what is the self ตัวตนที่หลากหลาย ผ่านงาน "The Origins of Self: An Anthropological Perspective" โดย Martin P.J. Edwardes : โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 


หนอนผีเสื้อและอลิสมองหน้ากันอยู่นานในความเงียบงัน ในที่สุด หนอนผีเสื้อก็ยกไปป์สูบแล้วพ่นควันออกจากปาก แล้วถามด้วยน้ำเสียงเชื่องช้า

“เธอเป็นใคร?” หนอนผีเสื้อเอ่ยถาม

คำถามนี้ไม่ใช่การเริ่มต้นการสนทนาที่ชวนให้สบายใจนัก

อลิสตอบกลับอย่างประหม่าเล็กน้อยว่า

“ฉัน…ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ ตอนนี้น่ะ

อย่างน้อยฉันก็พอรู้ว่าตอนเช้าฉันเป็นใคร

แต่ฉันคิดว่าฉันคงเปลี่ยนไปหลายครั้งแล้วตั้งแต่ตื่นนอน” (อ้างจาก Lewis Carroll, 1865, บทที่ 5: Advice from a Caterpillar)

   อลิสก็คงรู้สึกสับสน… และนั่นคือคำถามที่มนุษย์ทุกคนเคยถามตัวเอง: “ฉันเป็นใคร?”

     ความสับสนของอลิสไม่ใช่แค่ความงงของเด็กผู้หญิงในบ่ายวันหนึ่ง แต่มันเผยให้เห็นคำถามพื้นฐานที่สุดของการมีอยู่ของมนุษย์

      คำถามสำคัญคือ แล้วเราเป็นใครกันแน่?

     นี่คือคำถามที่คงอยู่ในความคิดของมนุษย์ตลอดประวัติศาสตร์ของสายพันธุ์เรา อาจเกิดขึ้นครั้งแรกตั้งแต่สมัยที่มนุษย์ยังเป็นนักล่าสัตว์เก็บของป่าในแอฟริกาหรือแม้กระทั่งก่อนที่ Homo sapiens จะวิวัฒน์ขึ้นมาเสียอีก

      ความจริงที่ว่าตัวตนของเราสามารถหันกลับมาถามตนเองได้ว่า ฉันคืออะไร? ฉันเป็นใคร? เป็นความสามารถอันน่าประหลาดของสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์เรา

สัตว์อื่นต่างมุ่งไปที่การอยู่รอดและการสืบพันธุ์

ตามแรงผลักดันของวิวัฒนาการ แต่สำหรับมนุษย์ เรากลับมีสิ่งที่เหนือกว่า ความสามารถในการย้อนมองตนเอง (introspection)

     คำถามคืความสามารถแบบนี้ช่วยเรื่องความอยู่รอดในการวิวัฒนาการ” ได้อย่างไร?

       คำตอบที่น่าคิดคือ  มนุษย์สามารถเข้าถึงความรู้ได้หลายแบบ ไม่ใช่แค่เพียงรู้ว่าอะไรแต่รวมถึงเรารู้อย่างไร ความแตกต่างหนึ่งที่สำคัญคือ 1. สิ่งที่เรารู้ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองรู้  2.สิ่งที่เรารู้ และรู้ตัวว่ารู้ 3.สิ่งที่เรารู้ และรู้ด้วยว่ารู้ว่ารู้ (ความรู้ซ้อนระดับ)

ความแตกต่างนี้สอดคล้องกับการแบ่งระหว่าง

ความรู้แบบปริยาย (implicit knowledge)

กับความรู้แบบชัดแจ้ง (explicit knowledge)

( Dienes และ Perner, 1999)

      ความรู้แบบ implicit ยังใช้อีกหลายคำเรียก เช่นความรู้เชิงฝังลึกในตัว (tacit knowledge) ความรู้ที่เราใช้โดยอัตโนมัติ หรือความรู้แบบไม่รู้ตัว ซึ่งไม่เหมือน ความรู้ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดแต่เป็นความรู้ที่ทำงานอยู่ในพื้นหลังของการคิดของเราเสมอ

