ด้านมืดของตัวตน ชาติ และความจริง
แนวคิด Dark anthropology มีจุดตั้งต้นที่เรียบง่ายแต่รุนแรง นั่นคือ การยอมรับว่าความทุกข์ ความรุนแรง การหลอกลวง และความล้มเหลวทางศีลธรรม ไม่ใช่ความผิดปกติของมนุษย์ หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของการดำรงอยู่ทางสังคม เช่นเดียวกับ งานของ Daniel Breyer ใน Understanding the Dark Side of Human Nature ได้ให้กรอบเชิงปรัชญาที่ทรงพลังในการทำความเข้าใจว่าด้านมืดไม่ได้อยู่แค่ในตัวบุคคล หากถูกขยาย ถูกทำซ้ำ และทำให้ชอบธรรมผ่านโครงสร้างทางสังคม รัฐ และชาติ
เมื่อกรอบนี้ถูกนำมาวางทับกับกรณี ข่าวลวง ข่าวปลอม และสงครามเชิงวาทกรรมระหว่างประเทศคู่ขัดแย้งที่ทำสงคราม จะเห็นชัดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงปัญหาข้อมูลผิดพลาด บิดเบี้ยว แต่คือกระบวนการก่อรูป ตัวตนทางชาติ ผ่านด้านมืดของมนุษย์อย่างเป็นระบบ ผมลองพิจารณาความน่าสนใจดังนี้
1. Dark anthropology และ ตัวตนที่ต้องมีศัตรู
Dark anthropology ชี้ให้เห็นว่า สังคมจำนวนมากดำรงอยู่ได้ผ่านการผลิตความทุกข์ที่มีความหมายและ ศัตรูที่อธิบายได้ ดังนั้นความรุนแรงไม่ใช่ความล้มเหลวของระบบ แต่เป็นเครื่องมือในการจัดระเบียบโลกทางศีลธรรมนั่นเอง
สิ่งนี้สอดคล้องโดยตรงกับงานของ Breyer ซึ่งชี้ว่า ตัวตน ทั้งในระดับปัจเจกและส่วนรวม ไม่สามารถนิยามตนเองได้โดยไม่กำหนดด้านมืดให้กับผู้อื่น การเรียกใครว่า evil, aggressor หรือ ผู้รุกราน ไม่ใช่เพียงการอธิบายความจริง แต่คือการสร้างเส้นแบ่งว่าใครคือมนุษย์แบบเรา และใครคือคนอื่นสำหรับเรา
ยกตัวอย่าง ในกรณีสงคราม ข่าวลวงจำนวนมากทำงานในลักษณะนี้ ฝั่งหนึ่งถูกทำให้เป็น ผู้โกหก ผู้ล้ำเส้น ผู้คุกคามอธิปไตย ส่วนอีกฝั่งถูกทำให้เป็น เหยื่อ ผู้ปกป้องชาติ ผู้มีศีลธรรม นี่ไม่ใช่การบิดเบือนข้อมูลอย่างไร้ทิศทาง แต่เป็นการจัดวางอัตลักษณ์ทางชาติบนโครงสร้างด้านมืดของมนุษย์
2. ข่าวลวงในฐานะ self-deception ระดับชาติ
Breyer อธิบายว่าด้วย self-deception และความไม่รู้ที่เลือกได้ ให้กรอบสำคัญในการเข้าใจข่าวปลอม ข่าวลวงของรัฐและสังคม เช่นเดียวกับ Dark anthropology มองว่า สังคมไม่ได้หลงเชื่อข่าวลวงโดยบังเอิญ แต่เลือกเชื่อเพราะข่าวเหล่านั้น ทำให้โลกยังคงมีเหตุผล ทำให้ความทุกข์มีผู้รับผิด และทำให้อัตลักษณ์ของเรายังบริสุทธิ์ ในกรณีข่าวลวงของฝ่ายหนึ่ง และข่าวตอบโต้จากฝั่งหนึ่ง เราเห็นรูปแบบของ collective self-deception อย่างชัดเจน เช่น ข้อมูลที่ขัดกับเรื่องเล่าหลักถูกมองไม่เห็น ความซับซ้อนทางประวัติศาสตร์ถูกย่อให้เหลือความผิดของอีกฝ่าย รวมทั้งความรุนแรงถูกอธิบายว่าจำเป็นหรือสมควร
นี่ไม่ใช่ความไม่รู้แบบไร้เดียงสา แต่คือ ความไม่รู้ที่ถูกปกป้อง เพราะการรู้ความจริงทั้งหมดจะทำให้อะตลักษณ์ของชาติแตกร้าวได้
