บทความเรื่อง After the Miracle แล้วประยุกต์กับแนวคิดเรื่องจิตวิทยาสุขภาพ (Health Psychological) กับการอธิบายเกี่ยวกับปรากฏการณ์มหัศจรรย์ (Miracle phenomenon) ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร
ในบทความเรื่อง After the
Miracle ชิ้นนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ Chitra ผู้หญิงชาวอินเดียอายุ
32 ปีที่อพยพมาอาศัยอยู่ในเมืองนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเธอพบว่ามีก้อนเนื้อบริเวณหน้าอกข้างซ้ายของเธอ
และเธอก็ได้ไปหาหมอและได้รับการวินิจฉัยว่าก้อนเนื้อนั้นเป็นเนื้อร้าย
รวมทั้งตรวจพบว่ามะเร็งได้เริ่มลุกลามไปยังปอดของเธอแล้ว หลังจากนั้นเธอได้รับการรักษาโดยการตัดเต้านมและเนื้อเยื่อที่อยู่รอบๆออกไป
แพทย์ได้ใช้วิธีการรักษาจิตราด้วยการฉายรังสีและรักษาด้วยวิธี Chemotherapy
ซึ่งเป็นขั้นตอนมาตรฐานสำหรับการรักษามะเร็งเต้านมทั่วไปเพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วย
โดยความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในชีวิจของเธอสัมพันธ์กับการรักษาโรคด้วยสองวิธีการที่แตกต่างแต่มีเป้าหมายเดียวกันคือการรักษาเยียวยาให้หายจากความเจ็บป่วย
ที่นำไปสู่ความมหัศจรรย์ในชีวิตของเธอที่เซลล์มะเร็งหายไปจากร่างกายของเธอ
ผู้ตอบคำถามขอใช้วิธีคิดเรื่อง
Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model นำมาใช้อธิบายปรากฏการณ์ความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมในบทความชิ้นนี้
ความเจ็บป่วยไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของร่างกายตามคำอธิบายชีวะการแพทย์
แต่มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ ชีวะ จิตและสังคมด้วย ดังเช่นในบทความ ผู้เขียนบทความซึ่งเป็นหมอที่ดูแลจิตรา
ได้เฝ้าติดตามและสังเกตพฤติกรรมของเธอจนพบว่าจิตตรามีความวิตกกังวลและเครียดมาก ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เธอจะต้องตายแต่เธอเป็นกังวลว่าสามีของเธอจะอยู่คนเดียวและต่อไปแต่งงานใหม่กับผู้หญิงอเมริกันซึ่งเป็นเรื่องที่เธอทำใจยอมรับไม่ได้
แม้ว่าดูภายนอกเธอจะดูมีสุขภาพที่แข็งแรงแต่จริงๆแล้วเธอซ่อนความเจ็บป่วยของเธอจากผู้อื่นเช่นญาติของเธอซึ่งเธอกลัวว่าพวกเขาจะมองเธอด้วยสายตาที่สงสารว่าเธอกำลังใกล้จะตาย
ทั้งๆที่เธอได้รับความทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยอย่างมาก โอกาสมีชีวิตรอดของเธอเกินกว่า5 ปีมีน้อยกว่า 10 เปอร์เซ็นต์
จนกระทั่งนายแพทย์ได้เสนอแนวทางการรักษาใหม่ที่ควบคู่ไปกับการทำเคมีบำบัดสำหรับจิตรา
