Personhood มุมมองทางมานุษยวิทยาและโบราณคดี โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 




Personhood มุมมองทางมานุษยวิทยาและโบราณคดี 

     “We must first interrogate our common-sense understandings of what it means to be a person.”  อย่าเอาความเข้าใจเรื่องคนแบบปัจจุบันไปใส่อดีตโดยไม่ตั้งคำถาม

    “Past people were not necessarily individualized in the same way as modern people.” คนในอดีต ไม่ได้มี individual แบบเรา

      “There is no presumption of an innate unity: identity is created only to special, transient effect.” ตัวตนไม่ถาวร แต่เกิดชั่วคราวตามบริบท

      ”Persons emerge from an ongoing field of social relations involving humans, animals, things and places.” คนเกิดจากความสัมพันธ์ ไม่ได้มีอยู่ลำพัง

   “Personhood is constituted through social practices, not located solely within the body.”ตัวตนไม่ได้อยู่แค่ในร่าง แต่เกิดจากการกระทำทางสังคม

      “The singular person can be imagined as a social microcosm.” คนหนึ่งคนคือภาพย่อของสังคมทั้งระบบ

“Persons are multiply constituted rather than self-authored.” คนไม่ได้สร้างตัวเองลำพัง แต่ถูกประกอบจากผู้อื่น

     “Objects may be parts of persons, not merely possessions.” วัตถุไม่ใช่ของ แต่เป็นส่วนของคน

      Chris Fowler. เขียนหนังสือ The Archaeology of Personhood: An Anthropological Approach โดยมีแกนกลางสำคัญเรื่อง Personhood  คำว่า Personhood คือสิ่งที่ถูกประกอบขึ้น (constituted) ผ่านความสัมพันธ์ การปฏิบัติ และวัตถุ ไม่ใช่คุณสมบัติที่มีอยู่โดยธรรมชาติในร่างกายมนุษย์คนหนึ่ง หรือพูดง่าย ๆ คือไม่ใช่ใครเป็นใครแต่คือการเป็นคนเกิดขึ้นอย่างไร

     Personhood เป็นกระบวนการ (Process) โดย Fowler มอง personhood เป็น สิ่งที่เกิด สิ่งที่ถูกทำ สิ่งที่เปลี่ยน และสิ่งที่ถูกรื้อและประกอบใหม่ ผ่านการแลกเปลี่ยน ผ่านพิธีกรรม ผ่านความสัมพันธ์เครือญาติ ผ่าน การใช้วัตถุ และผ่านความตาย ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า personhood ไม่ใช่สถานะ แต่คือการเคลื่อนไหวนั้นเอง 

     Personhood เป็นเชิงสัมพันธ์ (Relational) คนหนึ่งคนเป็นคนได้ เพราะ มีความสัมพันธ์กับผู้อื่น มีพันธะกับวัตถุ มีความเชื่อมกับสัตว์ มีความผูกโยงกับสถานที่ อยู่ในระบบพิธีกรรม คนไม่ได้มีความสัมพันธ์ แต่คนคือความสัมพันธ์

     Personhood ไม่ได้อยู่แค่ในร่างกาย โดย Fowler ชี้ว่าในหลายสังคม  วัตถุ คือส่วนหนึ่งของ person ของขวัญคือชิ้นส่วนตัวตน ในขณะที่ อาหาร สาร เลือด ตัวกำหนดตัวตน และศพคือ personhood ที่กำลังแปรรูป สิ่งเหล่านี้สะท้อน personhood กระจาย (distributed) อยู่ในโลกวัตถุ

    Personhood แยกส่วนได้ (Dividual / Partible) แทนที่จะเป็นตัวเดียวแน่น ดังนั้นคนสามารถแบ่งตัวตนออกไป การให้ของเท่ากับให้ส่วนหนึ่งของตนเอง และการรับของคือการรับ personhood ของคนอื่น สิ่งหล่านี้ตอกย้ำว่า ตัวตนมีการไหลเวียน

