ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

From Archaeology of knowledge to Genealogy


จากการศึกษาแบบโบราณคดีความรู้ (Archaeology of Knowledge) มาสู่การศึกษาแบบวงศาวิทยา Genealogy ประวัติศาสตร์ความรู้กับอำนาจ

                                                                                                              โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล
วิธีการแบบวงศาวิทยาหรือ Genealogy เป็นวิธีการศึกษาที่พัฒนามาจากงาน Archaeology of knowledge  ที่ยังมีข้อบกพร่องบางประการ ในการมองประวัติศาสตร์ออกเป็นชั้นๆ ของชุดเวลาของวาทกรรม ที่อาจเรียกว่า Serialism โดยการตีแผ่ชั้นต่างๆชุดต่างๆของช่วงเวลาและวาทกรรม ในการเปิดเผยให้เห็นองค์ประกอบต่างๆที่ดำรงอยู่ด้วยกัน (Coexistence) โดยการอธิบายคุณลักษณะ กฎเกณฑ์ของวาทกรรมหนึ่งๆที่มาประสานกัน รวมทั้งภาษาและวาทกรรมในตัวของมันเอง โดไม่ได้นำเงื่อนไขทางสังคม การเมือง ปัจจัยแวดล้อมมาพิจารณาด้วย ซึ่งทำให้ฟูโก ถูกกล่าวหาว่าเขาเป็นพวกโครงสร้างนิยมมากกว่า แม้ว่าเขาจะพยายามชี้ให้เห็นถึงความไม่ต่อเนื่องของสรรพสิ่งต่างๆ ภายใต้ความหักเห แตกดับและการเกิดใหม่อยู่ตลอดเวลาของสิ่งต่างๆก็ตาม เพราะว่าเขาปฏิบัติราวกับว่าภาษาหรือวาทกรรมนั้นเป็นอิสระจากบริบททางสังคมทั้งมวล  วงศาวิทยาให้ความสนใจกับการศึกษาร่างกายของมนุษย์ที่ถูกสร้างหรือบงการจากอำนาจของวาทกรรมในประวัติศาสตร์ กลไกลเหล่านี้ที่ทำให้มีตัวตนของมนุษย์ขึ้นมา ในรูปแบบที่อ่อนไหว ไม่มั่นคงและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอในยุคสมัยหนึ่งๆ ไม่ได้มีความมั่นคงต่อย่างใด การวิเคราะห์แบบวงศาวิทยา จึงเป็นการวิเคราะห์โดยการจัดวางตัวเองให้ยืนอยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่งของช่วงเวลาและเงื่อนไขสังคมบางประการโดยไม่แยกตัวออกจากวาทกรรมหนึ่ง ที่สามารถมองย้อนกลับไปยังวาทกรรมอื่นๆ เช่น ผู้ศึกษายืนอยู่ในช่วงเวลาของการพูดถึงเรื่องแร่โพแทช  ซึ่งเป็นกระบวนการจัดการทรัพยากรแร่ธาตุในปัจจุบัน ที่กำลังเป็นข้อถกเถียง ข้อวิพากษ์วิจารณ์ ในทางเทคโนโลยี ในทางกฎหมาย เพื่อที่จะวิพากษ์การจัดการทรัพยากรเกลือและโพแทช ในช่วงเวลาก่อนหน้านั้น เป็นต้น
สิ่งที่วงศาวิทยาให้ความสำคัญก็คือ การปฏิบัติการของวาทกรรมต่างๆ  โดยเขาพัฒนาแนวความคิดเรื่องอำนาจขึ้นมา ซึ่งเป็นการขจัดข้อบกพร่องของArchaeology of Knowledge ของเขา ที่ละเลยเรื่องของระบอบอำนาจ (Regime of power) ของวาทกรรม โดยการให้ความสำคัญกับรูปแบบ แนวคิด และกฎเกณฑ์ของวาทกรรม และการสร้างความจริง แต่ในวงศาวิทยาของเขาต้องการบอกว่า ความจริงเป็นสัจจะได้ ก็เพราะอำนาจบางอย่างถูกสร้างขึ้นไปพร้อมกันกับความรู้ ฟูโกเรียกมันว่า ระบอบของความจริง (Regime of Truth) สิ่งที่เขาทำคือการเปิดเผย ส่วนย่อยต่างๆที่ถูกบดบง หรือควบคุม สกัดกั้น ด้วยอำนาจของวาทกรรม ที่พวกเราเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้คือความจริง
การวิพากษ์ประวัติศาสตร์แบบมวลรวมหรือ ประวัติศาสตร์แบบรวบยอด ( Total History ) ที่บ่งชี้และแสดงความหมายร่วมกันของการปรากฏขึ้นของยุคสมัยทั้งหมด  ซึ่งได้สร้างระบบความสัมพันธ์ที่เป็นหนึ่งเดียว (Homogenous Relation ) กับพวกเราในความคิดทางประวัติศาสตร์  โดยการก้าวข้ามมาสู่ประวัติศาสตร์แบบใหม่ ภายใต้ การแบ่งแยก, การชี้ให้เห็นข้อจำกัด, ความแตกต่างของระดับชั้น,ลำดับของช่วงเวลาที่เฉพาะ และประเภทของความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนเป็นไปได้ เขาได้เสนอสิ่งที่เรียกว่า ประวัติศาสตร์เฉพาะGeneral History ในความสัมพันธ์ที่แตกต่างข้างต้น ในพื้นที่ที่กระจัดกระจาย (Space of dispersion)และแตกต่างหลากหลาย      โดยการเคลื่อนไปสู่การศึกษาแบบที่เรียกว่าวงศาวิทยา (Foucault :1972,9-10) ในรูปแบบของความไม่ต่อเนื่อง (Discontinous) สิ่งที่คิดได้ไม่ถึง (Unthinkable) เหตุการณ์ที่กระจัดกระจาย (Dispersed event) และ ความบังเอิญ (accident)  ที่จำกัดและลดทอน การเปิดเผยตัวของเหตุการณ์ที่ต่อเนื่อง โดยการตีแผ่ให้เห็นความไม่ต่อเนื่องของประวัติศาสตร์ทางความคิด  ความสัมพันธ์ของชุดของเรื่องราว หมวดหมู่ ( Series หรือ table) ที่เพิ่มมากขึ้นในจำนวนของลำดับชั้นและการแบ่งแยกพวกเขาในความเฉพาะของช่วงเวลา  ประวัติศาสตร์ทางความคิด  จึงเป็นสิ่งที่ค้นหา ความไม่ต่อเนื่อง ซึ่งประวัติศาสตร์ การปรากฏตัวของสิ่งเหล่านี้กับสิ่งที่ถูกละทิ้ง ละเลย สิ่งที่มีการปะทุ แตกแยกของเหตุการณ์ ในความนิยามชื่นชอบกับโครงสร้างที่มั่นคง (Foucault,1972;4) นั่นก็คือ การต่อต้านศูนย์กลางขององค์ประธาน (Subject) และความคิดที่ฝังแน่นในคู่ทวิลักษณ์ คู่ตรงกันข้ามของนักมานุษยวิทยาสายโครงสร้าง( Structural Anthropology ) และมนุษยนิยม(Humanism) ที่ให้ความสำคัญกับตัวมนุษย์และตอกย้ำความเป็นองค์ประธานของมนุษย์ในความมีเหตุผล การสร้างความคิดเชิงเดี่ยว เกี่ยวกับการจัดวางคุณค่า โลกทัศน์ที่เชื่อมโยงกับอารยธรรมของมนุษย์ ที่ถูกทำลายและทำให้หลุดจากอำนาจของศูนย์กลางที่เหนียวแน่น ในการปฏิบัติของ นิชเช่ (Neitze) ในสิ่งที่เรียกว่า วงศาวิทยา ที่ปะทะกับเรื่องเป้าหมายสูงสุดของมนุษยชาติ (Telos of Mankind)  และเชื่อว่ามนุษย์ไม่ได้เป็นองค์ประธานของประวัติศาสตร์แต่อย่างใด โดยสิ่งที่ฟูโก ได้นำเสนอเป็นพื้นฐานในงานArcheology ของเขาก็คือ การตั้งคำถามกับประวัติสาสตร์ที่ไม่เคลื่อนไหว เขาเรียกว่าสิ่งที่เป็นตัวอย่างซึ่งเราเชื่อมั่น ชื่นชมอย่างแนบแน่นและไม่ตั้งคำถามหรืออนุสาวรีย์ที่ไร้เสียง ( Monument )  ที่ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ได้ทำงานบนสิ่งที่เรียกว่า เอกสารหลักฐานต่างๆเช่น หนังสือ หรือ Ouvre  ซึ่งรวบรวมและผลิตซ้ำองค์ความรู้ต่างๆ สำหรับการอ้างอิงและการพูดถึง ปัญหาสำคัญก็คือ การเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่เรียกว่า เอกสารหลักฐานสู่การเป็นเหมือนตัวอย่างที่คนยกย่องชื่นชม ทั้งที่หนังสือก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า สนามที่ซับซ้อนของบรรดาวาทกรรมต่างๆที่ประกอบเข้าด้วยกันภายในเอกสารชิ้นหนึ่งๆ ที่เราไม่เคยตั้งคำถาม เพราะเราเชื่อว่ามันคือความรู้ ความจริงของเรา สิ่งที่พูโก พูดถึงความรู้ จึงเป็นสิ่งที่เป็นๆไปได้ที่เราสามารถพูดภายในสนามปฏิบัติการของวาทกรรม (Foucault:1972,182)  ที่ถูกทำให้กลายเป็นความจริงเฉพาะ  ดังนั้นความรู้ จึงเป็นเสมือนพื้นที่ ที่องค์ประธานสามารถจับยึดตำแหน่งแห่งที่ของพวกเขาในการพูดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ เช่น วาทกรรมทางการแพทย์ของหมอ วาทเรื่องทรัพยากรแร่ธาตุของนักธรณีวิทยา วาทกรรมเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนของนักสิ่งแวดล้อม ความรู้เป็นเช่นเดียวกับสนามของการเชื่อมประสาน  ที่เกิดขึ้นภายใต้สิ่งที่ถูกพูดถึงและแนวความคิดเบื้องหลังที่ปรากฏหรือเผยตัวออกมาและสุดท้ายความรู้ เป็นสิ่งที่ถูกนิยามโดยความเป็นไปได้ของการใช้ และการจัดหาอย่างเหมาะสมโดยวาทกรรม ที่เชื่อมต่อระหว่างสิ่งที่ถูกพูดขึ้นมาใหม่ กับสิ่งที่ถูกพูดมาแล้ว การเชื่อมโยงกับวาทกรรมอื่นๆหรือการปฎิบัติอื่นๆที่ไม่ใช่ Discursive Practices แต่เป็น Non-Discursive Practice ที่อยู่นอกเหนือการพูดถึงวาทกรรม เป็นเรื่องของสถาบันที่รองรับความจริงของวาทกรรม ให้การปรากฏตัวของวาทกรรมเป็นไปได้
ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่างานวงศาวิทยาของฟูโก  ต้องการปะทะกับสิ่งที่เรียกว่า อำนาจและความรู้ โดยเน้นไปทีงาน Discipline and Punishment  เป็นสิ่งที่อยู่บนรอยทางของแนวความคิดเกี่ยวกับอำนาจ ที่ให้ความชัดเจนกับการให้ความสัมพันธ์ระหว่างความแตกต่างของ Archaeology และ Genealogy  โดยมองไปที่การผลิตความรู้และอำนาจ ที่ควบคุมจัดระเบียบและวางกฎเกณฑ์เกี่ยวกับร่างกายของมนุษย์
ในงานของ Rudi Visker (1995) เรื่อง Genealogy as Critiques ในบทความจริงของวิทยาศาสตร์ และความจริงของประสบการณ์ ฟูโกต้องการต่อต้านประวัติศาสตร์ (Counter-History) และวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ที่ซึ่งขัดแย้ง ตรงกันข้าม กับความทรงจำ  การต่อต้านความทรงจำ (Counter-memory) และเปิดเผยว่าความทรงจำเช่นเดียวกับความหลงลืม (Visker,1995;17)  ซึ่งความหมายของประวัติศาสตร์ เป็นสิ่งที่มีสมมตติฐานเบื้องต้น ของระยะทางที่ไม่สามารถคาดคะเนได้ระหว่างช่วงยุคสมัย ซึ่งมันเพิ่มขึ้นจากความหลงลืมเกี่ยวกับความหมายดั้งเดิมของอดีตและความหมายในอดีตที่ไม่สามารถหยิบฉวยในช่วงเวลาปัจจุบัน
การสร้างความเป็นอื่น (Aliennation) ในการป้องกันความรู้บางอย่าง จากความรู้อื่นๆของเรา อะไรที่เราเชื่อ เรารู้  เช่น เรื่องของความเจ็บป่วยทางจิต(mental illness ) ที่ทำให้เป็นอื่นของความบ้า การทำให้เป็นอื่นในวิชาจิตวิทยา ที่มันสร้างความเป็นไปได้ของตัวมันเอง (Visker:1995,21) เหมือนเรื่องของโปแตช ซึ่งสร้างความเป็นอื่นให้กับเกลือ โดยสร้างความรู้เกี่ยวกับธรณีวิทยาการเป็นแร่ ไม่เป็นแร่ กีดกันสิ่งเหล่านี้ออกจากกระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจ  สถานะของเกลือจึงไม่ถูกพูดถึง ในขณะที่โปแตช และเกลือหินซึ่งเป็นแร่ชนิดใหม่ ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง ในการนำมาพัฒนาประเทศ ภายใต้การลงทุนของบริษัทข้ามชาติ ทุน เทคโนโลยี และการไม่มีผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งแตกต่างจากการผลิตเกลือแบบพื้นบ้าน และอุตสาหกรรมแบบต้มแบบตากขนาดกลาง  รวมถึงสถาบันต่างๆ ทางการเมือง กฎหมายที่ทำหน้าที่สอดรับและสนับสนุน ดังนั้นประติศาสตร์ของเกลือและโปแตชจึงสร้างความเป็นไปได้ให้กับวิชาธรณีวิทยาเป็นต้น
ดังนั้นความต้องการต่อต้านประวัติศาสตร์ เป็นสิ่งที่เคลื่อนไหวเริ่มแรกในงานสืบค้นความรู้และลำดับชั้นทางประวัติศาสตร์ของเขา (Archaeology of Knowledge) และงานที่มีการสืบค้นอย่างเป็นระบบที่พัฒนาในช่วงต่อมาของเขา คือ วงศาวิทยา หรือสาแหรกความรู้ (Genealogy of Knowledge) การวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ที่เป็นปฏิปักษ์หรือความขัดแย้งกับความทรงจำ ที่เขาเรียกกว่า ความทรงจำที่ถูกหลงลืม วงศาวิทยาไม่ได้อ้างถึงเฉพาะความไม่ต่อเนื่อง ที่ทำลายมายาคติ ความเพ้อฝัน ความหลอกลวง ของวิวัฒนาการการพัฒนาเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำหรือเผยให้เห็นความต่อเนื่องที่ลึกมากกว่า ที่ซึ่งเป็นผลผลิตของการเปลี่ยนแปลงส่งผ่านอย่างเป็นลำดับ
ฟูโก ต่อต้านประวัติศาสตร์ ของลัทธิที่ยึดถือความจริง(Realist) ของการตีความหมายด้วยตัวเอง การพึ่งพาการดำรงอยู่ของวัตถุที่เป็นอิสระทางวิทยาศาสตร์ เช่นเดียวกับวิชาจิตวิทยา และ ล่อลวง จักจูงไปยังการเลือกสรรและการสร้างอุดมคติ ในการอ่านประวัติศาสตร์ในการปรากฏของมัน  การวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความรู้ของมนุษย์ (Human Science)
การค้นพบเกี่ยวกับการปิดปังอำพราง ความจริงของวัตถุ (Real Object) ความบ้า คือสิ่งที่มีพื้นฐานอยู่บน de facto ร่องรอยของความจริงที่เปิดเผยและเชื่อมโยงตัวเองกับความเป็นอื่น คือคำพูดหรือวลีหนึ่งที่ปฏิเสธการดำรงอยู่ของสิ่งอื่นๆ การห้าม การโต้แย้งหรือการสกัดกั้น พวกเขา ในการแผ่ขยายในแต่ละวลี ที่อ้างถึงความสมบูรณ์กับทุกๆสิ่ง ออกจากการไม่พูด(Deleuze:1986,2) ซึ่ง de facto          ไม่สามารถหลีกเลี่ยงจาก de jure ได้ เช่นเดียวกับความเจ็บป่วยทางจิต คือ ความเป็นอื่นของความบ้า ในช่วงเวลาหนึ่งที่ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์กำลังมีอิทธิพล อาการทางจิตมีลักษณะไม่แตกต่างจากคนปกติ มันไม่ใช่ความเจ็บป่วย หรือความไร้เหตุผล คนที่เป็นโรคจิต จึงไม่ต้องอยู่รวมกับพวกเบี่ยงเบน ผิดปกติ เช่นนักโทษ ในคุก แต่มีโรงพยาบาลสำหรับดูแล บำบัดฟื้นฟู ให้พวกเขากลายเป็นคนปกติและออกสู่สังคมได้ ซึ่งแตกต่างจากความคิดเรื่องความบ้าในยุคก่อนๆ ทำให้ความบ้าไม่ถูกพูดถึงหรือถูกทำให้เป็นอื่นโดยวาทกรรมทางจิตเวช จิตวิทยา จิตวิเคราะห์ ที่สร้างความรู้ใหม่ในสังคม
แนวทางการศึกษาแบบวงศาวิทยาของฟูโก จึงเป็นเสมือนการเปิดพื้นที่ ( Open Space )สนามของพลังอำนาจ ( The Field Force ) ฉากหรือบทที่สามารถกล่าวซ้ำ ( Repeatable Scence ) ที่อาจสรุปสั้นๆได้ว่า มันเหมือนหนังสือที่ไม่ถูกกีดกันกับการแสดงตัวมันเอง ที่เป็นทั้งการต่อสู้และอาวุธ  ยุทธศาสตร์และผลกระทบ การดิ้นรนต่อสู้ และการแข่งขัน หรือบาดแผลร่องรอยของความเสียหาย  เช่นเดียวกับการแสดงสถานการณ์และการหวนระลึกเกี่ยวกับอดีต หรือการเผชิญหน้าอย่างไม่ราบเรียบและฉากที่สามารถพูดซ้ำ
การเชื่อมต่อของฟูโก ระหว่างอำนาจกับความรู้ เช่นเดียวกับที่เขาบอกว่า ไม่ความสัมพันธ์ทางอำนาจที่ปราศจากความเกี่ยวข้องกันในการประกอบสร้างของสนามแห่งความรู้ หรือความรู้อื่นๆ ที่ไม่แสดงสมมติฐานล่วงหน้า และประกอบสร้างที่ช่วงเวลาเดียวกันกับความสัมพันธ์ของอำนาจ (Visker:1995,57)
แนวความคิดเกี่ยวกับรูปแบบของความรู้และอำนาจ เป็นสิ่งที่มีความหมายกับการใช้อำนาจ (exercise power) ในช่วงเวลาเดียวกันกับกฎเกณฑ์ที่จัดตั้งความรู้ เช่นเดียวกับการป้องกันรักษาความรู้ ที่อำนาจผลิตมัน เหมือนความรู้ทางมนุษยศาสตร์กับระเบียบวินัย หรือกฎเกณฑ์ของอำนาจ (The Discipline of power )  ที่ทำงานไปด้วยกัน
ฟูโกเปลี่ยนผ่านจากArchaeology  ไปยัง Genealogy ซึ่ง Archaeology ดูเหมือนจะถูกบังคับกับเอกสิทธิ์ ในรูปแบบที่เฉพาะของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ในความสามารถปฏิเสธเช่นเดียวกับสิ่งที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ หนทางที่ซึ่งมนุษยศาสตร์ สามารถจับยึดตำแหน่งแห่งที่ของพวกเขา ภายในขอบเขตทางความรู้เหล่านี้ การมองยังความสัมพันธ์ของความรู้ อำนาจและวิทยาศาสตร์
เมื่ออำนาจกำหนดความรู้ การขยายตัวของความรู้คือการขยายตัวของอำนาจในวาทกรรม (Visker:1995,67)
