจะได้กลับไปทำงาน และสร้างความประหลาดใจกับเพื่อนร่วมงานของเขา โดยการเดินทางมาถึงที่ทำงานโดยไม่แสดงอาการเหนื่อยหล้าหรืออ่อนแอ
ความต้องการของคนไข้ในโรงพยาบาลที่ต้องการอยากกลับบ้านเป็นเรื่องปกติ และจะพยายามทำทุกๆหนทางทั้งที่อาจจะเกิดปัญหากับครอบครัวของพวกเขา
ความโศกเศร้าคือสิ่งที่ไม่สม่ำเสมอ (เป็นๆหายๆ เป็นๆหยุดๆ) คนส่วนใหญ่ยินยอมให้ตัวเองมีการแสดงออกซึ่งความเศร้าโศกเพื่อที่ตัวเองจะได้รู้สึกดีขึ้น ทั้งๆที่ความรู้สึกเหล่านี้จะกลับมาอีก ภาวะซึมเศร้า (depression) คือสิ่งสุดท้ายและทำลายผู้ได้รับความทุกข์ทรมาน (Sufferers) และกีดกันพวกเขาจากการกระทำต่างๆ ที่สามารถจะดึงพวกเขาออกจากสภาวะซึมเศร้า (Slough of depression) ทั้งการลดระดับทางความคิด และการเคลื่อนไหว และความไร้ประโยชน์ (worthlessness) ซึ่งมีลักษณะภาวะซัมเศร้าในทางการแพทย์ (Clinical depression) ความขัดแย้ง คุกคาม  ความหงุดหงิดกระสับกระส่าย (restlessness) และความเจ็บปวดจากความโศกเศร้าของบุคคล
สิ่งที่บ่งชี้เกี่ยวกับภาวะความซึมเศร้า  คือการอดอาหารจนผ่ายผอม (Anorexia)   การสูญเสียน้ำหนักตัว (Loss of Weight) และการตื่นขึ้นมาทุกเช้า ที่เป็นส่วนหนึ่งของความโศกเศร้าที่เป็นสาเหตุของความเจ็บป่วย อ่อนแอและหมดกำลัง การวินิจฉัยโรคคือสิ่งที่สำคัญเพราะว่า ความต้องการเกี่ยวกับ Clinical Depression และการตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาต่อต้านภาวะการซึมเศร้า (antidepressant medication) การช่วยเหลือที่ให้นี้ ประชาชนที่โศกเศร้าหริซึมเศร้าอยู่บ่อยครั้งจะได้รับการรักษาที่ดีขึ้น และสามารถแสดงความโศกเศร้า เสียใจ และสามารถร้องไห้ได้ง่ายกว่า
การต่อต้านการเปลี่ยนแปลง (Resisitance to Chang )
กระบวนการของปัญหานี้คือ แนวโน้มการปฏิเสธความจริงของการวินิจฉัย หรือการทำนายเกี่ยวกับโรคและความเจ็บป่วย หรือหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ คนไข้หลายคนแสดงอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการบอกเล่าความเจ็บป่วยของพวกเขา  นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นมากที่สุด ถ้าหมอไม่ให้ข้อมูลข่าวสารที่ขัดแย้งตรงกันข้าม(ปกปิดความจริง) (giving Conflict message) สมาชิกในครอบครัวค้นพบความยากลำบากที่จะเผชิญหน้ากับความจริง ว่าช่วงเวลาหรือชีวิตองบุคคลอันเป็นที่รักถูกจำกัดหรือสั้นลง  และอาจกลายเป็นสิ่งที่ถูกต่อต้านมากกว่าการเผชิญหน้ากับความจริงของผู้ป่วย
การปฏิเสธคือการป้องกัน การต่อต้านต่อการครอบงำ ความวิตกกังวลและอาจจะสะท้อนความสามารถของคนกับการยอมรับกับความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิต ที่ถูกคุกคามในโลกภายในของเขา (Threaten their internal world)  ความขัดแย้งระหว่าง โลกที่เป็นอยู่ (World that is) กับโลกที่ควรจะเป็น (World thay should be)ในตัวผู้ป่วย
