ทฤษฎีคลาสสิก กับทฤษฎีร่วมสมัย ความท้าทายต่อการตั้งคำถาม โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 



ตื่นมาแต่ตีสี่ ไม่ได้ตื่นมาทำงาน  แค่มาดูบอลทีมที่ชอบให้ลุ้นเข้ารอบ  ก่อนที่จะอาบน้ำไปมหาวิทยาลัย ระหว่างเดินทาง ผมก็เลยลองพิมพ์ ๆ สิ่งที่คิดทบทวน 

    ผมนั่งคิดเกี่ยวกับคำถามของนักศึกษา ที่ถามว่า อาจารย์คิดว่าทฤษฎีเก่า คลาสสิค อธิบายสังคมสมัยใหม่ได้ไหม ทฤษฎีคลาสสิค กับทฤษฎีร่วมสมัยอะไรดีกว่ากัน ถ้าเราไม่ใช่ทฤษฎีร่วมสมัย จะตกเทรนด์ไหม

    ผมเลยบอกว่า คุณจะไข้เพื่อให้มันว้าว หรืออธิบายเพื่อตีแผ่ความจริงแบบตรงไปตรงมา

     เพราะที่จริงแล้ว ทฤษฎีที่ว่าใหม่ร่วมสมัย ก็ไม่ได้เพิ่งเกิด  มันเกิดมานานแล้ว  แต่ถูกเลย มองข้าม  ไปในช่วงที่ยุคสมัยของความรู้บางอย่างมีอิทธิพลหรือครอบงำความคิดทางแวดวงวิชาการ สังเกตได้จากสายสกุลความคิด  ทั้งวิวัฒนาการ  โครงสร้างหน้าที่  โครงสร้างนิยม หลังโครงสร้างนิยม  โพสต์โมเดิร์น และอื่น ๆ 

ดังนั้นสำหรับผมแล้วทฤษฎีคลาสสิก กับทฤษฎี 

ร่วมสมัย ความแตกต่างจึงไม่ใช่เรื่องเวลา แต่คือวิธีมองโลกต่างหากที่สำคัญ 

    ลองสังเกตดูดีๆ ทฤษฎีมันมีลักษณะหยิบยืม แลกเปลี่ยนกัน เอาไอเดียนี้มาใส่ไอเดียนี้  พูดแบบดูดีคือการบูรณาการความรู้ร่วมกัน  ความรู้ใหม่มันจึงไม่ได้ใหม่ ทำไมผมถึงว่าแบบนี้  อย่างเช่น post human หรือ Multispecies  ที่แวดวงมานุษยวิทยากำลังนิยม ในเวทีวิชาการ ถ้าเราลองศึกษาความรู้บนโลกแขนงอื่น ๆ จะพบว่าชีววิทยา ก็ศึกษาเกี่ยวกับสัตว์ พืช จุลชี หรือภูมิศาสตร์  ก็ศึกษาภูมิประเทศ แม่น้ำ ป่าไม้ ภูเขา นาข้าว  รวมถึงภูมิอากาศ  ฟ้า ฝน  ลม  หรือแม้แต่สาขาวิขาทางมานุษยวิทยา ก็สนใจศึกษา เครื่องมือ วัตถุ สัตว์เลี้ยง และพิธีกรรม รวมทั้งสาขาประวัติศาสตร์ ก็สนใจ เรื่อง เทคโนโลยี อาวุธ และสิ่งปลูก เป็นต้น นั่นยิ่งตอกย้ำว่าทฤษฎีใหม่ที่เรามักพูดถึงกันในปัจจุบัน มักเป็น การกลับมาเปลี่ยนชื่อใหม่ ตั้งชื่อใหม่ให้กับสิ่งเดิม ( re-label) หรืออธิบายใหม่ด้วยภาษาใหม่ (re-articulate) หรือ ดึงสิ่งที่เคยถูกมองข้ามในอดีตให้กลับมาในปัจจุบัน ดังนั้นทฤษฎีที่ว่าใหม่จึงไม่ได้เกิดใหม่แต่เกิดจากการเปลี่ยนจุดศูนย์กลางของคำถามมากกว่า

       ผมลองทบทวนความคิดทางสังคมศาสตร์ ( ผมมองแบบ Foucaultian genealogy โดยไม่ต้องเรียกชื่อมันตรง ๆ ผ่านการตั้งคำถามว่า ใครถูกฟัง  ใครถูกเงียบ ช่วงไหนอะไรครองอำนาจทางความรู้)  พบว่าความรู้มีการเคลื่อนตัวจากมุมมองว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม อยู่ร่วมกัน มีการจัดระเบียบ  มีความสัมพันธ์ ผ่านระบบเครือญาติ  การแต่งงาน  การแบ่งงาน ความเชื่อทางศาสนา พิธีกรรม   และอื่น ๆ ภายใต้สิ่งที่เรียกว่าโครงสร้าง  ในโครงสร้างจึงประกอบไปด้วยระบบเหล่านี้ ที่มีหน้าที่ขับเคลื่อนทำให้สังคมเกิดสภาวะสมดุล 

