ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

มานุษยวิทยาว่าด้วยการสูญหาย (Abthropology of Disappearance) โดย รัฐวุฒิสิงห์กุล

มานุษยวิทยาว่าด้วยการสูญหาย (An Anthropology of Disappearance) การศึกษาประเด็นนี้มีงานของนักมานุษยวิทยาที่น่าสนใจหลายท่าน โดยเฉพาะนักมานุษยวิทยาที่อยู่ในบริบทของประเทศที่ถูกกดขี่ และมีประสบการณ์ที่ถูกดขี่ และสัมผัสกับการสูญหายของผู้คนในวัฒนธรรมของตัวเอง อาทิเช่น Laura Huttunen เป็นศาสตราจารย์ด้านมานุษยวิทยาสังคมที่มหาวิทยาลัย Tampere ประเทศฟินแลนด์ ในปี 2556-2557 เธอดำเนินโครงการที่มุ่งเน้นไปที่คำถามเกี่ยวกับบุคคลสูญหายและหายตัวไปในบอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา ในปี 2561-2565 เธอเป็นผู้นำโครงการวิจัยที่มุ่งเน้นไปที่การหายตัวไปในบริบทการย้ายถิ่น หนังสือ An Anthropology of Disappearance โดย Laura Huttunen สำรวจปรากฏการณ์ของการหายตัวไปในบริบททางสังคมและวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง การบังคับหายตัว และความรุนแรงทางการเมือง หนังสือเล่มนี้นำเสนอกรณีศึกษาจากสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น สงคราม การกดขี่ทางการเมือง และการอพยพย้ายถิ่นฐาน โดยวิเคราะห์ว่าการหายตัวไปส่งผลกระทบต่อครอบครัว ชุมชน และสังคมอย่างไร สิ่งที่น่าสนใจคือ Huttunen นำเสนอแนวคิดว่าการหายตัวไ...

มานุษยวิทยาว่าด้วยอาหาร โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

แนวคิด Anthropology of Food คือการศึกษาอาหารในบริบททางวัฒนธรรม สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง โดยเน้นความเข้าใจว่าอาหารไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่รับประทานเพื่อการยังชีพเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนสำคัญที่สะท้อนถึงวิถีชีวิต ความเชื่อ ประวัติศาสตร์ และความสัมพันธ์ของผู้คนในสังคม โดยสาระสำคัญของ Anthropology of Food คือ 1. วัฒนธรรมอาหาร (Food Culture) การศึกษาว่าอาหารมีบทบาทอย่างไรในการกำหนดและสะท้อนอัตลักษณ์ของกลุ่มคน รวมถึงวิธีที่อาหารถูกใช้เพื่อสร้างความหมายและการแสดงออกทางวัฒนธรรม 2. การแลกเปลี่ยนทางสังคม (Social Exchange) อาหารมักเป็นส่วนหนึ่งของการแลกเปลี่ยนทางสังคม เช่น การแบ่งปันอาหารในครอบครัวหรือชุมชน ซึ่งช่วยสร้างและรักษาความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน 3. อำนาจและการเมือง (Power and Politics) การศึกษาอาหารสามารถเปิดเผยโครงสร้างอำนาจและความไม่เท่าเทียมในสังคม เช่น การควบคุมทรัพยากรอาหาร การเข้าถึงอาหารที่ไม่เท่าเทียมกัน และการเมืองของการผลิตและการบริโภคอาหาร 4. เศรษฐกิจและการบริโภค (Economy and Consumption) วิเคราะห์วิธีที่ระบบเศรษฐกิจมีผลต่อการผลิตและการบริโภคอาหาร และผลกระทบของระบบ...

ความเชื่อเรื่องเจดีย์ และเจ้าวัด กระบวนการต่อรองท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

งานเขียนนี้ตั้งใจสำรวจความหมายของ เจดีย์และลัทธิเจ้าวัดในโลกจินตนาการของชาวกะเหรี่ยง ซึ่งสะท้อนจักรวาลวิทยา ความหวังต่อพระศรีอริยะเมตไตรย์ และความเชื่อเรื่อง mìn laùng หรือผู้มีบุญผู้ปลดปล่อย เจดีย์ถูกสร้างจากวัสดุท้องถิ่น เช่น ไม้ ดิน ทราย ไผ่ และตั้งอยู่บนพื้นที่สูงหรือศูนย์กลางหมู่บ้าน ทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ แหล่งรวมกิจกรรมศาสนา วัฒนธรรม และงานหัตถกรรม เจดีย์จึงเปรียบเหมือน “พิพิธภัณฑ์หมู่บ้าน” ที่หล่อเลี้ยงความฝัน ความหวัง และคุณค่าทางศีลธรรม การสร้างเจดีย์เชื่อมโยงกับความเชื่อจักรวาลวิทยาในหลายวัฒนธรรม ตั้งแต่คติพุทธ–ฮินดูที่มองภูเขาเป็นศูนย์กลางจักรวาล ไปจนถึงประเพณีล้านนาอย่างเจดีย์ทรายและตุงในเทศกาลสงกรานต์ ขณะเดียวกัน เจดีย์ของกะเหรี่ยงยังสัมพันธ์กับการเมือง การต่อสู้ และอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ เช่น กรณีในพม่าและไทย ที่ศาสนา–การเมือง–เศรษฐกิจผสานกัน แม้โลกาภิวัตน์และนโยบายรัฐทำให้บางหมู่บ้านสูญเสียพื้นที่ ความเชื่อ และเจดีย์ แต่ก็มีการฟื้นฟูพิธีกรรม เช่น ลู้บ่อง ในอุทัยธานีและกาญจนบุรี แสดงถึงความทรงจำทางสังคมและความพยายามรักษาอัตลักษณ์ของชาวกะเห...