วาทกรรมทางการแพทย์ เช่นเดียวกับการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับสนามที่เฉพาะของวัตถุ มันถูกเชื่อมโยงกับการปฏิบัติที่เป็นภายนอกกับมัน ดังนั้นการปฏิบัติทางอำนาจ ยืนอยู่บนความสัมพันธ์ภายนอกกับความรู้ ที่พวกเขาสร้างความเป็นไปได้ ในความสัมพันธ์ที่เฉพาะระหว่างความรู้และการอ้างอิงภายนอก นี่คืออำนาจที่กีดกันปัจเจกบุคคลของความไร้ตัวตนของพวกเขา ที่จัดวางพวกเขา ในแสงสว่างอื่นๆ การให้พวกเขาพร้อมกับจำนวน หรือตราประทับ เอกสารหลักฐาน ที่พวกเขาอาศัยอยู่และรูปแบบพื้นฐานของความสามารถอธิบายพรรณนาใหม่ (New describability)
ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเทคนิคของอำนาจ  มันแสดงการอ้างอิงเกี่ยวกับ ประเภทชนิดที่แน่นอนของความรู้ กลไกลทางโครงสร้าง โดยความสัมพันธ์ของอำนาจที่สร้างความเป็นไปได้ของ Corpus of Knowledge ที่เป็นไปได้และความรู้ที่แผ่ขยาย
พื้นฐานของการเชื่อมต่อ การยอมรับในความจริงที่ว่า อำนาจ จัดการ จัดวาง ความรู้ ไปยังขอบเขตของวัตถุ แต่ในความจริงที่ตัวมันเองผลิต ขอบเขตของวัตถุนั้น ในการเชื่อมโยงภายใน ในยุทธศาสตร์ของอำนาจที่หลากหลาย และการจัดการใช้มัน นั่นคือการเชื่อมโยงระหว่างอำนาจกับความรู้ที่เป็นไปได้ มันกีดกัน ขุมขังควบคุมความรู้หนึ่งไม่ให้ปรากฏ พร้อมๆกับมันสร้างองค์ความรู้หนึ่งขึ้นมาด้วย
แนวความคิดของฟูโก และการวิเคราะห์ของเขาช่วยเหลือสนับสนุน กับเรื่องของความรู้และอำนาจ ความแตกหัก การทำลาย พร้อมกับรูปแบบธรรมเนียมที่มองว่า อำนาจเป็นในเชิงลบ เป็นเรื่องของการกีดกัน บังคับ สกัดกั้น ควบคุม  ตัดตอน ปิดปัง (อ้างจาก visker:1995,70) เป็นอำนาจในแนวตั้งฉาก จากจุดหนึ่งไปสู่จุดหนึ่ง จากบนลงล่าง  นำไปสู่แนวความคิดเรื่องอำนาจที่ปรากฏในรูปของอำนาจเชิงบวก ในการมองอำนาจในเชิงการผลิตของความจริง (Productive) และการควบคุม (Repressive)  ฟูโก ยกตัวอย่างกรณีของร่างกาย  โดยเฉพาะเรื่องความบ้า ที่ร่างกายของมนุษย์ถูกจัดการหรือจัดระเบียบและการต่อต้าน ขัดขืน ร่างกายคือสิ่งที่พูด อย่างมีทิศทางตรงในสนามทางการเมือง ร่างกายซึ่งถูกลดทอนไปยังการเป็นวัตถุทางเศรษฐกิจ  เทคโนโลยีทางการเมือง และกายวิภาค ความเข้าใจเรื่องร่างกายซึ่งมีประวัติศาสตร์ ที่ได้รับมาจากวงศาวิทยาของ นิชเช่ เกี่ยวกับศีลธรรมจรรยา (Moral) ที่สนับสนุนกับการทำงานของฟูโก ในเรื่องจุลฟิสิกส์ของอำนาจ (Microphysics of Power) ที่ซึ่งเป็นสนามของความถูกต้อง ที่ตั้งมั่นในความคิดความเข้าใจ ระหว่างหน้าที่ที่สำคัญเหล่านี้ (เครื่องมือและสถาบัน) และร่างกายของพวกเขาเอง กับ ความเป็นวัตถุเครื่องมือของพวกเขา และพลังอำนาจของพวกเขา (Visker,1995:7,1-72)  นั่นก็คือ อำนาจที่กำกับผู้คนให้อยู่ในบรรทัดฐาน ระเบียบกฎเกณฑ์เดียวกัน  โดยควบคุมลงไปถึงระดับชีวิตประจำวัน การปฎิบัติของร่างกายมนุษย์ ที่ถูกทำให้เป็นวัตถุที่สามารถควบคุม จัดวางและใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งแสดงให้เห็นการใช้อำนาจควบคุมโดยผ่านการวาง กำหนดหรือสร้างบรรทัดฐาน และใช้ระเบียบวินัย เป็นเครื่องมือสำคัญทางอำนาจที่จะกำกับ ควบคุมผู้คนในสังคม
วิธีการวงศาวิทยาของนิชเช่ มันวางอยู่เลยไปจาก Archaeology ในการอธิบายการเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ไม่ใช่ปฎิบัติการของวาทกรรม (Non-discurive practices) ของโครงสร้างอำนาจทางสังคม นั่นคือการให้ความสนใจกับเงื่อนไขบริบท ที่อยู่ด้านนอกของวาทกรรม ที่เป็นเรื่องของสถาบัน ในการผลิตซ้ำวาทกรรม ความรู้และอำนาจ
ฟูโก แสดงให้เห็นถึงการวิเคราะห์ของเขาเกี่ยวกับระเบียบวินัย เช่นเดียวกับ วงศาวิทยา ที่เกี่ยวกับชุดของการประยุกต์ใช้เทคนิควิทยาการที่เฉพาะกับร่างกาย การควบคุม จัดวางร่างกาย โดยระเบียบกฎเกณฑ์
การทำงานของปรากฏการณ์เชิงประจักษ์ของอำนาจ มันเป็นสภาพเงื่อนไขของความชัดเจน ภายใต้สิ่งที่ซึ่งวิพากษ์เกี่ยวกับอำนาจ ดังนั้นการศึกษากระบวนการทางอำนาจมันจึงทำงานไปพร้อมกับการวิพากษ์อำนาจไปพร้อมกันด้วย
อำนาจผลิตความจริง ก่อนที่มันจะบีบบังคับควบคุม “The Formula Power Produces Reality before it  reality” นั้นก็คืออำนาจเป็นสิ่งที่ถูกผลิตและบีบบังคับในช่วงเวลาเดียวกัน อำนาจจึงทำงานไปพร้อมกับการผลิตความรู้ความจริง และการใช้อำนาจไปพร้อมกัน เช่นกรณีของโครงการเหมืองแร่โพแทชอุดรธานี การจัดการในพื้นที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีการสร้างความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าโพแทช ที่บรรดานักพัฒนาเอกชน บริษัทข้ามชาติ นักวิชาการ และอื่นๆ พยายามสร้างขึ้นเพื่อจัดการทรัพยากรใต้พื้นดินแห่งนี้ น่าสนใจว่า บรรดาโลกทัศน์ที่แตกต่างในเรื่องของเกลือ ในพื้นที่หนองหานที่เป็นเกลือแบบพื้นบ้าน ใช้เพื่อการบริโภคในครัวเรือน และทำปลาร้าเป็นหลัก ซึ่งสอดคล้องกับวิถีประมงของคนลุ่มน้ำหนองหาน กับเกลือแบบบ้านดุง ที่เป็นเชิงพาณิชยกรรม  เพื่อการค้าให้กับอุตสาหกรรมขนาดเล็กต่างๆ เช่นโรงงานน้ำปลา โรงน้ำแข็ง โรงงานผลิตไอศกรีม และชาวบ้านพื้นที่โครงการเหมืองแร่โปแตชอุดรธานี ที่กำลังต่อสู้กับกลุ่มทุนข้ามชาติ ที่มองเรื่องของเกลือและโพแทช เป็นหายนะของชาวนาอีสาน ที่จะทำให้แผ่นดินทรุด ดินเค็มและน้ำเค็ม  ความคิดและโลกทัศน์ที่แตกต่าง วาทกรรมที่หลากหลายเหล่านี้ มันมารวมกัน ประสานกันในสถานการณ์ที่เฉพาะได้อย่างไร จนเกิดเป็นวาทกรรมใหม่ขึ้นมา เช่น การร่วมมือกันระหว่างเกลือพื้นบ้านและเกลืออุตสาหกรรมแบบพาณิชย์ เพื่อต่อสู้กับกลุ่มทุนข้ามชาติ ในการทำเหมืองแร่โพแทชและเกลือหินในอีสาน อันนำไปสู่แนวคิดเรื่องของการจัดการเกลือ และนโยบายสาธารณะเกี่ยวกับเกลือ มันถูกสร้างองค์ความรู้ตรงนี้มาได้อย่างไร ภายใต้ข้อถกเถียงระหว่างนายทุนเกลือแบบพาณิชย์และชาวนาในอดีต ที่เป็นคู่ตรงกันข้ามกัน หรือรัฐบาล ข้าราชการ อุตสาหกรรมจังหวัด ที่ไม่สนับสนุนการทำเกลือแบบพาณิชย์ที่ใช้การสูบน้ำเกลือขึ้นมาต้มและตาก เนื่องจากทำลายสภาพแวดล้อม และเกิดแผ่นดินเป็นโพรงด้านล่างหลายแห่งจึงต้องประกาศปิด แต่กับสนับสนุนการำเหมืองแร่โพแทช โดยให้เหตุผลถึงความเชื่อมั่นในเทคโนโลยี และการป้องกันผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม สิ่งเหล่านี้ซึ่งแตกต่างขัดแย้งกันมันมารวมอยู่ด้วยกัน ประสานกันภายใต้หัวข้อของการประชุมสัมมนาได้อย่างไร ทั้งที่มันมาจากฐานความคิดและโลกทัศน์ที่แตกต่างกัน ความรู้ตรงนี้ถูกผลิตโดยนักวิชาการ นักพัฒนาเอกชนหรือแม้แต่ในงานเขียนของนักมานึษยวิทยา ที่ทำให้มันมีอำนาจพลังขึ้นมาได้อย่างไร ทั้งที่มันคือสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวัน เป็นสิ่งที่ชาวบ้านบอกเล่าถ่ายทอดกัน เช่นตำนานผาแดงนางไอ่ มันถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวาทกรรมการต่อสู้เรื่องการจัดการทรัพยากรธรรมชาติใต้พื้นดินอย่างไร
การศึกษารูปสัญญะที่ล่องลอยกับประเด็นทางมานุษยวิทยา
