การประยุกต์ใช้วิธีการแบบโบราณคดีของความรู้ (Archaeology
of Knowledge)สู่การศึกษาแบบวงศาวิทยา(Genealogy)ของมิเชล ฟูโก (Michel Foucault) เพื่อเปิดพรมแดนทางความรู้และอำนาจ
โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล
โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล
หนังสือสำคัญของมิเชล ฟูโก
•
Madness and civilization (พิมพ์ 1961 แปล 1965) ประวัติศาสตร์ของสิ่งที่เรียกว่าความบ้าในปัจจุบันไม่ใช่การมองวิวัฒนาการการเปลี่ยนแปลงของความบ้าจากอดีตถึงปัจจุบัน
แต่แสดงให้เห็นว่า สิ่งที่เรารู้จักว่าเป็นความบ้า
ในปัจจุบันกลับมีสถานะต่างจากยุคก่อนๆ
และผันแปรเป็นมาต่างๆกันอย่างไม่ต่อเนื่องเพราะ Discourse ที่ทรงอิทธิพลกว่า
ครอบงำปริมณฑลที่ใช้อธิบายลักษณะที่เราเรียกว่า บ้าในปัจจุบัน
•
ประวัติศาสตร์ยุโรปในยุคกลาง
ลักษณะที่เราเรียกว่า บ้า ในปัจจุบัน ถูกถือว่า
เป็นลักษณะของความพิเศษในเชิงศักดิ์สิทธิ์ คือ
แหล่งสถิตของสัจจะของพระผู้เป็นเจ้า(การเข้าถึงความจริงหรือการเข้าถึงพระเจ้า
เพราะพระเจ้าคือความจริง) ตอนปลายยุคกลาง ในราวศตวรรษที่ 16 ความบ้าถือเป็นภูมิปัญญาหรือญาณพิเศษแบบหนึ่งของมนุษย์ท่ามกลาง วาทกรรม
ที่ถือกันว่า ภูมิปัญญาแบบที่ต่างไปจากปกติธรรมดา คือความเหนือธรรมดา เหนือผู้อื่น
การมีในสิ่งที่ผู้อื่นไม่มี การเห็นพระเจ้า
ได้ยินเสียงพระเจ้า(การที่คนบ้าพูดคนเดียว) สิ่งเหล่านี้อาจเป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้
และเป็นแหล่งที่มาจากอาณาจักรไกลโพ้นมหาสมุทร
•
ศตวรรษที่17-18 ยุคแห่งการปฎิวัติทางภูมิปัญญาที่ให้ความสำคัญและเชื่อมั่นในเหตุผลนิยมของมนุษย์
เหตุผลกลายเป็นแบบแผนของการคิดที่ถือว่าดีที่สุด ภายใต้วาทกรรมเช่นนี้
ความบ้าจึงเป็นสิ่งที่อยู่พ้นขอบเขตของความเป็นเหตุเป็นผลหรือไม่อยู่ในซับเซตของเหตุผล(และความเป็นมนุษย์)
ความบ้าถูกอธิบายว่าเป็นความไร้เหตุผล ไม่มีเหตุผลหรืออยู่นอกเหนือเหตุผล (
เรียกว่า Unreason
แม้ว่าจริงๆแล้วคนบ้าหรือความบ้าก็อาจมีเหตุผลชุดหนึ่งของตัวเองที่แตกต่างจากชุดของเหตุผลของคนปกติ)
แต่ในช่วงเวลานี้ความบ้ายังไม่ถูกถือว่าเป็นอาการป่วย
คงเป็นเพียงลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจาก “ความปกติ” ดังนั้นคนบ้าจึงถูกควบคุมและดูแลปนไปกับพวกผิดปกติอื่นๆ เช่น ขอทาน
อาชญากร
•
ศตวรรษที่19 ความบ้าถูกจำแนกออกจากความผิดปกติอื่นๆ กลายเป็นอาการป่วยชนิดหนึ่ง