Dark Anthropology : การศึกษาด้านมืดผ่านงานมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

มานุษยวิทยาด้านมืด (Dark Anthropology) จุดเริ่มต้นจากการประชุมเชิงปฏิบัติการที่ชื่อ “Dark Ethnography” มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมนักมานุษยวิทยาจากสาขาต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นที่ความหมายเชิงระเบียบวิธีและเชิงทฤษฎี และความท้าทายในการทำงานด้านชาติพันธุ์กับผู้คนซึ่งจัดอยู่ในประเภท 'อาชญากร' 'ผู้กระทำความผิด' 'กลุ่มหัวรุนแรงที่ติดอาวุธ' หรือ 'ผู้ก่อการร้าย' และ ที่นักมานุษยวิทยา “ไม่จำเป็นต้องชอบ” (Bangstad 2017) Sherry Ortner ได้แนะนำคำว่า "มานุษยวิทยาแห่งความมืดมน" สำหรับ "มานุษยวิทยาที่เน้นมิติที่รุนแรงและโหดร้ายของประสบการณ์ของมนุษย์ ตลอดจนสภาพโครงสร้างและประวัติศาสตร์ที่ก่อให้เกิดสิ่งเหล่านี้" (Ortner, 2016, 49). Ortner กล่าวถึง "มานุษยวิทยาแห่งความมืด" ที่เชื่อมโยงกับลัทธิเสรีนิยมใหม่ที่เป็นแรงผลักดันทางโครงสร้างที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวันและประสบการณ์ของผู้คน และมองว่าเป็นภาวะของการต่อต้านหรือตรงกันข้ามกับ "มานุษยวิทยาแห่งความดี"(the anthropology of the good ) ที่สะท้อนการแทรกแซงและกัดเซาะของเชอร์รี่ ออร์ทเนอร์ ที่ท...

เวทมนตร์ขาวและเวทมนตร์ดำ : ความเชื่อ ประสบการณ์ และการจัดการความไม่แน่นอน ในเศรษฐกิจสมัยใหม่ โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

เวทมนตร์ขาวและเวทมนตร์ดำ : ความเชื่อ ประสบการณ์ และการจัดการความไม่แน่นอน ในเศรษฐกิจสมัยใหม่ แม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) ใช้คำว่า เวทมนตร์ (Magic) เพื่ออธิบายการกระทำเชิงศาสนาที่ผู้คนเชื่อว่ามีประสิทธิผลในตัวเอง แม้ผลนั้นจะไม่สามารถพิสูจน์เชิงประจักษ์ได้ ขณะที่บรอนิสลาฟ มาลินอฟสกี้ (Bronislaw Malinowski) ให้นิยามเวทมนตร์ว่าเป็น “การใช้วิธีเหนือธรรมชาติ (supernatural means)” เพื่อบรรลุผลบางอย่าง โดยแยกเวทมนตร์ออกจากศาสนา มนตร์ขาว (White Magic) มักถูกใช้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม เช่น พิธีกรรมเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของพืชผล ความสำเร็จในการล่าสัตว์ หรือการรักษาโรค ตัวอย่างเช่น หมอผีในหมู่ Juang แห่งโอริสสา หรือเวทมนตร์การตกปลาของชาวเกาะ Trobriand ที่ใช้เฉพาะเมื่อต้องออกทะเลลึกที่มีความเสี่ยงสูง ต่างจากการตกปลาน้ำจืดซึ่งไม่ต้องใช้เวทมนตร์แต่อย่างใด มนตร์ดำ (Black Magic) กลับถูกเชื่อมโยงกับอันตราย ความเจ็บป่วย และความตาย ตัวอย่างเช่น คาถาสาปแช่งหรือ “ดวงตาปีศาจ” (evil eye) ที่เชื่อกันว่าสามารถทำลายผู้อื่นได้โดยไม่ตั้งใจ บางสังคม เช่น Dobuans แห่งแปซิฟิกตะวันตก กลับใช้มนตร์ดำในเชิ...