    ภาษาเป็นตัวกำหนดความคิดของมนุษย์หรือเป็นสิ่งที่จำลองความคิดของมนุษย์ ยังคงเป็นคำถามและข้อถกเถียงที่หาคำอธิบายต่างๆได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด กระนั้นก็ตามในสภาวะปัจจุบันเราจะพบว่า ภาษาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของมนุษย์ มีพลังอำนาจและอิทธิพลอย่างมหาศาลในทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและวัฒนธรรม   โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระแสโลกาภิวัฒน์ที่สรรพสิ่งต่างๆมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันได้อย่างกว้างขวางรวดเร็วทั้งข้อมูลข่าวสาร เทคโนโลยีและทุน ทำให้พลังอำนาจที่ไร้ขอบเขตของโลกมีอิทธิพล อย่างมหาศาลและครอบงำทั่วทุกพื้นที่  แน่นอนว่าโลกทุกวันนี้ มนุษย์ทุกที่ล้วนสามารถสื่อสารหรือเข้าใจรับรู้กันได้ด้วยภาษาและกฎเกณฑ์ชุดเดียวกัน ที่เราเรียกกันว่า พูดภาษาเดียวกันแม้จะอยู่คนละทวีปหรือคนละซีกโลกก็ตาม
นักมานุษยวิทยาเริ่มให้ความสนใจกับแนวคิดแบบโครงสร้างนิยม(Structuralism)  เป็นที่นิยมและแพร่หลายในแวดวงวิชาการมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่6(ดูธเนศ วงษ์ยานนาวา,2528)  ซึ่งนักมานุษยวิทยาแนวโครงสร้างนิยมให้ความสนใจกับการศึกษาภาษาศาสตร์เชิงโครงสร้าง(Structural linguistics) ในการใช้ข้อมูลทางการสื่อสาร(Communication)ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาษา สัญญะ[1] สัญลักษณ์  เพื่อทำความเข้าใจปรากฎการณ์ทางสังคมวัฒนธรรม  แนวคิดแบบโครงสร้างนิยมโดยหลักการแล้ว ปฎิเสธความเป็นองค์ประธานของมนุษย์(subject) โดยเชื่อว่าแท้จริงแล้วมนุษย์ไม่ได้อยู่ในสภาวะขององค์ประธานอันอิสระแต่อย่างใด แต่มีความสัมพันธ์และขึ้นอยู่กับลักษณะที่เรียกว่าโครงสร้าง(Structure) ที่เป็นโครงสร้างที่อยู่เหนือกาละเทศะ(เวลาและสถานที่) ซึ่งครอบคลุมและครอบงำมนุษย์อยู่ในปัจจุบัน
นักมานุษยวิทยาที่สำคัญอย่าง Claude Levi-Strauss นักจิตวิเคราะห์อย่างJacque Lacan นักปรัชญาและวรรณดีวิจารณ์อย่างJacques Derrida นักสัญวิทยาอย่าง Roland Barth และแม้แต่นักปรัชญาประวัติศาสตร์อย่าง Michel  Foucault  ต่างก็ได้รับอิทธิพลจากความคิดของสำนักโครงสร้างนิยม เพียงแต่ว่าบางท่านได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับหน่วยสัญญะคือ รูปสัญญะและความหมายสัญญะที่แตกต่างกัน  ในขณะที่สำนักโครงสร้างนิยมจะให้ความสำคัญกับความหมายสัญญะ(Signified)  อันเป็นเรื่องของระบบคิด  แต่สำนักหลังโครงสร้างนิยม(Post-structuralism)จะให้ความสำคัญกับรูปสัญญะ(Signifier) มากกว่าเพราะเชื่อว่ารูปสัญญะสามารถปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจากความหมายสัญญะที่ดำรงอยู่แล้วล่องลอยไปอย่างไม่รู้จักจบสิ้น แต่ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นรูปสัญญะหรือความหมายสัญญะก็ตาม ล้วนแต่เป็นผลมาจากการถูกกำหนดให้เป็นทั้งสิ้น(arbitrary)ไม่ได้เป็นธรรมชาติแต่อย่างใด อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับกระบวนการสร้างความหมาย(Signifiance)มากกว่าการให้ความสำคัญกับโครงสร้าง/รหัส ดังเช่นที่สำนักโครงสร้างนิยมกระทำกัน
ความคิดของนักคิดสกุลโครงสร้างนิยมและหลังโครงสร้างนิยม  มองว่ามนุษย์เป็นเพียงร่างทรงของภาษาหรือโครงสร้างชุดหนึ่งที่กำกับอยู่ มนุษย์ไม่ได้อยู่ในฐานะที่เป็นองค์ประธานของสรรพสิ่งต่างๆอีกต่อไป มนุษย์จึงถูกลดทอนสถานภาพและบทบาทในการเป็นผู้กระทำและถูกกระทำไปพร้อมๆกัน  ผู้ที่มีอิทธิพลต่อสำนักคิดโครงสร้างนิยมและหลังโครงสร้างนิยม ที่สนใจศึกษาในเชิงสัญศาสตร์(Semiotic)หรือสัญวิทยา(semiology)[2]ก็คือ Ferdinan de Saussure[3]  นักภาษาศาสตร์ชาวสวิส  ซึ่งได้พัฒนาศาสตร์ของการศึกษาที่เรียกว่า ภาษาศาสตร์เชิงโครงสร้าง(Structural Linguistics)  โดยโซซูร์ ได้เสนอให้แยกสิ่งที่เรียกว่า  ภาษา(Language) และถ้อยคำ คำพูด(speech)หรือ ภาษา(Langue)และ การใช้ภาษา(Parole)[4]ออกจากกัน เพื่อ เป็นหน่วยในการศึกษาวิเคราะห์ โดยเขาให้ความสำคัญกับกับสิ่งที่เรียกว่า ระเบียบกฎเกณฑ์ที่ทำให้คำพูดหรือเสียงที่เปล่งออกมามีความหมาย ดังนั้น ภาษาจึงเกี่ยวพันในสองด้านคือ ด้านสังคม(Social)และด้านปัจเจกบุคคล(Individual) พูดง่ายๆก็คือ เรื่องของภาษาประกอบด้วยเรื่องที่เป็นระเบียบกฎเกณฑ์ของภาษากับผู้ใช้ภาษา และด้วยความที่ภาษา(Language)ในนัยของโซซูร์ก็คือระบบองค์รวม(System/Holism) ที่มีความสมบูรณ์ในตัวเองและมีกฎเกณฑ์ในการจำแนกแยกแยะสิ่งต่างๆ  ซึ่งแตกต่างจากรูปสัญญะ/ ตัวหมาย(signifier)หรือการใช้ภาษา(Parole) ที่มีความแตกต่างหลากหลาย อาจเป็นสิ่งเดียวกันหรือไม่ใช่สิ่งเดียวกันก็ได้ ดังนั้นสถานะของภาษา(Langue)จึงค่อนข้างมั่นคงมากกว่าเรื่องของการใช้ภาษา(Parole)ที่เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล อีกทั้งสิ่งที่จะทำให้การสื่อสารในสังคมเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อผู้ใช้ภาษาอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ชุดหนึ่ง ดังนั้นอาจสรุปได้ว่าโซซูร์ให้ความสำคัญกับเรื่องของรูปแบบ(form) มากกว่าเนื้อหาสาระ(substance) ซึ่งเป็นสิ่งที่สำนักโครงสร้างนิยมยึดถือ  แต่อย่างไรก็ตามทั้งรูปแบบและเนื้อหาจะต้องทำงานประสานกันขาดอันใดอันหนึ่งไม่ได้ เพราะหากมีเฉพาะรูปแบบไม่มีเนื้อหารูปแบบก็ว่างเปล่า หากมีเฉพาะเนื้อหาแต่ขาดรูปแบบ เนื้อหาก็หมดความหมาย เช่นหมากรุก เป็นหมากรุกได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในตารางและอยู่ภายใต้กติกาของหมากรุก  และตัวหมากแต่ละตัวที่มีความแตกต่างกัน มีค่าที่ต่างกัน และการเดินบนตารางที่ต่างกันตามกฎระเบียบของการเล่นหมากรุก เป็นต้น
ภาษาจึงเป็นเรื่องของ ระบบคุณค่าชุดหนึ่งที่สังคมกำหนดขึ้นมาไม่ได้มีความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง[5] แต่เป็นเรื่องของการถูกกำหนดให้เป็น(the arbitrary of the sign) ไม่ได้เป็นธรรมชาติแต่อย่างใด ซึ่งอาจเป็นทั้งเรื่องของการถูกกำหนดให้เป็นในระดับรูปสัญญะและความหมายสัญญะเช่น คำว่าห--า กับ ความคิดเกี่ยวกับสัตว์ประเภทเคไนน์มีสี่เท้ามีหางและเห่าได้ที่เรียกว่าหมาหรือในระดับรูปสัญญะด้วยกันเองเช่น  ม้า กับ Horse หมา กับ Dog เป็นต้น ดังนั้นการศึกษาภาษาศาสตร์เชิงโครงสร้างของโซซูร์  การที่จะเข้าใจการถูกกำหนดให้เป็นของสัญญะ  เราต้องค้นหากฎเกณฑ์ที่เป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์ให้เกิดขึ้น เพราะมนุษย์จะต้องพูดหรือสื่อสารภายใต้กฎเกณฑ์ชุดหนึ่ง ซึ่งรูปสัญญะในความเห็นของโซซูร์ไม่ได้ล่องลอยได้อย่างอิสระแต่รูปสัญญะจะต้องได้รับการยอมรับและขึ้นอยู่กับชุมชนที่ใช้ภาษา(Linguistic community) นั่นก็หมายความว่า ระบบของภาษานั้นมีอิทธิพลหรืออำนาจที่จะร้อยรัดให้สิ่งต่างๆดำรงอยู่ได้ ดังนั้นระบบ กฎเกณฑ์ สถาบันทางสังคมจึงมีความสำคัญอย่างมิอาจปฎิเสธได้ และด้วยเหตุที่ภาษาเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างรูปสัญญะกับความหมายสัญญะ ที่เกิดจากการถูกกำหนดให้เป็นและทำให้สิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันเข้ามามีความเกี่ยวข้องกันโดยผ่านระบบภาษา ทำให้ความหมายของภาษามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทำให้นักมานุษยวิทยานำวิธีการศึกษาภาษาศาสตร์เชิงโครงสร้างมาประยุกต์ใช้ในการศึกษาวิเคราะห์และอธิบายปรากฎการณ์ทางสังคมและวัฒนธรรมในปัจจุบันมากขึ้น