     ในขณะเดียวกัน การศึกษาโครงสร้าง มันลดทอนภาวะของความเป็นคน ที่เป็นปัจเจก กลายเป็นสิ่งเล็กที่ขับเคลื่อนด้วยโครงสร้าง ภายใต้แนวคิดแบบ structural -functionalism   แน่นอนไม่ใช่เพียงโครงสร้างระบบสังคม แต่ยังรวมถึงโครงสร้างยีนส์  พันธุกรรม ที่เป็นอิทธิพลของวิธีคิดแบบชีววิวัฒนาการ แบบดาร์วินด้วย  

  จนกระทั่งเกิดการตั้งคำถามต่อระบบโครงสร้างที่มีลักษะกดขี่  ขูดรีด ภาวะความขัดแย้งที่เกิดจากระบบทุนนิยม การแบ่งชนชั้น  มนุษย์กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบทุนนิยม เป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยการผลิต ที่ความเป็นมนุษย์ถูกลดทอนให้เป็นแรงงาน ( ไร้ชีวิต จิตใจ เพราะถูกกำหนดควบคุม ด้วยเวลาในการทำงาน ค่าแรงในการทำงาน  ) ไม่แตกต่าจากเครื่องจักร ที่ดิน หรือปัจจัยการ ผลิตแบบอื่น ๆ 

      สิ่งที่น่าสนใจคือ แนวความคิด แบบมาร์กซิสต์ ที่ตั้งคำถามต่อโครงการสร้าง  ที่แบ่งเป็นโครงสร้างส่วนบนและส่วนล่าง  ที่เชื่อมโยงภาวะความขัดแย้งกับคน กลุ่มคน ที่มีภาวะแปลกแยกจากตัวเอง  จากคนอื่น  จากสิ่งที่ตัวเองผลิต ไม่มีอำนาจในการจัดการควบคุมตัวเอง หรืออำนาจในการต่อรองต่อความเป็นเจ้าของทรัพยกร

   ในส่วนที่ผมคิดว่าสำคัญมากอย่างหนึ่งก็คือโครงสร้างส่วนบน ในเรื่องของ Ideology แม้จะเป็นอุดมการณ์ในระดับกลุ่มหรือสถาบัน  แต่อุดมการณ์นี้ล้วนย่อมสร้างขึ้นมาจากตัวปัจเจกแต่ละคน 

      อันนี้เองอาจเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกับแนวคิดแบบ structuralism  ที่เน้นอิทธิพลของภาษา และความคิด ที่สะท้อนผ่านเรื่องเล่า ตำนาน พิธีกรรม  ที่ยึดโยงกับระบบคิด ภาษา และชุมขนที่ใช้ภาษา แน่นอนว่าการมองเชิงระบบคือดังกล่าว ความเป็นมนุษย์มีความสำคัญในแง่การสื่อสาร ผู้ส่งสาร และรับสาร ตามแนวคิดเรื่องการสื่อสารในแวดวงภาษาศาสตร์  แต่ในมุมมองเชิงสังคมวัฒนธรรม มองเรื่องของ รูปสัญญะ (signifier) และความหมายสัญญะ ( signified)  ดังนันความเป็นมนุษย์จึงถูกลดทอนให้เป็นเรื่องของภาาษาและระบบคิดในเชิงกลุ่มสังคม รวมทั้งการแปลความและการตีความหมายส่วนบุคคล 

      ในระยะต่อมาความคิด เรื่องนี้ก็ถูกพัฒนามาเป็นวิธีคิดเรื่องวาทกรรม  ที่ผูกโยงระหว่างภาษา ความรู้และอำนาจ ในเรื่องวาทกรรม ก็ต้องมีปฏิบัติการของวาทกรรม ( Discursive practice) มันไม่ใช่แค่การพูดที่จะทำให้ความรู้ได้รับการยอมรับว่าเป็นความรู้ และมีอำนาจเหนือชีวร่างกายของปัจเจกบุคคล  แต่ยังต้องมีสถาบันทางสังคมมารองรับ ที่ทำให้ความรู้เหล่านี้เป็นไปได้  เช่น ความรู้ทางการแพทย์ ต้องมีสภาวิชาชีพ  มีโรงพยาบาล มีคณะแพทย์ เป็นต้น 

