ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Dark Anthropology : การศึกษาด้านมืดผ่านงานมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

มานุษยวิทยาด้านมืด (Dark Anthropology) จุดเริ่มต้นจากการประชุมเชิงปฏิบัติการที่ชื่อ “Dark Ethnography” มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมนักมานุษยวิทยาจากสาขาต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นที่ความหมายเชิงระเบียบวิธีและเชิงทฤษฎี และความท้าทายในการทำงานด้านชาติพันธุ์กับผู้คนซึ่งจัดอยู่ในประเภท 'อาชญากร' 'ผู้กระทำความผิด' 'กลุ่มหัวรุนแรงที่ติดอาวุธ' หรือ 'ผู้ก่อการร้าย' และ ที่นักมานุษยวิทยา “ไม่จำเป็นต้องชอบ” (Bangstad 2017) Sherry Ortner ได้แนะนำคำว่า "มานุษยวิทยาแห่งความมืดมน" สำหรับ "มานุษยวิทยาที่เน้นมิติที่รุนแรงและโหดร้ายของประสบการณ์ของมนุษย์ ตลอดจนสภาพโครงสร้างและประวัติศาสตร์ที่ก่อให้เกิดสิ่งเหล่านี้" (Ortner, 2016, 49). Ortner กล่าวถึง "มานุษยวิทยาแห่งความมืด" ที่เชื่อมโยงกับลัทธิเสรีนิยมใหม่ที่เป็นแรงผลักดันทางโครงสร้างที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวันและประสบการณ์ของผู้คน และมองว่าเป็นภาวะของการต่อต้านหรือตรงกันข้ามกับ "มานุษยวิทยาแห่งความดี"(the anthropology of the good ) ที่สะท้อนการแทรกแซงและกัดเซาะของเชอร์รี่ ออร์ทเนอร์ ที่ทำให้เกิดมุมมองทางทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจการเมืองในระดับโลก และจบลงด้วยการหันไปสู่มานุษยวิทยาของการต่อต้านและการเคลื่อนไหวทางสังคม ในการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ ได้ขยายแนวคิดของ Ortner เกี่ยวกับ "มานุษยวิทยาแห่งด้านมืด" (dark anthropology ) นำไปสู่การตั้งคำถามว่า ด้วยงาน"ชาติพันธุ์วิทยาแห่งความมืด" ว่าจะมีลักษณะอย่างไร และจะเกิดอะไรขึ้นหากเราต้องเข้าไปมีส่วนร่วมกับผู้ที่มักต่อต้านนักมานุษยวิทยา การจัดการกับประเด็นทางศีลธรรมและจริยธรรมในมานุษยวิทยา ส่งผลให้ความต้องการงานทางมานุษยวิทยาที่มีคุณธรรมเพิ่มขึ้น (Fassin 2008) ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุด เช่น การลงคะแนนเสียง Brexit (ลงคะแนนเพื่อมีมติเกี่ยวกับการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปในอังกฤษ) การเลือกตั้งโดนัลด์ ทรัมป์ ในตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา และการเพิ่มขึ้นของลัทธิประชานิยม ขบวนการขวาจัดและลัทธินีโอฟาสซิสต์ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ยังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในประเด็นด้านมานุษยวิทยา เพื่อมุ่งเน้นไปที่การอธิบายปรากฏการณ์เหล่านี้ทางชาติพันธุ์วิทยา รวมถึงแนวโน้มงานทางมานุษยวิทยาที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มโซเซียลลิสต์และผู้สนับสนุนขบวนการอิสลามิสต์ที่เข้มแข็ง การพัฒนาทางการเมืองที่พัวพันกับเรื่อง 'สงครามต่อต้านการก่อการร้าย' และความหวาดกลัวอิสลามหัวรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้น สิ่งเหล่านี้กลายเป็นประเด็นทางมานุษยวิทยาที่ได้รับความสนใจมากขึ้น(Bangstad 2017) ในขณะเดียวนักมานุษยวิทยาไม่สามารถพรรณนาถึงผู้คนเหล่านี้ได้โดยง่ายและเต็มปากว่าเป็น “ผู้ทุกข์ทรมาน” ที่ “มีชีวิตอยู่ในความเจ็บปวด ภายใต้โครงสร้างของความไม่เท่าเทียมและความยากจน หรืออยู่ภายใต้เงื่อนไขของความรุนแรงหรือการกดขี่” ที่ทำให้เขาต้องเป็นอาขญากร หรือผู้ก่อการร้าย(Robbin 2013, 448) เพราะในขณะเดียวกันพวกเขาอาจมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งในการใช้ความรุนแรงและการกดขี่ผู้คนด้วยกันเองเช่นกัน