ซึ่งก็คือวิธีการแบบอายุรเวช (Ayuraveda) ซึ่งแม้ว่าจิตราจะเติบโตในสังคมอินเดีย
แต่เธอก็มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้น้อยมาก มีเพียงปู่ของเธอซึ่งเป็นเจเนอเรชั่นสุดท้ายที่รู้เรื่องเหล่านี้พร้อมกับการเติบโตของการแพทย์สมัยใหม่ในอินเดีย
ดังนั้นความเจ็บป่วยของจิตราจึงไม่ใช่แค่เรื่องของร่างกายแต่สัมพันธ์กับมิติทางด้านจิตใจ
ความวิตกกังวล รวมถึงเรื่องสังคมที่สัมพันธ์กับบุคคลที่เธอรักและครอบครัว
การรักษาความเจ็บป่วยไม่สามารถรักษาแค่เพียงร่างกายอย่างเดียวแต่สัมพันธ์กับเรื่องของจิตใจและสังคม
ทั้งความเชื่อมั่นในการรักษา การยอมรับการรักษา
รวมถึงการบรรเทาความวิตกกังวลหรือความกลัวที่บุคคลเผชิญกับความเจ็บป่วย ดังเช่นในบทความ
หมอต้องการดึงจิตรามาเข้าสู่กระบวนการรักษาแบบอายุรเวช
เพราะความเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งของจิตราได้เกี่ยวข้องกับลักษณะทางกายภาพหรือร่างกายเท่านั้นแต่ยังเกี่ยวพันกับสิ่งอื่นๆแบบเป็นองค์รวม
(Holistic) แม้ว่าจิตราจะรับรู้ว่าเธอป่วยเป็นมะเร็งและรู้สึกถึงความทุกข์ทรมานจากโรคนี้
ทั้งจากการตรวจเนื้อเยื่อที่ปอดของเธอและรู้ว่าเซลล์มะเร็งมีการแพร่กระจายมากขึ้น
รวมถึงอาการปวดหน้าอกของเธอที่ทำให้เธอตั้งนั่งพักและหายใจลำบาก
ที่สะท้อนให้เห็นสัญญาณของโรคที่เกี่ยวข้องกับร่างกาย
ความรู้สึกเจ็บปวดอารมณ์ซึมเศร้า หดหู่ ความวิตกกังวล
ที่สมองของจิตราตอบสนองต่อสิ่งเหล่านี้
ดังนั้นวิธีการแบบองค์รวม
(Holistic) จึงเป็นวิธีการรักษาที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์ระหว่างร่างกาย
(Body)กับจิตใจ (Mind) เข้าด้วยกัน
โดยเปรียบเทียบให้เห็นว่าถ้าปัจจุบันจิตตราอยู่ในบอมเบย์ อินเดีย
ย่าของเธออาจจะจัดเตรียมอาหารที่เฉพาะให้เธอ
การนวดน้ำมันเพื่อให้ร่างกายผ่อนคลายและทำความสะอาดร่างกายให้เธอหรือซื้อยาสมุนไพรจากร้านขายยาอายุรเวชและให้หล่อนนอนพักอยู่บนเตียงนอน
ซึ่งวิธีการรักษาแบบอายุรเวชจึงเป็นสิ่งที่ปะทะกับบางสิ่งที่ลึกในธรรมชาติ
และเป็นความรู้ที่เป็นรากเหง้าซึ่งไม่ใช่เทคนิควิทยาการสมัยใหม่แต่เป็นภูมิปัญญา (Wisdom) ในขณะที่แพทย์แบบสมัยใหม่ (Modern Medicine) มียุทธศาสตร์อยู่ที่การปะทะโจมตีทางด้ายกายภาพในโรคมะเร็งของผู้ป่วย
แม้ว่าวิธีการทั้งสองอย่างจะเหมือนกันตรงที่ให้ความสำคัญกับร่างกาย โดยอายุรเวช
เน้นที่การบำบัดฟื้นฟูตัวเองของร่างกาย ขณะที่การแพทย์สมัยใหม่จัดการกับร่างกายโดยเครื่องมือทางการแพทย์สมัยใหม่
ทั้งยา รังสี เอ๊กเรย์ ในขณะที่การทำสมาธิ
การฝึกจิตเป็นเรื่องของจิตใจที่ถูกเชื่อมโยงเข้ามาในการรักษาที่หลากหลายของจิตรา
ความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับการรักษาด้วยวิธีการทั้งสองรูปแบบร่วมกัน
สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ของกระบวนทางชีวะวิทยา
จิตวิทยาและสังคมที่ทำให้อาการเจ็บป่วยของจิตราหายไป ดังเช่นในบทความพบว่า จิตราได้เข้ารับการรักษาที่คลินิกของหมอ
เธอนอนพักรักษาตัวอยู่หลายสัปดาห์เพื่อเข้ารับการรักษาและการรักษาตัวที่บ้าน
ด้วยวิธีการเปลี่ยนแปลงอาหาร การกินยาสมุนไพรตามตำราอายุรเวช การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการออกกำลังกาย เช่น
การเล่นโยคะ
วิธีการดังกล่าวเหมือนการฟื้นฟูซ่อมแซมร่างกายที่เชื่อในความสามารถของการดูแล
รักษา ฟื้นฟูตัวเอง เพื่อให้อวัยวะต่างๆกลับมาสู่ความสมดุล จิตตราเชื่อมั่นกับโปรแกรมการรักษาและกลับมาทุก
6 สัปดาห์ ในขณะเดียวกันเธอก็ยังคงรักษาด้วยวิธีการเคมีบำบัดด้วยกับหมอที่นิวยอร์ก
ประมาณปีหนึ่งเมื่อได้ติดตามความก้าวหน้าของจิตรา
จากการเอ็กซเรย์ปอดก็ยังคงแย่เหมือนเดิม หายใจลำบากและดูเหมือนเธอจะอ่อนแอลง
จนกระทั่งหมอสงสัยว่าเธอจะมีอาการติดเชื้อ มีไข้สูงมากและไม่อนุญาตให้เธอออกจากโรงพยาบาล
หมอตัดสินใจเอ็กซเรย์ปอดของเธออีกครั้ง
จนกระทั่งพบว่าปอดของเธอไม่มีเซลล์มะเร็งแล้วและเธอสามารถฟื้นฟูตัวเองขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
ไม่ว่าจะเกิดจาการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรืออายุเวชก็ตาม
แต่จิตราก็ยังมีความกังวลว่าเซลล์มะเร็งจะกลับมาอีกครั้ง
เธอจึงเข้ามาคุยกับผู้เขียนบทความว่าจะทำอย่างไรดี
เพราะหมอที่รักษาด้วยเคมีบำบัดก็บอกว่าเธอดีขึ้นเพราะเคมีบำบัดและควรรักษาด้วยวิธีการนี้ต่อ
แม้ว่าผู้เขียนจะเชื่อมั่นในวิธีการรักษาแบบอายุรเวชก็ตามแต่ไม่มีเหตุผลที่ดีมากเพียงพอที่จะให้เธอเลิกรักษาด้วยเคมีบำบัดแล้วมารักษาด้วยอายุรเวชอย่างเดียว
เพราะไม่สามารถรับประกันได้หากเธอกลับมาเป็นอีกครั้งและตายใน6 เดือนถัดไป
แต่ผู้เขียนก็ขอให้เธอรักษาแบบเคมีบำบัดควบคู่กับอายุรเวชด้วย
จนกระทั่งหลายเดือนจิตราก็หายจากโรคนี้ แต่เธอก็ยังคงสงสัยถึงความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเธอเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บที่หายไป
ในทางการแพทย์พยายามจะทำความเข้าและอธิบายด้วยหลักการของQuantum หรือภาวการณ์ก้าวกระโดด
(เช่นเดียวกับภาวะใกล้ตายหรือป่วยหลักไปสู่การหายจากความเจ็บป่วย) หรือพลังงาน
เป็นที่รับรู้กันในหมู่นักฟิสิกส์แม้จะยังไม่มีการใช้ในทางคลินิกแต่ก็มีการพยายามเชื่อมโยงวิธีคิดนี้กับการรักษาแบบอายุรเวช