     Personhood ไม่จำกัดที่มนุษย์ ในกรอบคิดของ Fowler เขาพบว่า สัตว์อาจเป็น persons วัตถุอาจมี personhood และสถานที่อาจมีสถานะเชิงบุคคล ดังนั้น personhood ไม่ได้มีอยู่ในมนุษย์เท่านั้น 

    Personhood กับความตาย สะท้อนภาพความตายไม่ใช่การสิ้นสุดของ personhood แต่คือการแยก การรวบรวม และการจัดสรรใหม่ ผ่าน ศพ สิ่งของที่ฝังศพอพิธีกรรมงานศพและความทรงจำร่วม

    Chris Fowler เสนอว่า โบราณคดีไม่ควรถามแค่ว่า “คนในอดีตเป็นใคร” แต่ต้องถามว่า “การเป็นคน (personhood) ในสังคมนั้น ๆ หมายความว่าอย่างไร”    หนังสือเล่มนี้จึงไม่มองบุคคล (individual) แบบสมัยใหม่เป็นจุดตั้งต้น แต่ตั้งคำถามถึงขอบเขตของความเป็นคน ความสัมพันธ์ระหว่าง คน สิ่งของ สัตว์ และสถานที่–ความตาย วิธีที่สังคมสร้างคนขึ้นมาผ่านการปฏิบัติทางสังคมและวัตถุ

     การวิจารณ์กรอบคิดปัจเจกบุคคลแบบสมัยใหม่ โดย Fowler ชี้ว่า โบราณคดีตะวันตกมักติดกับดักแนวคิดว่าคนคือปัจเจกที่แยกขาด เป็นเอกเทศ มีตัวตนคงที่ ดังนั้นตัวตนจึงอยู่ภายในร่างกาย แต่แนวคิดนี้เป็นผลผลิตของโลกสมัยใหม่ (modernity) ไม่ใช่สากล และ ไม่เหมาะกับการอธิบายสังคมก่อนประวัติศาสตร์

คนในอดีตอาจไม่ได้เป็นบุคคลแบบเดียวกับเรา

แนวคิดสำคัญ: Personhood แบบสัมพันธ์ (Relational Personhood) หัวใจของหนังสือคือแนวคิดว่า personhood ถูกสร้างขึ้นผ่านความสัมพันธ์ ไม่ได้มีอยู่โดยลำพัง   Fowler ใช้วิธีการเชิงมานุษยวิทยาเปรียบเทียบ (โดยเฉพาะสังคม Melanesia และอินเดีย) เพื่อเสนอรูปแบบของ personhood ที่ต่างจากตะวันตก  โดยมอง 3 องค์ประกอบ คือ 

      1 Dividual personhood คนเป็นองค์ประกอบรวมของความสัมพันธ์ ตัวตนประกอบจากพ่อแม่ เครือญาติ สิ่งของ สาร อาหาร ของขวัญ และ ตัวตนเปลี่ยนไปตามบริบท

       2 Partible personhood (กรณีตัวอย่างในเมลานีเซีย) คนสามารถ แยกส่วนของตนออกไปได้ทของขวัญ พิธีแลกเปลี่ยน หรือแม้แต่คน ก็คือส่วนหนึ่งของ person การให้ คือ การถอดถอนตัวตนบางส่วน

      3 Permeable personhood (กรณีตัวอย่างในอินเดีย) คนมีขอบเขตที่ ซึมผ่านได้ เช่น สาร (อาหาร เลือด คำพูด เงิน) ไหลเข้าและออก รวมทั้งเปลี่ยนสภาพตัวตนภายใน ที่สะท้อนว่าตัวตนคือสมดุลของสารที่ไหลเวียน

     วัตถุไม่ใช่แค่ของแต่เป็นส่วนของคนหนังสือเน้นว่าในหลายสังคม วัตถุอาจเป็นบุคคลหรือเป็นส่วนหนึ่งของบุคคล การแลกเปลี่ยนวัตถุ คือการเปลี่ยนสถานะ personhood นี่ทำให้โบราณคดีต้องมองว่าภาชนะ เครื่องมือ เครื่องประดับ ซากศพไม่ใช่เพียงหลักฐานเชิงหน้าที่ แต่เป็นหลักฐานของความสัมพันธ์และตัวตน