    ปัญหาหลักของทุกโครงสร้างความคิด ไม่ใช่ว่ามันอธิบายผิด แต่คือการอธิบายได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ก็ทำให้มนุษย์หายไปอีกระดับหนึ่งด้วยเช่นกัน  ดังเช่น วิธีคิดแบบ Marx ทำให้มนุษย์หายไปในฐานะแรงงาน หรือ Structuralism ทำให้ มนุษย์ถูกทดลอนหรือหายไปในฐานะภาษา หรือ Discourse ทำให้มนุษย์หายไปในฐานะร่างกายที่ถูกจัดการ ร่างกายที่เชื่อง ว่านอนสอนง่าย   แต่สิ่งเหล่านี้ก็มีความสำคัญกับความคิดสืบเนื่องและการปูไปสู่คำถามร่วมสมัยเรื่องผู้ประทำการ ( agency) การต่อสู้ต่อรอง (resistance) เรื่อง ของอารมณ์ ( affect) และประสบการณ์ชีวิต ( lived experience) 

         ดังนั้นสรุปอย่างง่ายว่า ทฤษฎีต่างกัน เพราะมันตอบคำถามคนละระดับ เช่น Structural-functionalism มองว่าอะไรทำให้สังคมดำรงอยู่ Marxism  มองง่าใครได้ประโยชน์ ใครถูกกดขี่ ส่วน Structuralism  มองว่ามนุษย์คิดได้อย่างไรโดยไม่รู้ตัว และ Post-structural หรือ discourse  มองว่าความจริงถูกผลิตและบังคับใช้อย่างไร หรือ Posthuman และ multispecies มองว่า ใครหรืออะไรถูกนับว่ามี agency ดังนั้น แนวติดทฤษฎีต่าง ๆ ไม่ใช่ว่าอันไหนดีกว่า แต่คือ คุณกำลังถามคำถามอะไรต่างหาก 

    สำหรับผมแล้ว  ในทางวิชาการ การตกเทรนด์อาจอันตรายน้อยกว่า การไหลตามเทรนด์โดยไม่รู้ว่ามันมาจากไหน เราจะใช้ได้มันได้อย่างถูกต้อง ตรงไปตรงมาไหม ทฤษฎีที่ใหม่เร็ว อาจจะตายเร็ว แต่ทฤษฎีที่ถูก re-read ซ้ำ ๆ มักอยู่ได้นานกว่า

  บางอย่างทำไมมานุษยวิทยาถึงเพิ่งตื่น…นั่นไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่รู้ว่ามีสัตว์ พืช ผีหรือวัตถุอยู่ด้วย  แต่เพราะมนุษย์ถูกยกเป็นศูนย์กลางทางศีลธรรม การเติบโตของลัทธิอาณานิคม การแผ่ขยายของทุนนิยม ต้องการ มนุษย์ที่ปกครองได้ ซื้อขายได้  ดังนั้นการกลับมาให้ความสำคัญต่อสิ่งเหล่านี้ คือการเมืองของการคืนเสียงให้สิ่งที่ถูกทำให้เงียบ

       ดังนั้นทฤษฎีไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เรา ดูฉลาดแต่คือสิ่งที่กำหนดว่าเราจะ เห็นอะไร และยอมไม่เห็นอะไร หรือการเลือกทฤษฎีก็มีความสำคัญ เพราะมันสะท้อนการเลือกยืนข้างใครและยอมรับว่าจะไม่เข้าใจบางอย่าง ผมว่าอันนี้จะทำให้นักศึกษาเริ่ม รับผิดชอบต่อการเลือกทฤษฎีมากขึ้น 

       สิ่งที่ผมจะบอกกับนักศึกษาคนนี้คือ  ถ้าคุณใช้ทฤษฎีเพื่อให้ดูทันสมัย คุณจะต้องเปลี่ยนมันบ่อยมาก แต่ถ้าคุณใช้มันเพื่อเข้าใจโลก คุณจะเริ่มเห็นว่าโลกเปลี่ยนเร็ว แต่คำถามพื้นฐานเปลี่ยนช้ามาก  เพราะอะไรเหรอ สิ่งที่ผมเห็นในโลกวิชาการก็คือ ความทันสมัย (trendiness) ไม่ได้เกิดจากการที่โลกเปลี่ยนแต่เกิดจากการจัดลำดับอำนาจความรู้ในช่วงเวลาหนึ่งเช่น วารสาร  การให้ทุนวิจัย ( funding ) การจัดประชุม  (conference) หรือแวดวงสังคม ( peer community) มันคือภาษาที่พุดซ้ำ ๆ พูดแล้วได้ยินในเวทีวิชาการ