ในกรณีของจิตราคือ Quantum Healing
ที่มีการเคลื่อนไหวจากภายนอก
วิธีการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงไปยังแกนกลางที่ลึกที่สุดของระบบร่างกายและจิตใจ
ที่เป็นแกนกลางของการรักษา ดังเช่นการผสมกลมกลืนระหว่างอายุรเวชกับวิธีการรักษาสมัยใหม่เช่น
เคมีบำบัดหรือรังสีที่สะท้อนให้เห็นการแต่งงานหรือการเชื่อมโยงระหว่างสองวัฒนธรรมที่พยายามนำไปสู่คำตอบที่เป็นหนึ่งเดียวคือการรักษาโรค
ถ้าเรารู้ว่าสมองของมนุษย์ทำหน้าที่อะไรสัมพันธ์กับความคิด อารมณ์ ความรู้สึกและกระตุ้นการเคลื่อนไหวของร่างกายการรักษาความเจ็บป่วยก็ย่อมสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้น การรักษาโดยเน้นทางร่างกายโดยการให้ยา ผ่าตัด
มากกว่าการเชื่อมโยงทางด้านจิตใจร่างกายเข้าด้วยกันที่จะทำให้เกิดการรักษาที่มีประสิทธิภาพและเกิดความมหัศจรรย์ขึ้นกับชีวิตของเธอได้
ดังนั้นการทำความเข้าใจสุขภาพอย่างเป็นองค์รวมว่ามีความสัมพันธ์กับเรื่องของกาย
จิตและสังคม เป็นการผสมผสานระหว่างความคิดแบบตะวันตก
ที่มองความเจ็บป่วยเป็นเรื่องของเชื้อโรค พันธุกรรม ยีนส์ และร่างกายแบบการแพทย์เชิงชีวะ
ที่ยังมีข้อจำกัดในการอธิบายและทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเจ็บป่วยและสุขภาพ ที่สมบูรณ์
กับการมองความเจ็บป่วยด้วยเรื่องของจิตใจและสังคมก็เป็นสิ่งที่สำคัญ ปาฎิหาริย์ที่เกิดขึ้นในบทความไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับการหายจากอาการป่วยจากโรคร้าย
หรือตัวอย่างที่ผู้เขียนยกมาประกอบ เช่น กระดูกหักที่สามารถผสานกันได้ด้วยจากสภาวะที่ความรู้สึกสั่งการให้เกิดขึ้น
หรือผู้ป่วยเอดส์ที่มีชีวิตอยู่ได้ยืนนาน ที่สัมพันธ์กับการรักษาโดยอาศัยพลังของศรัทธา
จึงเป็นสิ่งที่สัมพันธ์กับกระบวนการทางจิตวิทยา ความมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตรอด
การตระหนักในศักยภาพแห่งตน (Self Efficacy) ที่เชื่อมั่นในการรักษาและการดูแลสุขภาพ
รวมถึงความคิดและทัศนคติในเชิงบวกต่อความเจ็บป่วยของตัวเอง
ซึ่งทั้งหมดล้วนสัมพันธ์กับเรื่องของจิตวิทยาและสังคมและมีความสำคัญมากขึ้นในงานวิจัยและงานศึกษาเกี่ยวกับสุขภาพและความเจ็บป่วยในปัจจุบัน
