ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ความเครียดกับความเจ็บป่วย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

ความเครียด (Stress) สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพและความเจ็บป่วยได้อย่างไร
                ความเครียดเป็นแนวความคิดที่มีพื้นฐานมาจากความสัมพันธ์ระหว่างกายกับจิต ที่มองว่า ความรู้สึกหรืออารมณ์สามารถส่งผลต่อสุขภาพหรือความเจ็บป่วยทางร่างกายได้ ยิ่งในปัจจุบันแบบแผนของความเจ็บป่วยได้เปลี่ยนแปลงจากการเจ็บป่วยด้วยโรคติดเชื้อ (Infectious disease) มาสู่การเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง (Chronic Illness) ที่ทำให้ประเด็นในเรื่องของความเครียดถูกนำมาอธิบายอย่างกว้างขวางมากขึ้น ซึ่งความเครียดมีข้อสมมติฐานว่า เกี่ยวข้องกับคุณภาพของสิ่งเร้าหรือสิ่งที่มากระตุ้นจากภายนอก เช่นภาวะกดดันจากการทำงาน  หรือความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการอ้างอิงกับเรื่องของการตอบสนองต่อสิ่งเร้า เช่น การทำงานที่เป็นสาเหตุของความเครียด  รวมทั้งการมองว่าความเครียดเป็นผลลัพธ์จากปฏิสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้า (Stimulas)และการตอบสนอง (Response) ดังนั้นความเครียดจึงมีความสัมพันธ์กับสุขภาพและความเจ็บป่วยใน 2 ลักษณะคือ
                1.ความเครียดมีผลทางตรงโดยผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ที่นำไปสู่ความเจ็บป่วย
                ความเครียดเป็นเรื่องของอารมณ์เชิงลบที่มีผลโดยตรงต่อกระบวนการทำงานของร่างกาย ในสภาวะความเครียดร่างกายของมนุษย์จะมีการตอบสนองเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการกระทำที่อาจเกิดขึ้นในรูปของการหนีหรือต่อสู้  กระบวนการตอบสนองทางร่างกายในสภาวะเครียดมีอยู่ 2 ระบบที่สัมพันธ์ควบคู่กันคือ The sympathetic-adrenal medullary system และ The pituitary adrenocoetical system ที่เป็นการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติและระบบต่อมไร้ท่อ โดยการทำงานของสมองส่วนที่เรียกว่า Hipothalamus ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการตอบสนองต่อความเครียด หรือเป็นศูนย์กลางทำงานในสภาวะเครียด โดยการควบคุมการทำงานของระบบอัตโนมัติและกระตุ้นการทำงานของต่อม Pituitaryที่มีผลต่อการยับยั้งระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย
ดังนั้น ความเครียดจึงเป็นสาเหตุของความเจ็บป่วย (Stress as a cause of Illness) โดยความเครียดทางจิตใจมีผลกับระบบการทำงานของร่างกายโดยเฉพาะระบบฮอร์โมน ตัวอย่างเช่น เวลาเกิดความเครียด ร่างกายจะมีกลไกที่ทำให้ฮอร์โมนไหลออกมาจากส่วนต่างๆของร่างกายเพื่อให้เกิดพละกำลังความสามารถหรืออะไรบางอย่างที่มากกว่าในภาวะปกติมาขับดันตัวเราเพื่อให้เอาชนะความกดดันนั้นไปได้ แต่ผลจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในร่างกายจะส่งผลต่อต่อมไร้ท่อ ต่อมไทรอยด์ ต่อมหมวกไตหรือต่อมใต้สมอง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของร่างกายตามมา เช่น อาการหัวใจเต้นแรง ใจสั่น นอนไม่หลับ น้ำหนักลดรวมทั้งอารมณ์ที่แปรปรวนบ่อยๆ  
                2.ความเครียดเป็นผลทางอ้อมโดยผ่านทางพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับความเจ็บป่วย
                                ความเจ็บป่วยเกิดขึ้นจากพฤติกรรมเสี่ยงที่มีผลจากความเครียด ที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเรื่องของสุขภาพ เช่น การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ การใช้สารเสพติด เป็นต้น บางครั้งพฤติกรรมเหล่านี้จะมีเพิ่มสูงมากขึ้นเมื่อมนุษย์ต้องประสบกับสถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่ทำให้เครียด (สิ่งเร้าที่กระตุ้นจากภายนอกที่นำไปสู่กระบวนการตอบสนองต่อสิ่งเร้า) ที่นำไปสู่ความเจ็บป่วยของร่างกาย เช่น การดื่มสุราอย่างหนัก จนไม่รับประทานข้าว ไม่หลับนอนหรือออกกำลังกายก็จะนำไปสู่ความทรุดโทรมของร่างกายและความเจ็บป่วยขึ้นได้ นอกจากนี้ความเครียดมีความสัมพันธ์กับการลดลงของความเจ็บป่วย (Stress and the reduction of morbidity) เช่น การลดความเครียดจะช่วยลดระดับอารมณ์และพฤติกรรมเช่นในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งที่ไม่มีความเครียดร่างกายจะสามารถสร้างภูมิคุ้นกันได้มากขึ้นกว่าผู้ป่วยที่มีความเครียดสูง  ดังนั้นการสนับสนุนทางสังคมจึงมีผลกับการลดความตึงเครียดและลดอาการเจ็บป่วยในขณะเดียวกันความเจ็บป่วยเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความเครียด (Illness as a stressor)ด้วยได้เช่นกัน เช่นการต้องนอนพักรักษาตัวเป็นเวลานานๆ หรือการรับการรักษาผู้ป่วยมะเร็งด้วยเคมีบำบัดจะพบว่าผู้ป่วยจะมีความทุกข์ทรมานและความเครียดสูง เป็นต้น
                 ตัวอย่างงานศึกษา เช่น Hinkle และ Plummer (1952 ) พบว่า  พนักงานในบริษัทขายโทรศัพท์ ที่ขาดงานบ่อยๆเนื่องจากเจ็บป่วย  มักพบว่าไม่ค่อยมีความสุขในชีวิต เครียดและเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่ไม่รุนแรงมากกว่ากลุ่มที่ไม่ค่อยขาดงานบ่อยถึง 12 เท่า งานศึกษาของ  Grossarth-Maticek และคณะ(1985,1988)พบว่าผู้ที่มีบุคลิกที่มีแนวโน้มจะเป็นมะเร็งมีลักษณะคือ มีการเก็บกดอารมณ์  เป็นคนที่ไม่สามารถจะแก้ไขความเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลได้  นำมาซึ่งความสิ้นหวัง  หมดทางเยียวยา และตามมาด้วยความซึมเศร้า และเจ็บป่วย เขาและคณะยังพบด้วยว่า คนที่มีเหตุมีผล  ไม่เป็นคนเจ้าอารมณ์  จะเป็นตัวบ่งชี้ถึงอัตราตายของ คนไข้มะเร็ง  คนไข้โรคหัวใจ และคนไข้เส้นเลือดสมองตีบหรือแตก  Williums (1989 : 13)  พบว่าความก้าวร้าวของคนที่มีบุคลิกแบบเอ เป็นตัวชี้ถึงการเป็นโรคหัวใจ และเพิ่มอัตราตายจากมะเร็งและโรคต่างๆ เป็นต้น
                   ดังนั้นเรื่องของการตอบสนองต่อความเครียดของร่างกายเป็นเรื่องสลับซับซ้อน การศึกษาส่วนใหญ่จะอยู่ในสาขาวิชา Psychoneuroimmunology  ที่จะศึกษาในแง่มุมต่างๆเช่น ความสัมพันธ์ของอารมณ์ในด้านลบ ความซึมเศร้า  (Depression) ความโดดเดี่ยว (Loneliness) ความสิ้นหวัง(Hopelessness)ต่อการเกิดโรค การศึกษาที่ได้ให้คำตอบต่อคำถามต่างๆ เช่น สิ่งที่ทำให้เกิดความเครียดจะต้องเป็นสิ่งที่เผชิญอย่างเรื้อรัง ซ้ำซาก เป็นประจำ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หรือเป็นเพียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว การตอบสนองทางสรีรวิทยาต่อความเครียดจะมีลักษณะของความจำเพาะนอกจากนั้นยังมีปัจจัยเรื่องเพศ อายุ สถานะทางเศรษฐกิจ ทางสังคม  รวมทั้งการมีโรคต่างๆที่เกิดขึ้นร่วมด้วย  การศึกษาส่วนใหญ่จึงยังไม่สามารถแสดงความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างเหตุการณ์ในชีวิตที่ทำให้เกิดความเครียดต่อการเกิดโรคหรือความเจ็บป่วยได้อย่างลึกซึ้ง
หนังสืออ้างอิง
สุรีย์ กาญจนวงศ์  2551 จิตวิทยากับสุขภาพ นครปฐม :คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
Grossarth-Maticek, R., Eysenck,H. J. and Vetter, H.1988. Personality  type, smoking habit  and their  interaction as predictors of cancer  and  coronary  heart  disease, Personality and Individual Differences,9:479.
Grossarth-Maticek, R., Bastiaans, J. and  Kanazir, D.T. 1985. Psychosocial  factors as strong predictors of mortality  from  cancer, ischemic  heart  disease  and  stroke: The  Yugoslav  prospective  study, J. Psychosom. Res., 29:167.
Hinkle,L.E.,Jr. and Plummer, N. 1952. Life stress  and  industrial  absenteeism, Ind.Med.Surg.,21:363

Willium, R. 1989. The  Trusting  Heart: Great News About Type A Behavior, Random House, New York

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ เน้นอยู่ที่ปัจจัยทางชีววิทยาเพ

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเกี่ยวกับการนอนเป็นสิ่งที่ถูกทำให้เป็นเรื่องส่วนตัว(priv

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile Derkhiem ในหนัง