นักมานุษยวิทยาแนวโครงสร้างนิยมชาวอังกฤษ Claude Levi-Strauss[6] ที่สนใจศึกษาวัฒนธรรม พิธีกรรมและนิทานปรัมปราของชนพื้นเมืองที่ยังไม่มีภาษาเขียนใช้  และถือว่าสิ่งเหล่านี้คือภาษาแบบหนึ่ง ซึ่งเขามีความคิดที่ไม่แตกต่างจากSaussure และได้อิทธิพลมาจากสำนักคิดภาษาศาสตร์เชิงโครงสร้างอย่าง Ronan Jacobson อยู่ไม่น้อย(อ้างจากไชยรัตน์;2545) เขาเชื่อว่าภาษาที่มนุษย์ใช้สื่อความคิดกันนั้นมีโครงสร้างที่แน่นอน นั่นคือมีโครงสร้างชุดหนึ่งกำหนดกำกับให้เป็นอยู่หรือมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงร้อยรัดกัน เนื่องจากความคิดของมนุษย์ที่ทำงานในลักษณะเดียวกันนั้น เป็นการให้ความหมายและความเข้าใจในลักษณะของคู่ตรงข้าม(Binary opposition)  ที่มนุษย์สามารถผลิตความหมายเมื่อเขานึกถึงสิ่งตรงกันข้าม ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ วัฒนธรรม ดิบ-สุก ผู้ชาย-ผู้หญิง รูปธรรม-นามธรรม เป็นต้น  ซึ่งแสดงให้เห็นความตั้งใจของเขาที่จะสืบค้น ความรู้และหา ความหมายที่มาจากมนุษย์ไปสู่ภาษา /โครงสร้างที่เป็นเสมือนระเบียบกฎเกณฑ์ ที่กำกับให้เกิดความหมายขึ้นมา ดังเช่น นิทานปรัมปรา ความหมายจึงไม่ได้อยู่ที่ตัวผู้เล่าหรือประสบการณ์อันช่ำชองยาวนาน เพราะผู้เล่าก็มีฐานะเป็นเพียงร่างทรงที่ตอกย้ำกฎเกณฑ์/รหัสของนิทานปรัมปราที่กำหนดการเล่าเรื่องโดยที่ผู้เล่าไม่รู้ตัว ซึ่งLevi-strauss ถึงแม้ว่าจะถูกมองว่าเป็นพวกรูปแบบนิยม(formalism) แต่วิธีคิดของเขาก็ท้าทายกับวิธีคิดแบบรูปแบบนิยม โดยมองว่า ความหมายเกิดขึ้นจาก ความแตกต่างระหว่างรูปแบบกับเนื้อหา รูปแบบเป็นรูปแบบได้เพราะไม่ใช่เนื้อหา เช่นเดียวกับเนื้อหาเป็นเนื้อหาสาระได้เพราะไม่ใช่รูปแบบ นั่นคือเขามองที่ความแตกต่างและความสัมพันธ์ที่ไม่ได้แยกเป็นรูปแบบเนื้อหาอย่างแข็งทื่ออย่างที่พวกรูปแบบนิยมปฎิบัติกัน
Levi-Strauss ได้นำเสนอความคิดเรื่อง รูปสัญญะที่ล่องลอยหรือFloating Signifier[7] โดยเขามองว่าความหมายเป็นเรื่องของรหัสกฎเกณฑ์ ซึ่งในตัวของรหัสกฎเกณฑ์เองไม่มีความหมาย แต่เป็นตัวกำหนดความหมาย ดังนั้นความหมายจึงมิใช่สิ่งที่เกิดจากเนื้อในของข้อความที่ส่ง เมื่อมนุษย์ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่รู้มาก่อนก็พูดไม่ถูกพูดไม่ได้ ด้วยไม่มีรหัสกฎเกณฑ์กำหนดให้พูดเรื่องนั้น นั่นคือเมื่อเผชิญกับสิ่งที่ไม่รู้มาก่อน ความหมายสัญญะก็ไม่มี ทำให้รูปสัญญะไม่มีอะไรมาเกาะเกี่ยว จึงล่องลอยไปเรื่อยๆจนกว่าจะพบความหมายที่จะเข้ามาเกาะยึด เนื่องจากรหัส/กฎเกณฑ์ /สัญญะ ที่กำหนดการรับรู้ของเราค่อนข้างจำกัดมาก สิ่งที่เราไม่รู้ คิดไม่ถึง คิดไม่ได้มีอยู่อย่างมากมาย เนื่องจากเราไม่มีรหัสในเรื่องนั้นๆเมื่องเราไม่รู้ก็พูดถึงสิ่งนั้นไม่ได้ ลำพังรูปสัญญะอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอแต่จะต้องมีความหมายสัญญะด้วย  แต่เนื่องจากรูปสัญญะมักก้าวไม่ทันความหมายสัญญะเพราะมีสิ่งที่เราไม่รู้มากมาย ทำให้สร้างรูปสัญญะขึ้นมาไม่ทัน ดังนั้นจึงต้องมีสิ่งที่เรียกว่า รูปสัญญะที่ล่องลอย หรือข้อความอันเป็นที่ยอมรับในชุมชนที่ใช้ภาษานั้นแต่ปราศจากความหมายที่แน่นอนชัดเจน[8]
สิ่งที่เห็นได้จากความคิดของLevi-Strauss ก็คือเขาให้ความสนใจในระดับของการให้ความหมาย(Signification) ที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับรูปแบบที่ตายตัวของรูปสัญญะ(Signifier)กับความหมายสัญญะ(Signified) หรือตัวหมาย กับตัวหมายถึง แต่มันเกี่ยวข้องกับหลักการของการให้และสร้างความหมายว่าเป็นอย่างไร และทำไมมนุษย์จึงผลิตความหมายอย่างนั้น โดยไม่ยึดติดกับความหมายที่สมบูรณ์แบบ แต่มองความเป็นไปได้ที่จะเกิดความหมาย ด้วยวิธีการให้คุณค่าและใช้ต้นทุนที่แตกต่างกัน ดังเช่น เมื่อเวลาเราค้นหาศัพท์ในพจนานุกรม  เราจะพบว่าตัวพจนานุกรมเองก็อธิบายศัพท์คำหนึ่งด้วยศัพท์อีกคำหนึ่ง หรือมากกว่า ซึ่งทำให้เราอาจต้องค้นหาคำศัพท์อื่นๆเพิ่มขึ้น แน่นอนว่าแม้เราจะพยายามหาความหมายของคำมากมายเพียงใด ท้ายที่สุดเราจะพบว่า ในสังคมวัฒนธรรมต่างๆก็มีความหมายแตกต่างไปจากความเข้าใจของเราเป็นอันมาก
หากจะเปรียบเทียบกับนักสัญวิทยาชาวฝรั่งเศส อย่าง Roland Barthes(1950-1980)  ที่ได้พัฒนาแนวทางการศึกษาภาษาศาสตร์เชิงโครงสร้าง ที่มองความหมายเป็นเรื่องของความแตกต่างตรงกันข้ามไม่ได้เกิดจากเนื้อในของสิ่งนั้นๆแต่อย่างใด ความเป็นคู่ตรงกันข้ามเป็นตัวกำหนดความหมาย ความหมายจึงมีลักษณะเป็นพลวัตรไม่หยุดนิ่ง มีการผสมผสาน ต่อเติมของสัญญะภายใต้ระเบียบกฎเกณฑ์หรือที่Derrida เรียกว่าการเล่นของรูปสัญญะ(The Play Signifier) หรือที่Barthes เรียกว่าการผจญภัยของสัญญะที่เป็นการศึกษากระบวนการสร้างความหมายของสัญญะที่ไม่สิ้นสุด(อ้างจากไชยรัตน์,2545)  ซึ่งสัญญะในความหมายของBarthes กว้างขวางกว่าเรื่องภาษามาก เพราะมันเป็นหน่วยของการสื่อความหมายที่แตกต่างหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า อาหาร สบู่ ผงซักฟอก หอไอเฟล ของเล่น ไวน์ นิตยสาร เหตุการณ์น้ำท่วม ฯลฯ ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าสรรพสิ่งต่างๆในสังคมล้วนเป็นสัญญะได้ทั้งสิ้น และความหมายของสัญญะเหล่านี้ไม่ได้เป็นธรรมชาติแต่อย่างใด แต่มันผูกรัดเชื่อมโยงกับรหัสกฎเกณฑ์ชุดหนึ่งที่เรียกว่า ระบบวัฒนธรรมในสังคมนั้น Barthes มองว่าการที่สรรพสิ่งต่างๆในสังคมกลายเป็นสัญญะนั้น เป็นกระบวนการสร้างมายาคติ(Mythology) ที่ทำให้เกิดมายาคติ(Myth)[9] และกลายเป็นธรรมชาติหรือสิ่งที่ปกติธรรมดาของคนในสังคมที่ยอมรับมันอย่างไม่ตั้งคำถาม เป็นความคิดที่สอดรับกับระบบของอำนาจของสังคมที่มนุษย์อาศัยอยู่  มายาคติจึงเป็นสิ่งที่Barthes ใช้ศึกษาวิเคราะห์ในเชิงสัญวิทยา เพราะเขาเชื่อว่า ตัวมายาคติก็คือตัวกำหนดการรับรู้ของคนในสังคม ความจริงความหมาย ที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่ธรรมชาติแต่เป็นผลผลิตของสังคม และดำรงอยู่ในระดับการรับรู้ของมนุษย์ บทบาทหน้าที่ของมายาคติจึงไม่ใช่เรื่องของการปิดบัง อำพราง ปกปิด แต่อย่างใด เพียงแต่มันเป็นเรื่องของการบิดเบือนที่ทำให้มองไม่เห็นหรือไม่เห็นอย่างที่มันเป็นมากกว่า   Barthes ให้ความสำคัญกับรหัส(Code)[10]ที่กำหนดความคิด ประสบการณ์ของมนุษย์ การสร้างรหัสต้องอาศัยภาษา ถ้าไม่มีภาษาก็ไม่มีรหัส รหัสเป็นเรื่องของการคิดค้นและตกลงร่วมกัน ภาษาจึงประกอบด้วยรหัสมากมายซึ่งเกิดจากการความสัมพันธ์ที่ไม่ได่ฃ้เกี่ยวข้องกันระหว่างรูปสัญญะกับความหมายสัญญะ ความหลากหลายของรหัสนี้เองเป็นสิ่งที่ถูกเรียกว่า รูปสัญญะที่ล่องลอย”  ดังนั้นรหัสจึงไม่มีความหมายบริสุทธิ์หรือสมบูรณ์ในตัวเองแต่อย่างใด แต่ถูกกำกับอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ทำให้การสื่อสารเป็นไปได้  