เพราะเกิดชุดความรู้หรือวาทกรรม (Discourse)ใหม่ที่เกี่ยวกับโรคทางจิตที่ไม่เคยมีมาก่อน
ความบ้าถูกมองว่าเป็นความบกพร่องในพัฒนาการบางอย่าง ซึ่งเป็นเรื่องของจิตใจและสมอง
แต่พวกเขาก็ยังเป็นคน ดังนั้นคนบ้าถูกถือว่าเป็นคนเช่นกันกับคนอื่นในสังคม ที่เป็นผลมาจากวาทกรรมของพวกมานุษยนิยม (Humanism)
สิ่งที่แตกต่างระหว่างคนบ้ากับคนปกติเป็นแค่เพียงการบกพร่องทางด้านชีววิทยา
ดังนั้นจึงต้องได้รับการรักษาแบบเฉพาะ(จากผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชและประสาท)และในที่เฉพาะของคนบ้า(โรงพยาบาลบ้า
โรงพยาบาลจิตเวช)
•
การค้นพบของซิกมันด์ ฟรอยด์
ในความก้าวหน้าของวิชาการด้านจิตวิเคราะห์
ทำให้ความบ้ากับความปกติไม่แตกต่างกันอย่างที่เคยคิดหรือเชื่อมาก่อนหน้า
แต่ทว่าทั้งสองสิ่งมีลักษณะร่วมกันมากกว่าแตกต่างกัน ทำให้เราตระหนักว่า ความบ้า
ไม่ใช่ Unreason
หรือป่วย แต่เป็นเหตุผลอีกระบบหนึ่งที่แตกต่างจากคนอื่น
ดังนั้นฟรอยด์จึงปลดปล่อยพวกเขาจากสถานกักกัน
แต่กระนั้นก็ตามความมีอิสระของพวกเขา(คนบ้า)มีได้ตราบเท่าที่พวกเขายังอยู่ภายใต้อำนาจหรือความรู้ของจิตแพทย์
ภาพการทรมานนักโทษผู้ผิดปกติจากมาตรฐานสังคม ภาพคนบ้าที่มีสถานะศักดิ์สิทธ์ การติดต่อกับสิ่งที่เหนือธรรมชาติ ภาพเรือบรรทุกคนบ้าไปโยนทิ้งทะเล
•
The Birth of Clinic (พิมพ์ 1963
แปล 1973)
•
The Order of Thing (พิมพ์ 1966
แปล 1970)
ฟูโก
เขียนประวัติศาสตร์ของวิชาความรู้เกี่ยวกับมนุษย์ 3 แขนง คือ ชีววิทยา เศรษฐศาสตร์ และนิรุกติศาสตร์ ที่แสดงให้เห็นว่า
แต่ละวิชาไม่ได้มีประวัติศาสตร์อันยาวนานในอดีตแต่อย่างใด ก่อนศตวรรษที่ 18
ไม่มีวิชาเหล่านี้
เพราะมนุษย์ไม่เคยเอาตัวเองเป็นวัตถุหรือหน่วยในการศึกษา
มนุษย์วางตัวเองไว้ในฐานะองค์ประธาน (Subject) ของสิ่งต่างๆเสมอ
หนังสือถ้อยคำและสรรพสิ่ง (The
Order of thing )
มุ่งหมายที่จะสืบค้นดูความเป็นมาของการสถาปนาศาสตร์ที่หันมาจัดวางมนุษย์ให้เป็นวัตถุแห่งการศึกษา
ฟูโกเรียกวิธีการของเขาว่า โบราณคดีของความรู้ (Archeaology of knowledge) หรือการขุดค้นลงไปที่ชั้นของความรู้ (Layer of knowledge)เช่นเดียวกับเขาสำรวจชั้นของเอกสารต่างๆ (Archive) เพื่อค้นหาโครงสร้างความคิดของแต่ละยุคสมัย
โครงสร้างดังกล่าวเรียกว่า กรอบทางความรู้ (Episteme)
สิ่งเหล่านี้เรียกว่า