ช่วงเวลาของการถูกคุกคาม คนไข้หลายคนอยากจะอยู่กับบ้าน มากกว่าอยู่กับคนแปลกหน้า หรือห้องพักในโรงพยาบาล โดยปราศจากครอบครัว การช่วยเหลือสนับสนุนให้กำลังใจของหมออาจจะเป็นสิ่งไม่มีคุณค่า เมื่อคนไข้ยึดติดกับความรู้สึกความปลอดภัยในบ้านของพวกเขา ราวกับว่าบ้านเป็นสถนที่เดียวในโลกที่ปลอดภัยที่สุด
การเปลี่ยนผ่านสู่แนวทางจิตวิทยาสังคม (psychosocial) ที่เผชิญหน้าโดยคนไข้ที่อยู่ในสภาวะใกล้ตาย การเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านในคู่ชีวิตของผู้ป่วยที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงของความเจ็บป่วย  บ่อยครั้งที่คนไข้มองว่าครัวครัวต้องแบกรับภาระความรับผิดชอบทั้งหมด ที่นำไปสู่สาเหตุความกังวลใจ ความเครียดในชีวิตของคนไข้  คำพูดที่ว่าคุณไม่ต้องกังวล  จากนี้เป็นต้นไปฉันจะดูแลเอง เหมือนการปลอบประโลมใจที่ดีและสร้างวัมพันธ์ที่ดีและมีความสุขกับชีวิตของเขา

ยุทธศาสตร์ของการจัดการ  (coping Strategies)
ความแตกต่างหลากหลายของหนทางที่คนใช้จัดการกับการถูกคุกคามที่สะท้อนสมมติฐานและยุทธศาสตร์ของการจัดการ ที่พบความเครียดที่น้อยที่สุดเริ่มแรกในชีวิต ในช่วงเวลาที่ถูกคุกคาม ผู้ซึ่งขาดความเชื่อมมั่นในศักยภาพหรือสิ่งที่ตัวเองมี อาจจะค้นหาความช่วยเหลือจากคนอื่น ที่แสดงสัญญาณของความเศร้าโศกเสียใจอย่างชัดเจนและยึดติดอย่างไม่เหมาะสม   สำหรับผู้ซึ่งขาดความไว้วางใจในคนอื่น พวกเขาอาจจะเก็บปัญหาของเขาไว้กับตัวเอง ก้นบึ้งของความรู้สึกของเขา และการตำหนิผู้ให้บริการสุขภาพ หรืการรักษาอาการของพวกเขา  การขาดความเชื่อมั่นไว้วางใจ มันมีความจำเป็นสำหรับพวกเขาที่พวกเขาที่จะต้องควบคุมพวกเรา (การบ่นการตำหนิ)  มากกว่าที่จะถูกควบคุมโดยพวกเรา
ผู้ซึ่งขาดความเชื่อใจในตัวเองและคนอื่นๆ  อาจจะรักษาการให้คุณค่าของตัวเองที่ต่ำ และนำมาสู่ตัวเองและกลายเป็นความวิตกกังวล (anxious) และสภาวะหดหู่ (depress)
ประชาชนส่วนหนึ่งมีการเรียนรู้ว่า หนทางที่แน่นอนอย่างหนึ่งของการได้รับความรักและความเอาใจใส่เมื่อต้องกลายเป็นคนป่วย ในช่วงชีวิตต่อมาพวกเขาตอบสนองกับการคุกคามโดยการบ่งชี้เกี่ยวกับอาการป่วยที่เกินจริง(hypochondriacal Symptoms) หรือการเจ็บป่วยทางร่างกายที่เกินจริง (exaggerating the symptoms of prganic illness) ถ้าการคุกคามเป็นสาเหตุของความเจ็บป่วย ปฎิสัมพันธ์ของผลกระทบทางจิตวิทยาและกายภาพ  อาจจะเป็นสิ่งที่ยากกับการคลี่คลายปัญหา ปฏิสัมพันธ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่ถูกสำรวจ พร้อมกับความรู้สึกอ่อนไหว เปราะบาง โดย Wilkinson ผู้ซึ่ง ความเครียดที่พวกเราจำเป็นจะต้องเรียนรู้ดนตรี ที่คนไข้เต้นรำ กับการเรียนรู้รูปแบบการร้องเรียน คร่ำครวญของพวกเขา