นักมานุษยวิทยาร่วมสมัยหลายคนสนับสนุนให้มีการต่อต้านคนเหล่านี้ ดังนั้น ความสัมพันธ์ของนักมานุษยวิทยาและผู้คนที่พวกเขาทำงานด้วยจึงถูกตั้งความหวังอย่างสูงกับหลักจริยธรรมและศีลธรรม และเป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนภายในสนามที่มีความขัดแย้งสูงและต้องการหาทางออกต่อปัญหาดังกล่าว ประการที่สอง ตำแหน่งของผู้วิจัยในสภาพแวดล้อมที่มีความขัดแย้งกันสูงอย่างนี้จะมีความเกี่ยวข้องกันมากขึ้น ไม่เพียงแต่ความยากเป็นพิเศษที่จะเข้าสู่เขตงานชาติพันธุ์วิทยาเหล่านี้ ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของการสร้างความไว้วางใจเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับการปกป้องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของคู่สนทนาเป็นอย่างมาก (Hemmingsen 2011; de Koning, Bartels, und Koning 2014) ในขณะเดียวกันยังรวมถึงกระบวนการของการรวมกันและการกีดกันที่มีการเมืองสูง และมักถูกโต้แย้งผ่านการอภิปรายในพื้นที่สาธารณะ (de Koning, Bartels, Koning 2014, 2011) ประการที่สาม การสะท้อนย้อนคิดในการเขียนเชิงชาติพันธุ์มีความสัมพันธ์อย่างมากกับมิติทางอารมณ์ที่เชื่อมโยงประสบการณ์ของผู้วิจัยในสาขานี้ และอาจได้รับอิทธิพลจากความตึงเครียดทางศีลธรรมและจริยธรรม การเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพิจารณาเกี่ยวกับความกลัวและการความคับข้องใจของผู้วิจัยเป็นจุดเริ่มต้นหลักที่สำคัญกับกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูล (Devereux, 1967) โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักมานุษยวิทยาที่ทำงานในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งสูง การวางตำแหน่งตนเองในฐานะนักมานุษยวิทยา ต่อคำถามเกี่ยวกับ "การปนเปื้อน” “มลทิน” ที่เป็นไปได้อันเนื่องมาจากความใกล้ชิดกับสิ่งเหล่านั้นและวิธีการเขียนงานเชิงชาติพันธุ์วิทยา สามารถนำไปสู่ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่นี้ได้(Shoshan 2015) สิ่งที่ท้าทายของนักมานุษยวิทยาต่อคำถามต่อไปนี้คือ.. 1.นักมานุษยวิทยาจะเข้าถึงพื้นที่ที่มีการขัดแย้งทางการเมือง กองกำลังติดอาวุธ หรือเขตอันตรายได้อย่างไร อะไรคือผลที่ตามมาจากการทำงานในสาขาที่เกี่ยวข้องกับนักวิจัย แต่ยังรวมถึงความปลอดภัยของคู่สนทนาด้วยหรือไม่? 2.นักมานุษยวิทยาสามารถสะท้อนตำแหน่งตัวเองในระหว่างการทำงานภาคสนามและกระบวนการเขียนชาติพันธุ์ได้อย่างไร? 3.นักมานุษยวิทยาจะจัดการกับการเขียนเกี่ยวกับคู่สนทนาของเราในฐานะบุคคลที่ซับซ้อนได้อย่างไร ไม่ลดทอนพวกเขาเป็นหมวดหมู่หรือวัตถุของการศึกษาหรือประเมินค่า 4.อะไรคือความท้าทายทางจริยธรรมและศีลธรรมโดยเฉพาะ เช่น เมื่อนักมานุษยวิทยาเข้าไปพัวพันกับกระบวนการทางการเมืองและกฎหมาย? หรือคำถามที่ว่าศีลธรรมของใคร? ใครได้รับอนุญาต หรือใครกำหนดและใครตัดสินใจว่าอะไรหรือใครที่ดี ไม่ดี? สรุป มานุษยวิทยาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1980 พัฒนาแนวคิดวิธีการศึกษา วิเคราะห์ปรากฏการณ์ทางสังคม วัฒนธรรม ท่ามกลางกระแสเสรีนิยมใหม่ที่เพิ่มขึ้นทั้งในรูปแบบเศรษฐกิจและการบริหารราชการ อันดับแรก การแสวงหาทิศทางใหม่ของการศึกษาปัญหาในปัจจุบัน ที่เรียกว่า “มานุษยวิทยาแห่งความมืด” นั่นคือ มานุษยวิทยาที่เน้นมิติที่รุนแรงของชีวิตทางสังคม (อำนาจ การครอบงำ ความไม่เท่าเทียมกัน และการกดขี่) เช่นเดียวกับประสบการณ์ส่วนตัวของผู้คนในมิติเหล่านี้ใน รูปแบบของภาวะซึมเศร้าและความสิ้นหวัง นักมานุษยวิทยาจึงควรพิจารณางานและวิพากษ์งานทางมานุษยวิทยา ภายใต้กรอบ “มานุษยวิทยาแห่งความดี” รวมถึงการศึกษาเรื่อง “ชีวิตที่ดี” และ “ความสุข” ตลอดจนการศึกษาเรื่องศีลธรรมและ จริยธรรม ที่ท้าทายและเข้าใจสิ่งต่างๆอย่างรอบด้านมากขึ้น