สวัสดีฉัน aM clinton nancy หลังจากที่ได้มีความสัมพันธ์กับแอนเดอร์สันมานานหลายปีแล้วเขาเลิกกับฉันฉันทำทุกอย่างเพื่อให้เขากลับมาได้ แต่ทั้งหมดก็ไร้ผลฉันต้องการให้เขากลับมามากเพราะความรักที่ฉันมีต่อเขา, ฉันขอร้องเขาด้วยทุกสิ่งทุกอย่างฉันทำสัญญา แต่เขาปฏิเสธ ฉันอธิบายปัญหาของฉันกับเพื่อนของฉันและเธอบอกว่าฉันควรจะติดต่อล้อสะกดที่สามารถช่วยฉันโยนคาถาเพื่อนำเขากลับมา แต่ฉันเป็นประเภทที่ไม่เคยเชื่อในการสะกดฉันไม่มีทางเลือกกว่าที่จะลองฉัน ส่งคาถลลวงและเขาบอกผมว่าไม่มีปัญหาใด ๆ ที่ทุกอย่างจะเรียบร้อยก่อนสามวันที่อดีตของฉันจะกลับมาหาฉันก่อนสามวันเขาได้ให้การสะกดและในวันที่สองก็แปลกใจคือประมาณ 4 โมงเย็น อดีตของฉันเรียกฉันว่าฉันประหลาดใจมากฉันตอบสายและสิ่งที่เขาพูดก็คือเขาเสียใจมากสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการให้ฉันกลับไปเขาว่าเขารักฉันมาก ฉันมีความสุขมาก ๆ และไปหาเขานั่นคือสิ่งที่เราเริ่มใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาฉันได้สัญญาว่าใครที่ฉันรู้ว่ามีปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ฉันก็จะช่วยคนดังกล่าวโดยการแนะนำให้เขาเป็นครูผู้ชำเถียงในการสะกดเฉพาะที่แท้จริงและทรงพลังที่ช่วยฉันด้วยปัญหาของตัวเอง อีเมล์: drogunduspellcaster@gmail.com คุณสามารถส่งอีเมลถึงเขาได้หากคุณต้องการความช่วยเหลือในความสัมพันธ์หรือกรณีอื่น ๆ
ตอบลบ1) รักคาถา
2) Lost Love Spells
3) การหย่าร้าง
4) เวทมนตร์สมรส
5) มัดสะกด
6) คาถา Breakup
7) ขับไล่คนที่ผ่านมา
8. ) คุณต้องการได้รับการเลื่อนตำแหน่งในการสะกดของสำนักงาน / สลากกินแบ่งของคุณ
9) ต้องการที่จะตอบสนองความรักของคุณ
ติดต่อคนที่ยิ่งใหญ่นี้หากคุณมีปัญหาใด ๆ สำหรับโซลูชันที่ยั่งยืน
ผ่าน DR ODOGBO34@GMAIL.COM
ฉันต้องการบอกให้โลกรู้อย่างรวดเร็วว่ามีลูกล้อคาถาออนไลน์ที่ทรงพลังและเป็นของแท้มากชื่อของเขาคือดร. edede เขาช่วยให้ฉันรวมตัวกับความสัมพันธ์ของฉันกับ hubby ที่ทิ้งฉันเมื่อไม่นานมานี้เมื่อฉันติดต่อดร. edede เขาได้สะกดความรักให้ฉันและ hubby ของฉันก็โทรหาฉันหลังจากผ่านไป 2 วันและเริ่มขอร้องให้ฉันกลับมาในชีวิต ... เรากลับมาแล้วในตอนนี้ด้วยความรักและการเอาใจใส่มากมาย วันนี้ฉันดีใจที่จะให้คุณทุกคนรู้ว่าลูกล้อสะกดนี้มีอำนาจในการคืนค่าความสัมพันธ์ที่หักกลับมาเพราะตอนนี้ฉันมีความสุขกับ hubby ของฉัน ... หากมีใครออกมีที่อ่านบทความนี้และต้องการความช่วยเหลือใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ปัญหาด้านล่างนี้ยังสามารถติดต่อดร. edede เพื่อขอความช่วยเหลือในปัญหาดังต่อไปนี้: (1) การรักษาโรคทุกประเภท (2) คดีในศาล (3) คาถาการตั้งครรภ์ (4) การป้องกันทางจิตวิญญาณ (5) การรักษาโรคมะเร็ง (6) สำหรับโรคเริม (7) รักษาโรคเอดส์และอื่น ๆ อีกมากมาย ... คุณสามารถติดต่อเขาทางอีเมลของเขา: ededetemple@gmail.com หรือโทร / WhatsApp ด้วยหมายเลขโทรศัพท์มือถือของเขาที่ +38972751056
ตอบลบ