     ความตาย คือการแปรสภาพของ personhood บทเรื่องพิธีศพชี้ว่า ความตายไม่ใช่จุดจบของบุคคลแต่เป็นกระบวนการแยก รวม และกระจาย personhood ไม่ว่าจะเป็น ซากศพ ของฝังศพ และพิธีกรรม คือการจัดการตัวตนของผู้ตายและชุมชน

   กรณีศึกษาที่น่าสนใจของ Fowler คือ สังคมเมโสลิธิกสแกนดิเนเวีย โดย Fowler แสดงให้เห็นว่า การฝังศพ การจัดวางร่างกาย และความสัมพันธ์กับสัตว์และวัตถุ สะท้อน personhood แบบสัมพันธ์ มากกว่าปัจเจกเชิง เดี่ยว ที่ซึ่งชุมชน คน และสิ่งของ ก่อสร้างร่วมกันในความเป็นบุคคล

     สรุปแก่นคิดของหนังสือ มองว่า คนในอดีต ไม่ใช่ปัจเจกแบบสมัยใหม่ แต่ความเป็น personhood คือสิ่งที่ถูกสร้างผ่านความสัมพันธ์ ดังเช่น วัตถุ สัตว์ ความตาย และพิธีกรรม ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นคน โบราณคดีควรศึกษาการก่อรูปตัวตนไม่ใช่แค่ตัวบุคคล

     หลุมศพ Vedbæk Bøgebakken (เดนมาร์ก) ซึ่งเป็นหลุมศพยุคเมโสลิธิก มีร่างคน 3 คน รวมทั้งวัตถุ  และซากสัตว์ถูกฝังร่วมกัน โดย Fowler ใช้ตัวอย่างนี้เพื่อถามว่า คนที่ถูกฝังคือปัจเจก หรือความสัมพันธ์ รวมทั้งการฝังร่วมกันกำลังบอกอะไรเกี่ยวกับการเป็นคน?

    ประเด็นที่น่าจะวิเคราะห์ คือการฝังศพไม่ได้เป็นเพียงการปิดชีวประวัติบุคคล แต่เป็น การจัดวาง personhood ในระดับชุมชน ท้้งร่าง วัตถุ และสัตว์ คือหน่วยเดียวกันของความหมาย

    ประโยคสำคัญในหนังสือเล่มนี้คือ “We must first interrogate our common-sense understandings of what it means to be a person.” เราต้องตั้งคำถามกับความเข้าใจสามัญเรื่องการเป็นคนก่อนเสมอ

      โบราณคดีไม่ควรเริ่มจากใครคือใครแต่ควรพูดว่า จากการเป็นคนถูกนิยามอย่างไร

     ตัวอย่างใน Melanesia  กรณี คนที่แยกส่วนได้ (Partible personhood) ของขวัญ เช่น ขวาน พืช สัตว์เลี้ยง (หมูป่า) ไม่ใช่ทรัพย์สินแต่คือ ส่วนหนึ่งของตัวตนผู้ให้   กลไกสำคัญของระบบนี้คือ  คน ก็คือผลรวมของความสัมพันธ์ เมื่อให้ของขวัญหรือสิ่งของกับคนอื่นก็คือการตัดส่วนหนึ่งของตัวเองออกไป ดังนั้นการให้ ก็คือการปรับขนาดของตัวตน (scale of person)

    ประโยคสำคัญอื่น ๆ ในหนังสือ ที่มองเรื่องของความสัมพันธ์ เช่น “The singular person can be imagined as a social microcosm.” (คนหนึ่งคนคือจักรวาลย่อมของสังคม) หรือ “Identity is only created to special, transient effect.” (อัตลักษณ์เกิดขึ้นชั่วคราว ตามบริบทของปฏิสัมพันธ์) ข้อความเหล่านี้สะท้อนว่า ตัวตนไม่คงที่แต่ปรากฏเมื่อมีการแลกเปลี่ยน