อิทธิพลของการเปลี่ยนผ่าน (Influencing the Transition)
จากกรณีข้างต้น สะท้อนภาวะความไม่ปลอดภัย การตอบสนองต่อความมั่นใจเชื่อมั่น และการสร้างสรรค์เกี่ยวกับ ความปลอดภัยพื้นฐาน  สถานที่ที่ปลอดภัย (safe place)  และความสัมพันธ์ที่ปลอดภัย
ความไม่มั่นคงปลอดภัยของบุคคล สามารถเริ่มต้นกับความตั้งใจที่จะแจกจ่ายหรือบอกเล่าปัญหาที่สร้างความไม่ปลอดภัยกับตัวพวกเขาเอง สิ่งเหล่านี้ผู้ซึ่งขาดความตระหนักในคุณค่าของตัวเอง ( Lack of Self -Esteem)  จะต้องตระหนักถึงความสำคัญในการให้คุณค่ากับตัวเอง  การค้นพบศักยภาพที่แท้จริงในตัวพวกเขาเอง รวมทั้งการสร้างความเชื่อมั่นในตัวพวกเขาที่ขาดความมั่นใจเชื่อถือไว้วางใจในสิ่งอื่นๆหรือคนอื่นๆ พวกเรา(ทีมผู้เชี่ยวชาญ) สามารถแสดงความเข้าใจต่อข้อสงสัยของพวกเขาและความต้องการของพวกเขาในการควบคุมพวกเรา พวกเราต้องกระทำเช่นเดียวกับผู้ให้คำปรึกษา (advisor) มากกว่าจะเป็นผู้สั่งการ (instructor)  ท่พวกเราจะต้องจัดหาความยอมรับและความเชื่อถือให้เกิดขึ้นได้ 
ความเจ็บป่วยที่คุกคามชีวิต สามารถกัดเซาะทำลายความเชื่อมั่น ความไว้วางใจ  และพวกเราทั้งหมดจะต้องใช้กระบวนการแก้ไข  internal  model of the world เป็นสิ่งที่สร้างได้ง่ายกว่า   หารักษาความปลอดภัยในช่วงเวลาที่เปราะบาง สมาชิกผู้เชี่ยวชาญในการดูแลรักษา สามารถรับมืออย่างยิ่งใหญ่กับการช่วยเหลือผู้คนที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางจิตวิทยานี้
ข้อมูลที่ถูกต้องเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการวางแผน  ถ้ามีการวางแผนมันช่วยลดทอนบรรเทากับความรู้สึกที่รุนแรง เช่น เมื่อคนป่วยได้รับการบอกกล่าวว่าเขาเป็นมะเร็ง มันง่ายในการจัดการกับช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด มากกว่าการดำรงชีวิตอยู่โดยไม่มีการวางแผน (planlessness)  มีงานเขียนจำนวนมากเกี่ยวกับสิทธิของคนไข้ในการรู้ความจริงเกี่ยวกับความเจ็บป่วย  แต่พวกเราจำเป็นต้องยอมรับในสิทธิของพวกเขา กับการให้ข้อมูลที่อาจจะไปเติมเต็มความทุกข์ เมื่อพวกเขาและเธอจะต้องรับมือและจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อข่าวร้ายเกิดขึ้น
มันอาจจะผิดพลาดเมื่อบอกสิ่งเหล่านี้กับพวกเขามากเกินไป ทำให้หมอบอกเรื่องนี้กับพวกเขาน้อยมาก ในขณะเดียวกัน หากบอกเมื่อสายเกินไป  คนไข้ที่ปฏิเสธที่จะยอมรับการผ่าตัดใหญ่ อาจจะต้องการเวลาที่จะบอกกล่าวกับสมาชิกในครอบครัว  สิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นที่คุกคามพวกเขา เกี่ยวกับความวิตกกังวล ความกลัว   การปฏิเสธ
สิ่งเหล่านี้มันอาจจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เขาได้รับข่าวร้าย กับการเปิดเผยข้อมูลความจริง เช่นบุคคลที่ป่วยเป็นมะเร็ง เป็นเอดส์ที่ได้นำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า อาการที่เกอิดจากการหมดสติอย่างรุนแรงของร่างกายที่เกิดจากสาเหตุทางจิตวิทยา (Major Psychological Truma )