      ความรู้ที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ (inarticulate), ความรู้ที่เราไม่รู้ตัว (unaware), ความรู้แบบจิตใต้สำนึก หรือความรู้แบบต่ำกว่าระดับการรับรู้ (subliminal knowledge) ไม่ว่าจะใช้คำใดก็ตาม มัน ไม่ใช่สิ่งเดียวกับความรู้โดยกำเนิด (innate knowledge)

    ความรู้โดยกำเนิด คือความรู้ที่เรามีเพราะเราเป็นมนุษย์โดยพันธุกรรม   มันถูกเขียนฝังอยู่ในยีนของเรา ความรู้โดยกำเนิดเป็นส่วนหนึ่งของความรู้แบบปริยาย (implicit knowledge) ซึ่งหมายความว่า แม้ความรู้โดยกำเนิดทั้งหมดจะเป็นความรู้ปริยาย แต่ความรู้ปริยายทั้งหมดไม่ได้เป็นความรู้โดยกำเนิด

    การรู้แบบปริยาย หมายความว่า แม้ฉันอาจไม่รู้ด้วยเหตุผลเชิงสติปัญญาอย่างชัดเจนว่าบางสิ่งเป็นอย่างไร แต่ร่างกายของฉันก็ทำงานราวกับว่ามันรู้ตัวอย่างสมบูรณ์ ตัวอย่างเช่น แม้ว่าฉันจะไม่เข้าใจว่าระบบย่อยอาหารของฉันทำงานอย่างไร แต่มันก็ยังทำงานได้ดี ร่างกายสามารถทำงานได้เองโดยไม่ต้องให้สมองรับรู้ทุกขั้นตอน

    การขับรถเป็นตัวอย่างของความรู้แบบปริยายที่ได้เรียนรู้ (learned implicit knowledge) เพราะมันเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้แล้วค่อย ๆ ซึมลึก (sublimation) จนกลายเป็นอัตโนมัติ เราไม่ได้เกิดมาพร้อมทักษะการขับรถ เราต้องเรียนรู้ทักษะซับซ้อนหลายอย่างพร้อมกัน เช่น การบังคับพวงมาลัย เปลี่ยนเกียร์ ฟังเสียงเครื่องยนต์ เช็กตำแหน่งในถนน ประเมินระยะทาง เป็นต้น

    แต่วันหนึ่งเมื่อกลางปีที่ผ่านมา  ผมตระหนักได้ว่า ตัวผมไม่ได้คิดถึงขั้นตอนแยกย่อยของการขับรถอีกต่อไปแต่สติรับรู้ของผมไม่ได้อยู่ที่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้ว แต่เปลี่ยนมาเป็นกิจกรรมเชิงกลยุทธ์แทน นั่นหมายความว่า ทักษะการขับรถเชิงปฏิบัติได้ กลายเป็นความรู้แบบปริยายไปเรียบร้อยแล้ว

    เนื่องจากความรู้แบบปริยายดูเหมือนจะถูกกระจายไปทั่วร่างกาย แม้ว่าสมองจะเป็นศูนย์กลางควบคุมหลักอยู่ก็ตาม ความรู้ปริยายจึงมักถูกเรียกว่าความรู้ของร่างกาย(body knowledge)

     สำหรับสัตว์ส่วนใหญ่บนโลกนี้ความเป็นตัวตน (selfhood) เป็นสิ่งที่อยู่ในระดับปริยาย หรือเป็น ความรู้ของร่างกาย

     ในฐานะสัตว์ที่ไม่ใช่มนุษย์  ไม่จำเป็นต้องมีแบบจำลองตัวตนทางปัญญา ก็แค่ปล่อยให้ร่างกายทำงานตามที่มันต้องทำ ร่างกายจึงมีไว้เพื่อรักษาและส่งต่อชีวิตโดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้เชิงสติปัญญามาควบคุม มันมีทักษะที่ถูกขัดเกลาผ่านวิวัฒนาการของหลายร้อยสายพันธุ์ โดยมีกฎพื้นฐานเดียวคือสิ่งมีชีวิตที่สามารถรักษาชีวิตและส่งต่อยีนได้มากกว่า จะอยู่รอดได้ยิ่งกว่า