References Bangstad, Sindre. 2017. "Doing Fieldwork among People We Don’t (Necessarily) Like". Anthropology News Website (blog). 08 2017. http://www.anthropology.news/doing- fieldwork-among-people-we-dont-necessarily-like/. Devereux, Georges. 1976. "From Anxiety to Method in the Behavioral Sciences." Editions Mouton & Co. und Ecole Pratique des Hautes Etudes. Fassin, Didier. 2008. "Beyond good and evil? Questioning the anthropological discomfort with morals." Anthropological Theory. Volume 8 (4): 333-344. Hemmingsen, Ann-Sophie. 2011. "Salafi Jihadism: Relying on fieldwork to study unorganized and clandestine phenomena". Ethnic & Racial Studies 34 (7): 1201–15. https://doi.org/10.1080/01419870.2011.568628. Koning, Martijn de, Edien Bartels, Danielle Koning. 2011. "Claiming the Researcher’s Identity: Anthropological Research and Politicized Religion". Fieldwork in Religion 6 (2): 141- 157. ——— 2014. "Fieldwork on Identity: Contested and Politicized Research". In Methods for the Study of Religious Change: From Religious Studies to Worldview Studies, herausgegeben von André Droogers und Anton van Harskamp, 141–57. https://research.vu.nl/en/publications/fieldwork-on-identity-contested-and- politicized-research. Ortner, Sherry B. 2016. "Dark Anthropology and Its Others: Theory since the Eighties". HAU: Journal of Ethnographic Theory 6 (1): 47–73. https://doi.org/10.14318/hau6.1.004. Robbins, Joel. 2013. "Beyond the Suffering Subject: Toward an Anthropology of the Good". Journal of the Royal Anthropological Institute 19 (3): 447–62. https://doi.org/10.1111/1467-9655.12044. Shoshan, Nitzan. 2015. "Màs allà de la Empatià: La escritura etnografica de lo desagradable". Nueva antropología 28 (83): 147-162.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พิธีกรรม สัญลักษณ์ และ Victor Turner โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

  พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ  Victor turner  ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก  Arnold Van Gennep  ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา  (Periodicity)  ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์   จะทำอะไร   จะปลูกอะไร   ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ   ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคม ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ   โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น  3  ระยะคือ 1.rite of separation  หรือขั้นของการแยกตัว   ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม   ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์  (purification rites)  เช่น   การโกนผม   การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย   รวมถึงการตัด   การสร้างรอยแผลเป็น   การขลิบ  (scarification or cutting)  ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 2.rite of transition  เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ   โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...