ไม่มีศัลยแพทย์ที่จะผ่าตัดโดยปราศจากการติดต่อสื่อสารข้อมูลสำคัญทั้งหมด ระหว่างผู้เชี่ยวชาญที่ดูแลรักษา และสมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วย  ซึ่งพวกเราจะต้องตระหนักถึงชีวิตที่มีผลกระทบกับข้อมูลที่พวกเราครอบครองอยู่ กับการตัดสินใจว่าใครที่ควรตจะได้รับการเชื้อเชิญเข้ามาพูดคุยพบปะกับพวกเรา และการประชุมควรจะเกิดขึ้น  นี่คือความหมายที่ใครบางคนจำเป็นต้องร่าง Genogram แผนผังครอบครัว ที่จะบ่งชี้ความสัมพันธ์ความเกี่ยวข้องของบุคคลในครอบครัวของผู้ป่วย  ที่ต้องระบุว่าใครคือคนสำคัญที่สุดที่เราจะบอกความจริงกับพวกเขา หรือบอกแนวทางการรักษาที่สอดคล้องหรือแตกต่างจากเรา
การยอมรับในโลกของความแตกต่างระหว่างหมอกับคนป่วย เพื่อสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย และเสริมสร้างทัศนคติที่ดีเป็นมิตร  พวกเราต้องรู้ว่าอะไรที่เขาต้องการรู้ หรืออะไรที่เขารู้อยู่แล้ว เกี่ยวกับสถานการณ์ การหลีกเลี่ยงคำศัพท์ เช่นคำว่า มะเร็ง ความตาย
ทีมงานของThe primary health care team เป็นหน่วยที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการดูแลอย่างต่อเนื่องกับความเจ็บป่วย ความเศร้าโศกและการสูญเสียตลอดเวลา  ที่พวกเขาคุ้นเคยกับบริบททางสังคม การเข้าใจความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น การให้ความรู้กับสมาขิกในครอบครัวที่มีความสำคัญกับการตัดสินปัญหามากที่สุด และความเชื่อของพวกเขา ที่จะทำให้ทีมงาน มองเห็นและเข้าใจพวกเขา และนำไปสู่จุดหมายสำคัญในการดำรงอยู่ของผู้ป่วย
การดูแลผู้ป่วยของ Primary health care Team ใช้ระยะเวลายาวนานในการจัดการดูแลในระยะยาว โดยให้เวลากับผู้ป่วยจำนวนมากและบ่อยครั้ง และบางโอกาสก็ช่วยเหลือกับครอบครัว และดูแลคนอื่นๆนอกเหนือจากผู้ป่วย
ในที่สุดเมื่อเวลาใกล้เข้ามา เมื่อการทำการรักษามีเป้าหมายในการรักษาอาการของโรคที่เป็นสาเหตุของปัญหา  การแก้ไขปัญหาทางกาย ความเกี่ยวเนื่องในทีมของเราคือการช่วยบรรเทาความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานกับการรักษา และความต้องการการดูแลทางจิตวิทยา ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก  คำถามตามมาที่เพิ่มขึ้นกับการอ้างถึง hospics และ primary health care team คือ hospics เน้นอยู่บนการดูแลเอาใจใส่ เกี่ยวกับการควบคุมอาการของโรคที่ต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไข ในจุดสุดท้ายของชีวิต St Chistoper’s hospics ใน Syndenham คือ hospics ไสตล์ทันสมัยแห่งแรก เป็นสิ่งที่เข้มงวดอย่างมากับคนไข้ใน(in-patients) สำหรับHome Care