      ความรู้ทางหัว (head Knowledge) ไม่จำเป็นในบริบทนี้ และในกรณีของมนุษย์ บางครั้งมันอาจเป็นสิ่งที่ยากและเป็นอุปสรรคด้วยซ้ำในการอธิบาย  เช่น กลไกการทำร้ายตัวเอง (ฆ่าตัวตาย การเสียสละตนเอง หรือการพลีชีพ) ซึ่งอธิบายได้ยากในเชิงวิวัฒนาการ เพราะมันขัดแย้งกับแรงผลักดันให้มีชีวิตรอด

Charles Whitehead (2001) ชี้ให้เห็นว่า กลไกการทำลายตัวเองเหล่านี้เชื่อมโยงกับ ความสามารถของมนุษย์ในการสร้างแบบจำลองตัวเอง และความสามารถนี้เชื่อมโยงกับ การแบ่งปันข้อมูล ที่เราทำได้ผ่านภาษา ดังนั้นคำถามพื้นฐานของการรู้ตัวตน เช่น “ฉันเป็นใคร?” (Who am I?) ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เลย หากไม่มีภาษา

     คำถามนี้เกิดขึ้นได้ เพียงเพราะภาษา เป็นการตอบสนองทางจิตที่จำเป็นต่อคำถามจากภายนอกว่า

“คุณคือใคร?” (Who are you?)

     คำถาม “ฉันคือใคร?” อาจไม่ใช่คำถามแรกที่มนุษย์เคยถาม แต่ความจริงที่ว่าเราสามารถตั้งคำถามแบบนี้ได้ คือหัวใจสำคัญของความเป็นมนุษย์ แม้ภาษาจะช่วยให้เราตั้งคำถามนี้ได้ แต่ การเขียน ต่างหากที่ทำให้ คำตอบต่าง ๆ มากมายถูกบันทึก ถกเถียง และกลั่นกรองผ่านรุ่นสู่รุ่นจนถึงปัจจุบัน 

      ดังนั้นเราจึงยังสามารถสำรวจคำตอบจากอดีตได้ เพราะมันถูกบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร นี่ทำให้เกิดการถกเถียงต่อเนื่องหลายพันปี และแสดงให้เห็นว่าควาาเป็นตัวตนเป็นประเด็นที่มนุษย์ให้ความสนใจเสมอมา

     เมื่อสังคมพัฒนามากขึ้น ความรู้ในสาขาต่าง ๆเติบโตขึ้น สาขาวิชาต่าง ๆ ก็เสนอคำตอบของตัวเองแก่คำถาม “ฉันคือใคร?” คำตอบเหล่านี้มากมายจนบางครั้งขัดแย้งกัน และเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ตามความคิดใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น  มากมาย เช่น 

      1. The priest’s turn  คำอธิบายตัวตนในมุมศาสนา เนื่องจากศาสนาเป็นสาขาแรกที่ให้คำอธิบายตัวตนในลัทธิวิญญาณนิยม(animism ) สิ่งต่าง ๆ มีวิญญาณหรือตัวตนของมันเอง มนุษย์และธรรมชาติมีเจตจำนง  ในศาสนาอับราฮัมมีแนวคิดว่าจิตวิญญาณ( soul) แยกจากกาย ตัวตนเป็นอมตะและรับผลกรรมแม้หลังตาย

      ดังนั้นตัวตนในศาสนาเป็น สิ่งเหนือธรรมชาติ และ ข้ามเวลาชีวิตกายภาพ  จุดอ่อนสำคัญของแนวคิดนี้คือ วัดหรือพิสูจน์ไม่ได้ ไม่รองรับวิธีคิดทางวิทยาศาสตร์