ซึ่งต่อมาBarthes ได้หันเข้ามาสู่แนวทางการศึกษาหลังโครงสร้างนิยม ที่พูดถึงเรื่องตัวบท(Text)[11] กระบวนการสร้างโครงสร้างและความหมายที่ไม่รู้จักจบสิ้น Barthes ได้แสดงให้เห็นว่า รูปสัญญะไม่จำเป็นต้องมีความหมายสัญญะ แต่มันสามารถสร้างความหมายของตัวเองได้อย่างไม่รู้จักจบสิ้น ทำให้บาร์ธ ก้าวข้ามจากวิธีการศึกษาแบบสัญวิทยามาสู่หลังโคงสร้างนิยม( อ้างจากMoriarty,1991,PartIIและไชยรัตน์,2545) โดยให้ความสำคัญกับตัวบทและการวิจารณ์ตัวบท เขามองว่าผู้แต่งผู้เขียนไม่ได้สื่อความคิดของตนออกมาในตัวบท แต่เป็นเพียงผู้ประกอบสร้าง แต่งเติมตัวบทโดยนำเอาคำต่างๆในภาษาในวัฒนธรรมมาผสมผสานกัน ให้เกิดความหมายขึ้นมา โดยการสร้างความหมายจากการอ้างอิงกับคำอื่นๆ เหมือนกับพจนานุกรม ดังนั้นผู้แต่งจึงไม่ได้มีอำนาจในการผูกขาดเบ็ดเสร็จ แต่สังคมประวัติศาสตร์หรือรูปสัญญะของตัวบทต่างหากที่สามารถสื่อสร้างความหมายได้ด้วยตัวเอง  Barthes จึงให้ความสนใจกับกระบวนการสร้างความหมาย(Signifiance) โดยเฉพาะความสำคัญของรูปสัญญะ มากกว่าความหมายสัญญะ ที่สามารถปลดปล่อยตัวเองได้อย่างอิสระจากความหมายสัญญะเดิมที่ดำรงอยู่ และล่องลอยไปเพื่อสร้างความหมายใหม่ให้กับตัวบทได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด[12] ซึงมโนทัศน์เรื่องตัวบทที่เปิดกว้าง ก็ไม่แตกต่างจากแนวคิดเรื่องรูปสัญญะที่ล่องลอย ที่ผู้อ่านสามารถสร้างตัวบทใหม่ สร้างความหมายใหม่จากการอ่านของตนเอง  สิ่งที่ช่วยในการวิเคราะห์ความเป็นรูปสัญญะที่ล่องลอย ของบาร์ธ ก็คือ ระบบของมายาคติ ในการสื่อความหมายซึ่งมีสองระดับคือความหมายตรงหรือความหมายตามภาษา(denotation)กับความหมายแฝงหรือความหมายของมายาคติ(Connotation)ซึ่งเป็นระดับที่อยู่เหนือภาษา  สิ่งที่น่าสังเกตก็คือสัญญะ[13]ในระบบความหมายที่1(ภาษา)สามารถถูกสลายความหมายลงและกลายเป็นรูปสัญญะที่ว่างเปล่าในระบบความหมายชุดที่2 (มายาคติ) เพื่อสื่อความหมายอีกอย่างได้ ระบบการสร้างความหมายชุดที่2 นี่เอง คือรูปสัญญะที่ล่องลอยซึ่งทำให้สรรพสิ่งไม่สามารถมีความหมายที่สมบูรณ์ยุติเด็ดขาด ดังนั้นสัญญะสามารถจะทำให้หมดความหมายหรือว่างเปล่า และกลายมาเป็นรูปสัญญะในอีกระบบเพื่อรอคอยการผสมกับความหมายสัญญะชุดใหม่ Barthes ได้นำเสนอวิธีการอ่านมายาคติ3 แบบ(อ้างจากไชยรัตน์,2545) ที่ผู้ศึกษาจะนำมาประยุกต์ใช้กับการวิเคราะห์ความเป็นรูปสัญญะที่ล่องลอย คือ
1.การอ่านในระดับของรูปสัญญะที่ความหมายถูกทำให้ว่างเปล่า(Empty Signifier) ด้วยการปลดปล่อยความหมายให้เป็นไปตามตัวอักษร เหมือนกับการอ่านในระดับแรกของการวิเคราะห์รูปสัญญะที่ล่องลอย ที่คนในสังคมยอมรับและเอารูปสัญญะที่มีคุณค่าชุดหนึ่งอยู่ แต่เปล่ากลวงความหมายมาใช้
2.การอ่านในระดับของรูปสัญญะที่มีความหมายสมบูรณ์(Full Signifier) ซึ่งเป็นการอ่านเพื่อดูความบิดเบือนระหว่างรูปสัญญะกับความหมายสัญญะ โดยในการวิเคราะห์ความเป็นรูปสัญญะที่ล่องลอย จะดูที่การหยิบฉวย แย่งชิงและใส่ความหมายเข้าไปให้รูปสัญญะของคนกลุ่มต่างๆ ซึ่งอาจเหมือนกัน แตกต่างกัน สมดุลกลมกลืนหรือขัดแย้งกันก็ได้
3.การอ่านในระดับรูปสัญญะกลายเป็นมายาคติ โดยไม่แยกรูปสัญญะกับความหมายสัญญะออกจากกัน เพื่อหาระบบการสร้างความหมายเช่นเดียวกับการวิเคราะห์ความเป็นรูปสัญญะที่ล่องลอย เพื่อค้นหากระบวนการสร้างความหมายสร้างคุณค่า และเปิดเผยให้เห็นอุดมการณ์บางอย่างที่อยู่เบื้องหลัง
ดังนั้นการวิเคราะห์ตัวบทโดยวิธีการอ่านมายาคติของบาร์ธ จึงมีความสำคัญยิ่งในการศึกษาทางมานุษยวิทยา โดยเฉพาะนักมานุษยวิทยาและสังคมวิทยาแนวหลังโครงสร้งนิยมที่ได้หันมาให้ความสนใจกับการศึกษาวาทกรรม ที่ได้สะท้อนให้เห็นถึงความรู้ ความจริงและอำนาจที่เราเชื่อว่าบริสุทธิ์และยอมรับในสังคม ดังที่ Jacques Lacan ได้กล่าวว่า “...social bonds are founded by Discourse” ( อ้างจากDescombes ,หน้า101) นั่นก็คือ การผูกพันทางสังคม ถูกสถาปนาขึ้นมาด้วยวาทกรรม หากเราจะมองว่ากฎเกณฑ์รูปแบบของภาษาที่เราใช้ร่วมกันอย่างสมดุลย์ราบเรียบ เป็นสิ่งที่ถูกกดทับ ปิดกั้น ความขัดแย้งรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นวาทกรรมรูปแบบหนึ่ง ซึ่งทำให้เราต้องหันกลับมาตั้งคำถามทบทวนกับประวัติศาสตร์ที่ว่าด้วยความจริงความรู้  และทำให้สิ่งต่างๆเหล่านี้กลายเป็นธรรมชาติ ความชอบธรรมซึ่งก็คือมายาคติแบบหนึ่ง ที่มีเรื่องของปฎิบัติการทางวาทกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย  ดังนั้นหากพูดในความหมายของฟูโกต์ วาทกรรมก็คือสนามแห่งการต่อสู้ช่วงชิงที่เป็นกฎเกณฑ์ หรือตัวกำหนดความจริง ความรู้ และสิ่งที่เราพูด (Statement)ซึ่งตัวฟูโกต์ นั้นก็ได้ให้ความสำคัญกับภาษาเป็นอย่างมาก เพราะวาทกรรมทำให้ระบบการพูดหรือการเขียนในสังคมเป็นไปได้” (Foucault,1970;79-80) เนื่องจากวาทกรรมคือตัวกำหนดกฎเกณฑ์ ในการพูดการเขียนไม่แตกต่างจาก Langue/Code ในความหมายของโซซูร์และบาร์ธ  สิ่งที่น่าสนใจก็คือ วาทกรรมเป็นมากกว่าเรื่องภาษา/คำพูด เพราะมันมีสิ่งที่เรียกว่าภาคปฎิบัติการของวาทกรรม(Discursive Practices) ซึ่งเป็นเรื่องของความคิด ความเชื่อ จารีต และสถาบันต่างๆในสังคมที่ผลิตซ้ำและส่งผ่านวาทกรรมเหล่านั้น แม้ว่าวาทกรรมในตัวมันเองนั้นสามารถที่จะสร้างสรรพสิ่งต่างๆขึ้นมาได้แต่ก็อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ชุดหนึ่งที่กำหนดการดำรงอยู่การเปลี่ยนแปลง การสูญหาย เลือนหาย การปรากฏของสรรพสิ่งต่างๆ  วาทกรรมจึงเป็นเรื่องของความแตกต่างหลากหลาย ความเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกัน ไม่สัมพันธ์กันแต่ต้องมาอยู่ร่วมกัน(Foucault,1978;100) วาทกรรมจึงทำหน้าที่เก็บกด ปิดกั้น และเปิดเผยบางอย่างไปพร้อมกัน  และเป็นสิ่งที่สลายความเป็นองค์ประธานและผู้กระทำของมนุษย์ให้กลายเป็นผู้ถูกกระทำไปพร้อมกันด้วย  การศึกษาวิเคราะห์วาทกรรมจึงมีความสำคัญในการศึกษาเรื่องอำนาจ ความรู้ ความจริงที่พวกเรายึดถืออย่างสนิทใจในสังคมปัจจุบัน อย่างน้อยวิธีการศึกษาประวัติศาสตร์ที่ฟูโกต์ เรียกว่าGenealogy เป็นการศึกษาที่ไม่ได้วางอยู่บนเงื่อนไขของลำดับเวลา แต่ค้นหารอยแยกความแตกต่างหลากหลายเพื่อกลับไปหาจุดเริ่มต้นในอดีตและทำความเข้าใจวาทกรรมแห่งยุคสมัย เพื่อปลดปล่อยความรู้ทางประวัติศาสตร์จากการจองจำของความเป็นองค์ประธานเพื่อที่จะจัดวางพวกเขา[14] ที่สำคัญก็คือ การสะท้อนให้เห็นถึงภาคปฎิบัติการของวาทกรรมและเทคนิคของการสร้างตัวตน(Technologies of the self) ที่เกิดจากอำนาจในการสร้างความจริงความรู้ของวาทกรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเมือง สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมหรือแม้แต่ร่างกายของมนุษย์เองก็ตาม วาทกรรมจึงเป็นสิ่งที่ถูกแย่งชิงเพื่อครอบครอง และให้ความหมาย เพื่อสร้างอำนาจ ความรู้ ความจริงและอัตลักษณ์ในสังคม