เป็นสิ่งที่ถูกจัดหาให้โดยhospics จำนวนมากแต่ไม่ยาวนานนักและลดน้อยลงในเวลาต่อมา ในปัจจุบันสิ่งเหล่านี้ถูกสนับสนุนและจัดตั้งในโรงพยาบาล ที่พัฒนาขึ้นมาจากความสามารถในบทบาทของการดูแลผู้ป่วยที่ถูกพัฒนาในHospics ที่ถูกนำมาใช้ในโรงพยาบาลทั่วไป  และโรงพยาบาลส่วนใหญ่ และ primary health care team เป็นสิ่งที่สามารถบรรเทาความเจ็บปวด ความวิตกกังวล เกี่ยวกับอาการของโรคแม้แต่ในผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย
มันเป็นสิ่งที่ง่ายมากสำหรับการจัดการและดูแลทางด้านจิตวิทยาสังคมซึ่งไม่ใช่แค่บรรเทาความทุกข์ทรมานทางจิตกับคนไข้เท่านั้น แต่สามารถช่วยเหลือสมาชิกในครอบครัวของคนป่วยเหล่านั้น ที่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนผ่าน  ที่เป็นการเปลี่ยนผ่านความตายอย่างลงตัวและลื่นไหล มันคือวิพากษ์วิธีเกี่ยวกับการจัดบริการ ในอังกฤษที่มีความสมบูรณ์ ในการดูแลในมิติทางจิตวิทยาและมิติทางจิตวิญญาณ ซึงเป็นสิ่งที่ถูกจัดหาให้โดยHospics ต่างๆ  แต่ไม่ใช่ทั้งหมด Hospics ยังไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างกว้างขวางและเป็นข้อจำกัดกับวลีสุดท้ายของชีวิต
ในที่สุดเราจำเป็นต้องระลึกว่าการดูแลเกี่ยวกับสภาวะใกล้ตายเป็นสิ่งที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดสำหรับบรรดาผู้เชี่ยวชาญ เช่นเดียวกับผู้ซึ่งพวกเขาทำการดูแลรักษา (คนป่วย) ระบบของทีมงานสนับสนุนที่ดีคือความสำคัญและควรที่จะเข้าใจว่า ถ้ามันคือสิทธิทั้งหมดของผู้ป่วยและครอบครัวของพวกเขากับการร้องไห้เศร้าโศก มันก็เป็นสิทธิของเราด้วยเหมือนกันในการเก็บมันไว้บนริมฝีปาก (The stiff upper lip) ที่ซึ่งสร้างความยากลำบากในการช่วยเหลือคนไข้ส่วนหนึ่งและสมาชิกในครอบครัวที่มากกว่าปัญหาในทางการแพทย์











[1] การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายให้ตายอย่างสงบนั้น มีมานานแล้ว เพียงแต่รูปแบบอาจจะแตกต่างกันไปตามยุคสมัย ในยุโรปสมัยเก่า ฮอสพิซ (Hospice) เป็นคำเรียกสถานที่พักพิงและดูแลผู้ป่วย มีรากศัพท์มาจากภาษาละตินว่า Hospes และ Hospitium หมายถึง เจ้าของบ้าน แขก หรือที่พักแรม ตั้งขึ้นโดยบรรดาสำนักสงฆ์และกองกำลังของสำนักต่างๆ ในคริสต์ศาสนา ในระหว่างสงครามครูเสด  เพื่อดูแลผู้เดินทางไปแสวงบุญยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ (นครเยรูซาเล็ม) คนป่วยจากโรคภัยต่างๆ และคนยากจน กล่าวโดยรวมคือ เป็นทั้งโรงแรม โรงพยาบาล และวัดไปพร้อมๆ กัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ เน้นอยู่ที่ปัจจัยทางชีววิทยาเพ

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเกี่ยวกับการนอนเป็นสิ่งที่ถูกทำให้เป็นเรื่องส่วนตัว(priv

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile Derkhiem ในหนัง