   ศาสนาเป็นคำอธิบายตัวตนเชิงเมตาฟิสิกส์หรืออภิปรัชญาที่ครอบงำมนุษย์มายาวนานที่สุด และกำหนดฐานคิดเรื่องความรับผิดชอบ ความดีและความชั่ว

     2. The philosopher’s turn  คำอธิบายตัวตนในมุมปรัชญา เมื่อมนุษย์มีการเขียน นักปรัชญาเริ่มให้คำตอบเชิงเหตุผลแทนความเชื่อ ตัวอย่างสำคัญ เช่น ปรัชญายุคกรีก Plato มองว่า ตัวตนคือวิญญาณนิรันดร์อยู่ชั่วคราวในร่างกาย Aristotle มองว่า ตัวตนคือการทำงานตามธรรมชาติของมนุษย์โดยเฉพาะการคิดเหตุผล   ในปรัชญายุคใหม่ Descartes มองว่าฉันคิด ฉันจึงมีอยู่ ที่เป็นการคิดพิสูจน์การมีตัวตนของมนุษย์ หรือ David Hume มองว่า ตัวตนไม่ใช่แก่นแท้ แต่คือการรับรู้ที่ผันแปรอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่  Dennett มองว่า ตัวตนคือ narrative  เพราะเรื่องเล่าที่เราสร้างขึ้น  ในขณะที่ Strawson มองตัวตนว่ามี 2 ลักษณะ คือหน่วยต่อเนื่อง (diachronic) และหน่วยเป็นตอน ๆ (episodic)  หรือ Metzinger ที่มองว่าไม่มีตัวตนจริงมีเพียงแบบจำลองเชิงปรากฏการณ์ (phenomenal self)

  ในภาพรวมปรัชญาเสนอคำตอบหลายทิศทาง แต่สรุปได้ว่า ไม่สามารถพิสูจน์ตัวตนได้เป็นสิ่งจริงหรือแก่นแท้ มีแต่กรอบอธิบายที่ต่างกัน

     3. The psychologist’s turn  ตัวตนในมุมจิตวิทยา จิตวิทยาเป็นสาขาที่สนใจตัวตนในฐานะกระบวนการภายใน ประเด็นสำคัญคือ  จิตวิเคราะห์ของ Freud ที่มองว่าตัวตนประกอบด้วย id – ego – superego ซึ่ง จิตวิทยามองมนุษย์เป็นกลไกบางส่วน แต่กลไกนี้มีแรงจูงใจ ความต้องการ และความหมาย

       นักจิตวิทยาเน้นว่า ตัวตนเกี่ยวข้องกับการมีชีวิตที่มีความหมาย แรงจูงใจ และความรู้สึกมีเอกภาพ (unity) นักจิตบำบัดชี้ว่าแบบจำลองตัวตนของผู้ป่วยเอง สำคัญกว่านิยามเชิงทฤษฎีของผู้เชี่ยวชาญ 

   ในมุมมเลิงจิตวิทยามองว่า ตัวตนคือโครงสร้างทางปัญญาและอารมณ์ที่ยืดหยุ่น เปลี่ยนแปลง และเกี่ยวพันธ์กับการรับรู้ตนเอง

      4. The neurologist’s turn  ตัวตนในมุมวิทยาศาสตร์สมอง โดยประสาทวิทยาให้ข้อมูลเชิงภาพและกระบวนการ แต่ยังไม่พบที่อยู่ของตัวต

ประเด็นสำคัญคือการพัฒนา fMRI (หลังทศวรรษ 1990) ทำให้เห็นการไหลเวียนของเลือดในขณะคิด แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานว่าตัวตนอยู่เฉพาะส่วนใดของสมองตัวอย่างกรณี Phineas Gage มักถูกอ้างว่าตัวตนอยู่ที่ frontal cortex แต่ข้อมูลยังไม่ชี้ขัดอย่างเด็ดขาด หรือ งานของ Graziano เสนอว่าสติและความรู้ตัวเป็นผลผลิตของกลไกสร้างแบบจำลองความสนใจ (attention schema) ไม่ใช่ของจริงที่ตั้งอยู่ในสมองส่วนใดส่วนหนึ่ง 