เป็นเบ้าหลอมคำพูดและข้อเขียนในเรื่องต่างๆที่ไหลเวียนไปมาในสังคม ที่เรียกว่า “วาทกรรม” เป็นแหล่งอ้างอิงของผู้คนในยุคนั้นๆที่จะหยิบยื่นความหมายละคุณค่าของสรรพสิ่ง
ความรู้ของมนุษย์ในแต่ละยุคสมัยมีความแตกต่างกัน
ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ กรอบความรู้อิงกับกรอบความคล้ายคลึง (La
Ressemblance)ระหว่างสิ่งต่างๆ ศตวรรษที่17 และ18
ก็เกิดการตัดขาดในโลกความรู้ ความรู้แบบใหม่เกิดขึ้นมา เน้นการแยกแยะความแตกต่างระหว่างสรรพสิ่ง
โดยอาศัยการชั่ง ตวง วัด และจัดประเภท(La Differance)
ศตวรรษที่19 เปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับสาเหตุ (La
Cause)ไม่ใช่ “อะไรแตกต่างจากอะไร” แต่เป็น “อะไรกำหนดให้เกิดอะไร
ผลที่ตามมาจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวคือ
1. ประวัติศาสตร์กลายเป็นกรอบแม่บททางความรู้ทั้งปวงในฐานะคำอธิบายเกี่ยวกับสาเหตุ
2.มโนทัศน์เกี่ยวกับมนุษย์ได้ถูกประดิษฐ์ขึ้นเป็นวัตถุแห่งการศึกษา
ในฐานะเป็นตัวการก่อให้เกิดโภคทรัพย์ สังคมและภาษา นี่คือ
ที่มาของศาสตร์ที่ว่าด้วยมนุษย์ (Les Sciences Humaines)
ซึ่งมนุษย์ดำรงตนในฐานะอัตบุคคลผู้กระทำและวัตถุที่ถูกกระทำ
ภาพ Las Meninas by Diego Valasquez
จากภาพนำมาสู่คำถามว่า
•
ใครกำลังมองใคร?
•
เรามองภาพเขียน?
•
ภาพเขียนมองเรา?
•
จิตรกรมองคนที่เป็นแบบ?
•
ใครมีอำนาจ?
•
ใครเป็นSubject?
•
ใครเป็น Object?
ความหมายของภาพ
ภาพดังกล่าวเป็นเรื่องของปฏิสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนระหว่างการปรากฏกับการไม่ปรากฏ
สิ่งที่เห็นกับสิ่งที่มองไม่เห็น ความหมายจึงเป็นเรื่องของการแทนที่สวมรอย
ภาพจึงไม่มีศูนย์กลางเดียวและไม่ใช่วัตถุที่นำเสนอเพียงชนิดเดียว
ความหมายจึงเป็นเรื่องของการกำลังจะเกิด ความหมายสุดท้ายที่ยุติเด็ดขาดยังมาไม่ถึง
วาทกรรมที่ปรากฏ
•
วาทกรรมว่าด้วยการจ้องมอง (Gaze)
•
วาทกรรมของภาพเขียน
การมองภาพทำให้เราตกเป็นวัตถุร่างทรงของวาทกรรมว่าด้วยภาพเขียน
ในทำนองเดียวกัน วัตถุของภาพเขียน Las Meninas คือ พระราชา พระราชินี ที่เป็นเจ้าชีวิตในโลกของความเป็นจริงกลับถูกทำให้กลายเป็นวัตถุของวาทกรรมว่าด้วยภาพเขียน
ในขณะเดียวกันภาพเขียนไม่ได้มีความหมายที่หยุดนิ่งตายตัวรอให้คนมองค้นหา
แค่คนมองทำปฏิสัมพันธ์กับภาพให้เกิดเป็นความหมายขึ้นมา
เป็นปฏิสัมพันธ์ภายใต้การกำกับของวาทกรรมว่าด้วยภาพเขียน