3. Resentment, ความทรงจำ และสงครามเชิงอารมณ์
Breyer อธิบายสิ่งที่เรียกว่า resentment สอดคล้องอย่างลึกซึ้งกับการเมืองความทรงจำในความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายที่รบกัน ดังเช่นแนวคิด Dark anthropology เน้นว่า ความทรงจำทางประวัติศาสตร์ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงบันทึกอดีต แต่เป็นทรัพยากรทางอารมณ์ที่ถูกใช้ซ้ำเพื่อผลิตความชอบธรรมในการโกรธ เกลียด และตอบโต้ ข่าวลวงจำนวนมากไม่ได้สร้างความเกลียดใหม่ แต่ ปลุกความขุ่นเคืองเก่าให้ปะทุอีกครั้งด้วย เช่น บาดแผลอาณานิคม บาดแผลเส้นเขตแดน บาดแผลข้อพิพาทโบราณสถารวมถึงประเด็นศักดิ์ศรีของชาติ
ความโกรธจึงไม่ใช่อารมณ์ชั่วคราว แต่กลายเป็น อัตลักษณ์ร่วม ที่ถูกเลี้ยงดูผ่านสื่อและวาทกรรม ตัวตนทางชาติถูกนิยามผ่านการเป็นผู้ถูกกระทำแม้ในสถานการณ์ที่ซับซ้อนกว่านั้นมากก็ตาม
4. สงครามโดยไม่ต้องยิง: ความรุนแรงเชิงวาทกรรม
Breyer ทำให้เห็นว่า ความรุนแรงไม่จำเป็นต้องเป็นลักษณะทางกายภาพ ข่าวลวงและข่าวปลอมทำงานในฐานะ ความรุนแรงเชิงสัญลักษณ์ (symbolic violence) เช่น ลดทอนความเป็นมนุษย์ของอีกฝ่าย ทำให้การลงโทษ การคว่ำบาตร หรือแม้แต่ความรุนแรงทางทหารดูสมเหตุสมผลและทำให้ประชาชนรู้สึกว่าตนไม่มีทางเลือกอื่น
ในมุมมองแบบ Dark anthropology จะไม่ถามว่า ใครโกหกเพียงอย่างเดียว แต่ถามว่า ข่าวลวงเหล่านี้ทำให้ใครรู้สึกปลอดภัย และทำให้ใครถูกทำให้ไร้เสียง
5. การให้อภัยที่เป็นไปไม่ได้ และการติดกับดักด้านมืด
การให้อภัย การไถ่บาป และเสน่ห์ของด้านมืด ช่วยอธิบายว่าทำไมความขัดแย้งระหว่างประเทศจึงวนเวียนซ้ำซาก การให้อภัยในระดับรัฐแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะอัตลักษณ์ของชาติถูกผูกไว้กับบาดแผล หากไม่มีศัตรู ตัวตนของชาติจะสูญเสียความหมายไป
ในจุดนี้ Dark anthropology เสนอการอ่านที่สร้างความเจ็บปวดแต่มีความจำเป็น เพราะบางสังคมต้องการความขัดแย้ง เพื่อรักษาความเป็นตัวตนของตนเองเอาไว้อย่างเหนียวแน่น
บทสรุปเมื่อผมอ่านงาน Understanding the Dark Side of Human Nature ผ่านเลนส์ Dark anthropology ที่จะต้องสอนนักศึกษาป.โท ทำให้น่าคิดว่าความขัดแย้งระหว่างประเทศ การทำสงคราม ข่าวลวง และสงครามเชิงวาทกรรม ไม่ได้เป็นความล้มเหลวของเหตุผล แต่เป็นผลลัพธ์ของ ตัวตนมนุษย์ที่ดำรงอยู่ได้ด้วยด้านมืด ข่าวปลอมไม่ใช่เพียงปัญหาทางข้อมูล หากเป็นโครงสร้างทางอัตลักษณ์ที่ช่วยให้มนุษย์และชาติอยู่กับความกลัว ความไม่มั่นคง และความเปราะบางของตนเองได้
การเข้าใจสิ่งนี้ไม่ได้ทำให้ความรุนแรงถูกต้อง แต่ทำให้เราเลิกหลอกตัวเองว่า มันเกิดจากความโง่หรือ ความเลวของอีกฝ่ายเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น


ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น