    สรุปแล้วประสาทวิทยาอธิบายกระบวนการแต่ยังไม่สรุปได้ว่ามีตัวตนเป็นหน่วยเชิงกายภาพจริงหรือไม่

       5. The anthropologist’s turn ตัวตนในมุมมานุษยวิทยา มานุษยวิทยามองตัวตนเป็นผลผลิตของสังคมและวัฒนธรรม  ความคิดสำคัญของนักสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่น Marxมองว่า ตัวตนในระบบทุนนิยมถูกทำให้แปลกแยกจากการทำงานและศักยภาพของตนเอง

        Durkheim มองว่า สังคมดั้งเดิมเน้นอัตลักษณ์แบบส่วนรวม; สังคมสมัยใหม่เน้นปัจเจกที่เข้มแข็ง

       Csordas มองว่า ตัวตนคือ “embodiment” เสมือนร่างกายที่ถูกวัฒนธรรมกำกับ

      Deacon มองว่าตัวตนคือคุณสมบัติ emergent ของความซับซ้อนทางปัญญา  มนุษย์มี “interiority” (คิดย้อนสู่ตนเองได้) ที่สัตว์อื่นแทบไม่มี 

       ข้อสรุปเชิงมานุษยวิทยาตัวตนเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกกับสังคม ผ่านการสื่อสารแบบจำลองทางสังคม

        สำหรับ Edwardes มองว่า ตัวตนไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่โดยตัวมันเองแต่อยู่ในแบบจำลอง เรามีตัวตนเพราะ คนอื่นบอกเราว่า นี่คือตัวคุณ   เรารับ เราปรับ เราใช้แบบจำลองนั้น เนื่องจากตัวตนภายในจริง ๆ (actual self) อยู่ลึกจนเข้าถึงไม่ได้โดยตรง สิ่งที่เรียกว่าตัวตนคือ การตอบสนองต่อแบบจำลองของผู้อื่น และแบบจำลองที่เราสร้างเอง นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมมนุษย์จึงมีความรับผิดชอบต่อสังคม, มีกรรมสิทธิ์, มีความสัมพันธ์ และการลงโทษได้

        Self  จึงเท่ากับแบบจำลองทางสังคมที่เกิดจากภาษา การรับรู้ และปฏิสัมพันธ์ ซึ่งเราใช้ทั้งเพื่อรู้จักตนเองและเพื่อให้ผู้อื่นรู้จักเรา ภายใต้การสร้างแบบจำลองของตัวเอง

      โดยมนุษย์รับข้อมูลจากโลก จากนั้นสมองสร้าง แบบจำลองโลก  เราสร้างแบบจำลองตัวเราไปในเวลาเดียวกัน ตัวตนจึงเป็น model-dependent reality (เหมือนภาพแผนที่ที่ช่วยนำทาง แต่ไม่ใช่ภูมิประเทศจริง). แบบจำลองตัวตนเกิดจาก 3 ชั้น 1. การรับรู้ (perception) 2. ภาษา 3. ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ตัวตนแบบนี้ ไม่ใช่แก่นแท้ แต่คือเครื่องมือที่วิวัฒนาการสร้างขึ้น

  ผมลอบคำว่า  The Roots of Selfhood หรือรากเหง้าของตัวตน เนื่องจากตัวตนมีรากจากสัญชาตญาณเอาตัวรอดของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ทั้งระบบ attention, agency, intention ปรากฏขึ้นก่อนมนุษย์ อีกทั้งความสามารถคิดถึงตนเอง (self-referential cognition) ค่อย ๆ เติบโตเป็นลำดับ สปีชีส์ต่าง ๆ มี ระดับ selfhoodต่างกัน ดังนั้นสิ่งที่พิเศษของมนุษย์คือการใช้ภาษาในการแบ่งปันแบบจำลองตัวตนกับคนอื่น