The Disappearance of
man
ปรากฏในหนังสือThe
order of thing ในบทที่1 Las Meninas และบทที่3 Representing
บรรยายอากัปกริยาและตำแหน่งของตัวจิตรกรในภาพเขียนที่นำเสนอตัวเองปรากฏอยู่
พร้อมทั้งบรรยายให้รายละเอียดลักษณะขององค์ประกอบทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในภาพ
ตำแหน่งแห่งที่ อาการของบุคคล ช่องว่าง ทิศทางแสงเงา
รวมทั้งจินตนาการทางความคิดของเขาเองที่มีต่อเรื่องราวและโครงสร้างของภาพ(เชิงศิลปะการจัดวาง)
นำเสนอความเป็นภาพนี้ออกมา
สรุปได้ว่า
คนดู จิตรกรและภาพ ต่างเป็นSubject Object
ซึ่งกันและกัน
•
The Archaeology of Knowledge (พิมพ์
1969 แปล 1972)
วิธีการศึกษาที่เทียบเคียงกระบวนการขุดค้นทางโบราณคดี
แต่มีความแตกต่างกัน
โบราณคดีศึกษาร่องรอยอารยะธรรมของมนุษย์จากซากวัตถุต่างๆที่กระจายอยู่ในอาณาบริเวณหนึ่งหรือวัฒนธรรมหนี่ง
และโดยมากจะฝังตัวอยู่ในระดับชั้นดินต่างๆกัน ตามแต่อายุและความยาวนานของอารยะธรรม
ณ ที่แห่งนั้น หลักฐานในแต่ละชั้นดิน เป็นผลผลิตเฉพาะยุคสมัยหนึ่ง
จึงมีความสมบูรณ์ในตัวเองและเป็นอิสระจากหลักฐานยุคสมัยอื่นๆ
แต่คำอธิบายเกี่ยวกับมนุษย์ต้องพิจารณาจากหลักฐานหลายยุคประกอบกันความรู้ต่างๆและตัวตนของมนุษย์ก็เป็นเช่นนั้น
ดังนั้นจะเข้าใจตัวมนุษย์ว่าประกอบขึ้นมาจากความรู้ได้อย่างไรและเข้าใจความรู้ว่าแประกอบขึ้นมาจาก
Discourse
ได้อย่างไร ก็ต้องใช้วิธีการ Archaeology
Discourse ของฟูโก คือการดำรงอยู่ในเชิงระนาบต่างๆจำนวนมากมาย
แต่ละระนาบมีความเป็นอิสระในตัวเอง หรือมีความเป็นมาและเวลาของตนเอง ดังนั้น Discourse
เป็นเครือข่ายของ Possibility of Knowledge
ที่ทำให้ Discourse ต่างๆสามารถประสาน
บรรจบกันเป็นครั้งคราวเฉพาะสถานการณ์จนเกิดเป็น Discursive Practice และเกิดความหมายความรู้ขึ้น
Discourse ก็เหมือนวัตถุสิ่งของในชั้นดิน กล่าวคือ
ก่อตัวขึ้นและดำรงอยู่ภายใต้เงื่อนไขและดำรงอยู่ภายใต้เงื่อนไขทางประวัติศาสตร์แบบหนึ่ง
แต่ละDiscourse มีความเป็นมาเฉพาะของตน
เป็นผลผลิตของสภาวการณ์เฉพาะเจาะจง
มีอายุเงื่อนไขของการดำรงอยู่หรือมีเวลาเฉพาะของตัวเอง
ประเด็นในหนังสือฟูโก
ปฏิเสธ สิ่งที่เรียกว่าความดั้งเดิมเริ่มแรก การสรุปรวบยอดและความต่อเนื่อง ( Origin
,Total ,Continous ) ที่ดูเหมือนราบเรียบและเป็นปกติของสังคม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น