      หรือตัวอย่าง Are’are (หมู่เกาะโซโลมอน): คนไม่ได้อยู่แค่ในร่าง แต่อยู่ในโครงสร้าง personhood ของ Are’are ดังนั้น มนุษย์ประกอบด้วย ร่าง (body) ลมหายใจ (breath) และภาพ/จิตวิญญาณ (image) แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนกระจายอยู่ใน วัตถุ สัตว์ พืช และของแลกเปลี่ยน ดังนั้น คนทั้งคนจะปรากฏชัดที่สุด ตอนพิธีศพตัวอย่างเชิงพิธีกรรมที่จัดขึ้นหลังตาย จะมีการรวบรวมวัตถุที่ผู้ตายเคยครอบครอง ที่แสดงให้เห็น  personhood ของผู้ตายแล้วจึงแยกส่วนแจกจ่ายกลับสู่ชุมชน

      ประโยคสำคัญคือ “While alive the person is distributed throughout the social and material world. (ขณะมีชีวิต คนกระจายอยู่ทั่วโลกสังคมและวัตถุ) ดังนั้น ความเป็นคนไม่ได้จบที่ร่างกายเท่านั้น 

    กรณีตัวอย่างอินเดีย ที่สะท้อนคนแบบซึมผ่านได้ (Permeable personhood) ตัวอย่างที่ Fowler ใช้ อาหาร เลือด คำพูด เงิน แอลกอฮอล์ คือ substance-codes สิ่งเหล่านี้ ไหลผ่านร่าง และเปลี่ยนตัวตนภายใน

ตัวอย่างเชิงเพศและชนชั้น เช่น สารหรือธาตุร้อนนำไปสู่การเพิ่มความเป็นชาย สารหรือธาตุเย็นนำไปสู่การเพิ่มความเป็นหญิง ตัวตนคือความสมดุลของสารที่รับและให้  ดังเช่น Fowler บอกว่า “What goes on between actors are the same processes that go on within actors.” (สิ่งที่เกิดระหว่างคน คือสิ่งเดียวกับที่เกิดภายในคน) ดังนั้นจึงไม่มีเส้นแบ่งชัดระหว่างภายในกับ ภายนอก

      ตัวอย่างเรื่องความตายภาพสะท้อนว่า ศพไม่ใช่จุดจบของ personhood โดย Fowler วิเคราะห์พิธีศพว่า ความตายคือการแปรรูปตัวตน ซึ่ง personhood ถูกรวบรวม ถูกแยก และถูกแจกจ่าย ผ่านศพ วัตถุ และพิธีกรรม ประโยคสำคัญของ Fowler คือ “Persons are constituted, de-constituted, and transformed through social practices.” (ความเป็นคนถูกสร้าง รื้อ และแปรสภาพผ่านการปฏิบัติทางสังคม) ดังนั้น personhood คือ กระบวนการ ( process) ไม่ใช่สถานะ

      กรณีเมโสดลิธิกสแกนดิเนเวีย สะท้อนภาพ  คน สัตว์ วัตถุ ว่าเป็นเสมือนเครือเดียวกัน ตัวอย่างที่ Fowler วิเคราะห์การฝังร่วมกับสัตว์ เครื่องมือที่เหมือนมีชีวิต และการจัดวางร่างแบบสัมพันธ์ ดังนั้น personhood ไม่ได้จำกัดที่มนุษย์เท่านั้นแต่ สัตว์ วัตถุ และสถานที่ก็มีสิ่งที่เรียกว่า  social person  เช่นกัน 

   ดังนั้นในหนังสือ The Archaeology of Personhood (Chris Fowler) คำว่า Personhood ไม่ได้หมายถึงตัวบุคคลหรือปัจเจกแบบที่เราเข้าใจในชีวิตประจำวัน แต่หมายถึง รูปแบบและกระบวนการที่สังคมหนึ่ง ๆ ทำให้การเป็นคนเกิดขึ้นและมีความหมาย

    ประเด็นเหล่านี้สำหรับผมก็น่าสนใจไม่น้อย…อ่านแล้วต้องทดไว้ก่อน

ความคิดเห็น