   โลกที่เต็มด้วยความหมาย  (A World Full of Meaning ) มนุษย์สร้างความหมายผ่านสัญญะและภาษา  ดังนั้นโลกที่เราอยู่เป็นโลกที่ถูกตีความไม่ใช่โลกจริงตรง ๆ ความหมายทำให้เราสามารถมีตัวตนที่สลับซับซ้อนกว่าเผ่าพันธุ์อื่น

   วัฒนธรรมจึงเป็นระบบแบบจำลองร่วมของกลุ่มมนุษย์ตัวตนแต่ละคนจึงคือตำแหน่งหนึ่งบนภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรม”

ตัวตนที่กำลังก่อตัว (Emerging Selfhood ) เน้นพัฒนาการของตัวตน ทารกเรียนรู้การมีตัวตนจากการตอบสนองของผู้เลี้ยงดู การเลียนแบบ (imitation) และการร่วมสมมติสถานการณ์ (shared intentionality) เป็นแกนกลางของการสร้างตัวตน การเกิดขึ้นของ “ฉัน” เกิดจาก การมีชื่อ การถูกเรียก และการถูกสอนให้รับผิดชอบ ดังนั้นตัวตนเป็น emergent property คือ ไม่มีชิ้นส่วนเดียวในสมองที่สร้างมันขึ้นมา

       แบบจำลองตัวตนที่ฉันสร้าง (My Modelling Self) เรามีการรวมกลุ่มความคิดภายใน เช่น ความทรงจำ, อารมณ์, เหตุผล  ดังนั้นตัวตนที่เรารับรู้คือตัวตนที่ทำงาน (working self) ทำให้เราบริหารแบบจำลองตัวตนเพื่อ ทำให้ตนสอดคล้องกับความคาดหวังสังค การรักษาภาพของตนเอง การอธิบายพฤติกรรมของเรา และการเล่าเรื่อง (narrative) เป็นกลไกยึดแบบจำลองให้ต่อเนื่อง

       แบบจำลองตัวตนของคนอื่นที่เราสร้างขึ้น ( Your Modelling Self) เราไม่ได้สร้างแค่ตัวตนของตัวเอง แต่สร้างแบบจำลองผู้อื่นด้วย ทักษะนี้คือรากฐานของ social cognition เช่น Theory of Mind ความเห็นอกเห็นใจ การเจรจา และการตั้งข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับเจตนาผู้อื่น เราจึงอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วย ตัวตนที่เราจำลองคนอื่นขึ้นมา

      ตัวตนร่วมที่สังคมสร้าง (Our Modelling Self) ในมุมมานุษยวิทยา สังคมสร้างแบบจำลองตัวตนร่วม เช่นบทบาท อัตลักษณ์ทางเพศ ชาติ ศาสนา และหน้าที่พลเมือง ที่นำไปสู่ตัวตนสาธารณะ (public self) และ ตัวตนส่วนตน (private self) เป็นผลของบริบททางวัฒนธรรมที่อาศัยอยู่ 

     วัฒนธรรมกำกับวิธีสร้างตัวตน เช่น สังคมแบบปัจเจกนิยม สังคมแบบส่วนรวม ตัวตนของเราคือการเจรจาระหว่างสิ่งที่เราคิดว่าเราเป็นกับ สิ่งที่สังคมบอกว่าเราควรเป็น

    อนาคตของตัวตน (The Future of Selfhood) ในสังคมแห่งอนาคต เทคโนโลยีจะเปลี่ยนวิธีสร้างตัวตน เช่น โซเชียลมีเดีย อวตาร ปัญญาประดิษฐ์ สื่อดิจิทัล ส่งผลให้ตัวตนจะยิ่ง แยกย่อย (fragmented)และ ปรับเปลี่ยนเร็วมาก  อาจเกิด ตัวตนระหว่างเผ่าพันธุ์ ตัวตนผสม (hybrid self) เช่น มนุษย์–AI ความหมายของความเป็นคนจะยืดหยุ่นขึ้น

สุดท้าย ตัวตนจะเป็นสิ่งสมมติที่มีพลังมากที่สุด”ที่มนุษย์เคยสร้างมา



ความคิดเห็น