สำหรับเรื่องของรูปสัญญะที่ล่องลอยนั้น ได้ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในนักทฤษฎีหลายๆสาขาวิชา ซึ่งมีนัยที่แตกต่างจาก Saussure  ซึ่งเน้น.ในเรื่องของความหมายสัญญะ ว่าเป็นตัวกำหนดรูปสัญญะในฐานะที่รูปสัญญะหนึ่งตัวต่อความหมายหนึ่ง  นักทฤษฎีหลังโคงสร้างนิยมอย่างลากอง เห็นว่าความหมายสัญญะหนึ่งอาจมีหลายรูปสัญญะ ที่สื่อถึงความคิดเดียวกัน ทำให้มองว่าความหมายเป็นเรื่องที่ไม่หยุดนิ่งตายตัวและไม่มีความสมบูรณ์เด็ดขาด ซึ่งไม่แตกต่างจากรูปสัญญะที่ล่องลอยของเลวี่ สเตร้าท์ หรือ Derrida ก็มองว่ารูปสัญญะและความหมายสัญญะที่เป็นอิสระต่อกัน รูปสัญญะหลายตัวสามารถสื่อความหมาย/ความคิดถึงสิ่งเดียวกันได้ หรือรูปสัญญะตัวหนึ่งสามารถสื่อความหมายความคิดที่หลากหลายได้ นั่นคือลักษณะที่เรียกว่าการพลิ้วไหวของสัญญะ(Play of Signifier) มีนัยไม่แตกต่างจากรูปสัญญะที่ล่องลอย  ที่มีการสร้างและสื่อความหมายที่ไม่รู้จบ อย่างที่Barthes เรียกว่าSignifiance หรือการประยุกต์ใช้ของ Jeans Baudrillard[15]  ซึ่งสนใจศึกษาสัญญะในทางเศรษฐศาสตร์ และได้นำเสนอความคิดเกี่ยวกับSimulation ที่มองโลกปัจจุบันว่า วัตถุสิ่งของสินค้า ไม่ได้สร้างความหมายให้เกิดขึ้นอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ใช้สอย(Use-Value) หรือคุณค่าในการแลกเปลี่ยน(Exchange value) ซึ่งสรรพสิ่งต่างได้หลุดลอยออกไปจากฐานะที่เป็นจริงหรือแหล่งอ้างอิงได้ สู่การเป็นสัญญะตัวหนึ่งที่ล่องลอย เพื่อรอผสมแลกเปลี่ยนกับสัญญะตัวอื่นๆและสร้างความหมายใหม่ขึ้นมา ซึ่งการผสมแลกเปลี่ยนก็สัมพันธ์กับการเลือกใช้รหัสกฎเกณฑ์ชุดหนึ่ง เช่นอัตรแลกเปลี่ยนเงินตรา โบดิยาร์ด ได้วิเคราะห์ระบบสัญญะในสังคมปัจจุบันประกอบด้วยแหล่งอ้างอิง(Referent) รูปสัญญะ(Signifier) และความหมายสัญญะ(Signified) โดยที่สังคมสมัยใหม่ระบบสัญญะได้พัฒนาไปในระดับที่รูปสัญญะและความหมายสัญญะสามารถจะสร้างสรรค์ตัวเองได้อย่างเป็นอิสระ โดยไม่จำเป็นต้องมีของจริงมารองรับ นี่คือประเด็นสำคัญที่นำไปสู่การล่องลอยของสัญญะและการเปล่ากลวงทางความหมายของสัญญะที่เสมือนกับสำเนาของเอกสารที่ถ่ายติดต่อกันเรื่อยๆจนเบลอและเลือนลางจากของจริงไม่สามารถหาต้นตอได้
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า เรื่องของการศึกษาภาษาและวาทกรรมในฐานะที่เป็นระบบ/กฎเกณฑ์เป็นรหัสและสัญญะแบบหนึ่ง ที่ทำให้บทสนทนาหรือการสื่อสารในสังคมดำรงอยู่ได้ ในแง่หนึ่งนอกจากจะเป็นการทำความเข้าใจกระบวนการสร้างและสื่อความหมายแล้วยังเปิดเผยให้เราเห็นถึงมายาคติและวาทกรรมที่ครอบงำและยอมรับอยู่ในสังคม โดยเฉพาะในสังคมปัจจุบัน ที่รูปสัญญะและความหมายสัญญะไม่สื่อความต่อกันมากขึ้น รูปสัญญะจึงกลายสภาพเป็นสัญญะที่ว่างเปล่าและเป็นเสมือนพื้นที่แห่งอำนาจ ที่แต่ละฝ่ายพยามจะเข้ามาช่วงชิง ฉกฉวยหรืออธิบายใส่ความหมายให้กับความเปล่ากลวงนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการพัฒนา เรื่องสิ่งแวดล้อม หรือการพัฒนาที่ยั่งยืนซึ่งเป็นหัวข้อที่ผู้ศึกษาสนใจ สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ แม้ว่ารูปสัญญะที่ล่องลอยจะเปล่ากลวงจากความหมายแต่ไม่เปล่ากลวงทางคุณค่า เพราะการที่คนกลุ่มต่างๆยอมรับและนำมาใช้โดยไม่ตั้งคำถามกับมัน ก็ย่อมแสดงว่ามันมีคุณค่าในตัวของมันระดับหนึ่ง แต่ในฐานะที่ผู้ศึกษาเป็นนักมานุษยวิทยา ก็พยามที่จะทำความเข้าใจกระบวนการสร้างคุณค่า การใส่ความหมายให้กับมัน  รวมถึงมองมันเป็นสนามปฎิบัติการหนึ่งของกระบวนการทางอำนาจ เพื่อแย่งชิงความหมายและสร้างวาทกรรมให้คนในสังคมยอมรับ
                                                                                                                                        
บรรณานุกรมภาษาไทย
ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร (2545)  สัญวิทยา ,โครงสร้างนิยม หลังโครงสร้างนิยมกับการศึกษารัฐศาสตร์  . กรุงเทพฯ : วิภาษา.
ปริตตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูล (2527) ไม่มีสังคมใดเหนือกว่าสังคมอื่น:ทรรศนะในการศึกษามานุษยวิทยาของ Claude Levi Strauss” วารสารสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา. ปีที่2 ฉบับที่2 (กุมภาพันธ์) 60-76.
ปริตตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูล (2533)  เค้าโครงความคิดเรื่องโครงสร้าง ในการศึกษานิทานปรัมปรา ของโคลด เลวี่-เสตราส์ วารสารธรรมศาสตร์. ปีที่17 ฉบับที่1 (มิถุนายน)45-79.

บรรณานุกรมภาษาต่างประเทศ
Hawkes Terence[1977]. “ Linguistic and Anthropology”  “Science of Sign” In Structuralism and Semiotics ,Methuen and co Ltd.
Hugh J.Silverman[1994] “French Structuralism and After De Saussure,Levi-Strauss,Barthes,Foucault” P.391-408.In  Continental Philosophy in The 20th Century edited by Richard Kearney,Routledge history of Philosophy volume8
Levi-Strauss,Claude[1987] “Introduction to the work of Marcel Mauss” Transleted by Felicity Baker Routledge and Kegan Paul London.
Levi-Strauss,Claude[1976] “Structural Anthropology Volume1  Transleted from the French by Monique Laution ,Basic Book Inc Publisher Newyork.
Levi-Strauss,Claude [1963]. “ Introduction History and anthropology”P.1-27 “Effective of Symbol”P.187-205and “Structural Analysis in Linguistics and in Anthropology” P.31-79 In Structural Anthropology Volume 2 Transleted from Franch by Claire Jacobson and Brooke Grundfest Schoepf,Basic Book.
Levi-Strauss Claude[1984] “Anthropology and Myth  Lecture 1951-1982” Transleted by Roy Willish,Basil Blackwell.
Singer,Milton B.[1984]. “man’s glassy essence exploration in semiotic anthropology” ,Indiana university press.




หนังสืออ้างอิงต่างประเทศ
Barthes Roland[1967] “Elements of Semiology Transleted from the French by Annette Lavers and Colin Smith.New YorkHill andv Wang,1980.
Barthes Roland[1973] “theory of the Text” 31-47 In Robert Young,Ed,1981.
Clarke ,D.S,J.R. “Principle of Semiotic”
Chapman Siobhan[2000]. “ Philosophy for Linguists  an Introduction” Routledge London and Newyork.
Culler ,Jonathan[1981]. “ In Pursuit of Sign” Semiotics Literature Deconstruction ,Cornell university Newyork Press.
Culler,Jonathan[1979]. “Jacques Derrida” P.154-179 In Structuralism and Since From Levi-Strauss to Derrida Edited by John Sturrock,Oxford University Press.
David Lidov[1999]  “Element of Seemiotic” Macmillan Press.
Derrida Jacques[1978] “Writing and Difference” Translated with an Introduction and Additional Notes by  Alan Bass.London and Henley:Routledge and Kegan Paul.
Derrida Jacques[1973]. “Differance” P.129-160 in Speech and Phenomena And Other Essays on Husserl’s Theory of Signs Edited by David B.Allison and Newton Garver : Northwestern University Press.