      ทฤษฎีที่ดูใหม่จึงมักมาพร้อมคำศัพท์ใหม่ คำใหญ่ ๆ กรอบภาษาที่กำลังเป็นที่นิยม หรือวิธีตั้งคำถามที่สอดคล้องกับวาระสังคมในช่วงนั้น ผลตามมาก็คือ ถ้าคุณใช้ทฤษฎีเป็นเครื่องประดับทางวิชาการ คุณจะต้องเปลี่ยนมันทุกครั้งที่เวทีเปลี่ยน เช่น วันนี้อาจเป็น posthuman  multispecies พรุ่งนี้อาจเป็น AI , algorithmic life หรือ planetary crisis นั่นไม่ใช่เพราะทฤษฎีเก่าผิดแต่เพราะ สนามความรู้เคลื่อนไหวตลอดเวลา 

     แต่ถ้าคุณใช้มันเพื่อเข้าใจโลกตรงนี้คือการเปลี่ยน สถานะของทฤษฎีจากของใหม่เป็นเครื่องมือคิด ดังนั้น เมื่อทฤษฎีเป็นเครื่องมือคำถามจะไม่ใช่ อันนี้ใหม่ไหม?แต่เป็น อันนี้ช่วยให้ฉันเห็นอะไรที่ฉันมองไม่เห็นมาก่อนหรือเปล่า?  เช่น Marx ไม่ได้ช่วยอธิบายแค่โรงงานศตวรรษที่ 19 แต่ช่วยให้เห็น การลดทอนความเป็นมนุษย์ในแพลตฟอร์มดิจิทัล หรือ Structuralism ไม่ได้อยู่แค่ในหมู่บ้านชนเผ่า แต่ช่วยอธิบาย algorithm, meme หรือ  fandom หรือ Foucault ไม่ได้พูดแค่คุกหรือโรงพยาบาล แต่พูดถึง self-tracking, mental health discourse และ productivity culture ก็ยังได้

     ในโลกปัจจุบัน สิ่งที่เปลี่ยนเร็วคือเทคโนโลยี รูปแบบความสัมพันธ์ ภาษา วัตถุ และเวทีการต่อรอง แต่ คำถามพื้นฐาน ที่มนุษย์ถามซ้ำ ๆ คือ ใครมีอำนาจกำหนดชีวิตฉัน? ฉันถูกทำให้เชื่ออะไร? ใครได้ประโยชน์จากระบบนี้? ความไม่เท่าเทียมถูกทำให้ ดูปกติได้อย่างไร? อะไรถูกนับว่าเป็นมนุษย์ หรือไม่เป็นมนุษย์? ใครมีเสียง และใครถูกทำให้เงียบ?

      คำถามเหล่านี้ปรากฏอยู่ใน Marx, Durkheim ,Lévi-Strauss ,Foucault และอยู่ใน posthuman และ multispecies ด้วย ต่างกันแค่ภาษาที่ใช้ถามและสิ่งเหล่านี้ล้วนมีการดำรงอยู่และต่อยอดตลอดเวลา

     ในโลกแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่โลกเปลี่ยนการผลิตจากโรงงานไปสู่แพลตฟอร์ม คำถามเดิมที่ยังคงถูกถามคือ  ใครควบคุมเวลา? ใครได้มูลค่า? ใครไม่มีอำนาจต่อรอง? แนวคิดของ Marx ยังทำงานได้แม้บริบทเปลี่ยน

     หรือเมื่อโลกเปลี่ยน เพศวิถีและเพศสภาพ ลื่นไหลขึ้น คำถามเดิมที่นังคงถามก็คือ ใครมีอำนาจกำหนดร่างกาย? และความเป็นปกติถูกผลิตอย่างไร? แนวคิดของ Butler ไม่ได้ลอยมาจากสุญญากาศแต่ต่อยอดจาก Foucault….

  ในท้ายที่สุด  ถ้าคุณอ่านทฤษฎีเพื่อจำชื่อ คุณจะตามไม่ทันโลก แต่ถ้าคุณอ่านเพื่อเข้าใจคำถามและท้าทาย ว่าโลกจะเปลี่ยนยังไง คุณก็ยังตั้งคำถามกับมันได้อยู่ตลอดเวลา…ทฤษฎีที่ดี จึงไม่ได้ทำให้คุณดูทันสมัย

แต่ทำให้คุณไม่หลงไปกับความทันสมัยมากกว่า

ความคิดเห็น