Derrida Jacques[1974]. “linguistic And Grammatology” P.27-73 In Grammatology Translated by Gayati Chakravorty Spivak.Baltimore The John Hopskin University Press.
Hawkes Terence[1977]. “ Linguistic and Anthropology”  “Science of Sign” In Structuralism and Semiotics ,Methuen and co Ltd.
Hugh J.Silverman[1994] “French Structuralism and After De Saussure,Levi-Strauss,Barthes,Foucault” P.391-408.In  Continental Philosophy in The 20th Century edited by Richard Kearney,Routledge history of Philosophy volume8
Levi-Strauss,Claude[1987] “Introduction to the work of Marcel Mauss” Transleted by Felicity Baker Routledge and Kegan Paul London.
Levi-Strauss,Claude[1976] “Structural Anthropology Volume1  Transleted from the French by Monique Laution ,Basic Book Inc Publisher Newyork.
Levi-Strauss,Claude [1963]. “ Introduction History and anthropology”P.1-27 “Effective of Symbol”P.187-205and “Structural Analysis in Linguistics and in Anthropology” P.31-79 In Structural Anthropology Volume 2 Transleted from Franch by Claire Jacobson and Brooke Grundfest Schoepf,Basic Book.
Levi-Strauss Claude[1984] “Anthropology and Myth  Lecture 1951-1982” Transleted by Roy Willish,Basil Blackwell.
Merrell Floyd[1995]. “semiology –Structuralism confronts Semiotics”3-38 in Sign Textuality World,Bloomington and Indianapolis Indiana University Press.
Paul A.Erickson[1998].”A History of Anthropological Theory”,Breadview Press.
Peirce,Charles Sander[1955]. “Philosophical Writings of Peirce”.Selected and Edited ewith an Introduction by Justus Buchler.New York:Dover Publication.
Rosamund Bilington[1991] “Culture and Society A sociology of Culture” macmillan Press..
Saussure,Ferdinand de[1959]. “Course in General Linguistics”.Edited by Charles Bally and Albert Sechehaye in  Collaboration with Albert Riedlinger.Translated with an Introduction and Notes by Wade Baskin.Newyork McGrawhill 1966.
Singer,Milton B.[1984]. “man’s glassy essence exploration in semiotic anthropology” ,Indiana university press.
Umberto Eco [1976]. “A Theory of Semiotics”.Bloomington:Indiana University Press,1979.
Umberto Eco[1984]. “semiotic and The Philosophy of Language”, Macmillan Press.
Vincent Desombe[1986]. “object  of all sorts a philosophical Grammar” Translated by Lorna Scott-fox and Jeremy Harding,Johnhopskin university Press.
Vincent Desombe[1980]. “Semiology” in Modern French Philosophy ,Translated by L.S Scott-Foy and J.M.Hardins, Cambridge University Press.P.75-105.






[1] สัญญะ ถือว่าเป็นหน่วยต่ำสุดของการสื่อสาร ที่ประกอบด้วยรูปสัญญะ ตัวหมาย(signifier)และตัวหมายถึงหรือความหมายสัญญะ(signified)
[2] semiology และsemiotics แท้จริงแล้วก็คือสัญญะชนิดหนึ่ง เพราะมันสามารถสื่อความหมายที่เฉพาะแบบหนึ่ง semiology นิยมใช้กันในหมู่นักวิชาการชาวยุโรป เพื่อทำความคาราวะแก่Saussure ส่วนSemiotics หรือสัญศาสตร์นั้นนิยมใช้กันในหมู่นักวิชาการอังกฤษ เมพื่อแสดงความเคารพต่อ Charles Sander Pierce นักปรัชญาชาวอเมริกันที่คิดค้นคำนี้แรกเริ่มแต่ไม่ค่อยถูกพูดถึง(ดูในไชยรัตน์,2545)
[3] Ferdinan de Saussure,ไม่มีงานชิ้นสำคัญของเขาเอง แต่งานที่มีชื่อเสียงของเขาเกิดจากการรวบรวมของลูกศิษย์สามคนโดยเฉพาะคำบรรยายที่มหาวิทยาลัยเจนีวาในช่วงปี1906-1911และตีพิมพ์ออกมาในปี1916 ภายใต้ชื่อ  course General Linguistics
[4] การแยกหน่วยพื้นฐานของการศึกษาภาษาของซูโซร์  มีทั้งที่เรียกว่าภาษา(Langue) และการใช้ภาษา(Parole) ,ความคิด(Concept) และภาพประทับของเสียง(Sound-image), ความหมายสัญญะ ตัวหมายถึง(Signifie) รูปสัญญะ/ตัวหมาย(Signifiant)
[5] จากข้อความ”...language as a system of socially determined values,not as a collection of substaintially defined element” ดูในCuller1976,หน้า51-52.
[6] ศึกษางานของ Claude levi-strauss ได้จาก The Savage Mind(1966),  Totemism(1963), Structural Anthropology(1963,1976), Raw and Cook(1969)และ the  Elementary structure of Kinship(1969)หรืองานของEdmund leach(1970)  ชื่อClaude levi-straussที่กล่าวถึงชีวประวัติ การทำงาน ความคิดและงานศึกษาของสเตร้าท์
[7] มีคนให้นิยามที่แตกต่างหลากหลายเช่น “an empty of floating sinifier is variously defined...” “Floating Signifier on introduction by Claude Levi-strauss to describe as word or expression that does not have a meaning so much as hold open space for that which exceeds expression..” meaning is never Fixed can be describe as a floating signifier..” สรุปโดยรวมรูปสัญญะที่ล่องลอย( floating sinifier )ก็คือสิ่งที่มีคำนิยามค่อนข้างหลากหลาย  หรือมีความหมายไม่ตายตัวจนเหมือนกับว่าไม่มีความหมายในตัวเองแต่อย่างใด
[8] เช่นเดียวกับLacan เรียกช่องว่างอันเกิดจากการที่รูปสัญญะไม่มีความหมายมเกาะเกี่ยว ว่า Metaphor หรือการเติมเต็มโดยใช้คำอุปมาอุปมัยหรือการใช้คำหนึ่งแทนอีกคำหนึ่งเพื่อให้เกิดความหมายใหม่ขึ้นมา โดยที่คำที่ถูกแทนที่ไม่ได้สูญหายไปไหนเพียงแต่ทำให้ไม่ปรากฎในขณะนั้นเท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่มีคำหรือความหมายที่ตรงกันหรือใช้แทนกันได้อย่างสมบรณ์แต่จะมีความหมายใหม่เกิดขึ้นเสมอ ความสำคัญจึงอยู่ที่รูปปสัญญะมากกว่า เช่น คำว่าเก้าอี้ อาจไม่ได้หมายถึงวัตถุสำหรับนั่ง แต่อาจหมายถึงตำแหน่งด้วย(ดูคำอธิบายได้จากไชยรัตน์,2545)
[9] มายาคติหรือMyth ที่บาร์ธใช้ไม่ แตกต่างจากMyth ในความหมายLevi-strauss ที่หมายถึงนิทานปรัมปราที่ต้องการแยกแยะระดับความคิดของนิทานปรัมปรา โดยทำความเข้าใจสำนวนเนื้อหาที่หลากหลายเพื่อหาภาพรวมของระบบทั้งหมด เพราะสเตร้าท์เชื่อว่า ระบบคิดของมนุษย์เป็นระบบเดียวกันทั้งหมด เป็นโครงสร้างที่เป็นสากลที่มนุษย์ไม่ได้ตระหนักว่ามีอยู่(ดูเพิ่มได้จากLevi- Strauss,1963หรือปริตตา,2531)
[10] ดูการศึกษาแนวสัญวิทยาได้จาก Barthes(1967)เรื่อง Elements of Semiology และ Myth today
[11] ตัวบทหรือText คือพื้นทื่ที่ถูกผลิตสร้างตากความสัมพันธ์ระหว่างคนอ่านกับตัวงานหรืองานเขียนไม่ใช่คนอ่านกับคนเขียน ภาษาคือสิ่งที่สร้างตัวบท ความหมายของตัวบทจึงไม่หยุดนิ่งเพราะภาษาไม่เคยสิ้นสุดความหมายแต่ล่องลอยและสร้างความหมายให้กับตัวบทเสมอ ตัวบทจึงเป็นเหมือนรูปสัญญะที่ล่องลอยและเปลี่ยนแปลงอยู่เสอเพื่อสร้างความหมาย(ดูได้จาก Barthes,1973;derrida,1978)
[12] ดูได้จาก Barthes (1973)เรื่องWriting Degree Zero S/Z the pleasure of the text และTheory of the text แบ่งเป็น Readerly text  หรือตัวบทปิด กับWriterly text ตัวบทเปิดหรือตัวบทที่ถูกถักทอไว้ด้วยรหัสชุดต่างๆที่สะท้อนอำนาจของผู้อ่านในการเขียนตัวบทใหม่ไม่จบสิ้น
[13] สัญญะในระดับที่1 จะวางอยู่บนระบบของภาษาที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างสัญญะ(รูปสัญญะกับความหมายสัญญะ) รูปสัญญะในระดับที่2 หรือมายาคติ เกิดจากสัญญะในระบบภาษาถูกลดทอนทำให้หมดความหมายหรือว่างเปล่าและกลายมาเป็นรูปสัญญะในระดับที่2(มายาคติซึ่งมายาคติคือการพูดการใช้ภาษาแบบหนึ่งที่กระทำผ่านวาทกรรม(ดูได้จากบทความของ Barthes,1995 เรื่องMyth today) และดูตัวอย่างได้จากภาคผนวกที่2
[14] อ้างจากFoucault1980 Power/Knowledge selected interviews and other writing1972-1977 บทความกล่าว่า”...a genealogy should be seen as a kind of attempt to emancipates historical from that subjectionto render them..”หน้า85
[15] สามารถอ่านงานของJeans Baudrillard เรื่อง mirror of production, Symbolic exchange and death และ for critique of the political economy of the sign เพื่อดูแนวความคิดเรื่องSimulation และการวิเคราะห์สัญญะในกระแสทุนนิยมและการบริโภค

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ เน้นอยู่ที่ปัจจัยทางชีววิทยาเพ

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเกี่ยวกับการนอนเป็นสิ่งที่ถูกทำให้เป็นเรื่องส่วนตัว(priv

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile Derkhiem ในหนัง