เมื่อยา อำนาจ และความทันสมัย เดินทางมาพร้อมลัทธิอาณานิคม…
ในแวดวงมานุษยวิทยาการแพทย์ มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ช่วยเปิดสายตาให้เราเห็นบทบาทของยาอย่างลึกซึ้งกว่าการเป็นเพียงวัตถุรักษาโรค นั่นคือ The Colonial Life of Pharmaceuticals: Medicines and Modernity in Vietnam โดย Laurence Monnais หนังสือนี้สำรวจความสัมพันธ์ระหว่างยา อำนาจ และความทันสมัยในบริบทเวียดนาม ทั้งในยุคอาณานิคมฝรั่งเศสและช่วงหลังเอกราช โดยชี้ให้เห็นว่าการแพทย์ไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมด้านสุขภาพ แต่เป็นเครื่องมือทางการเมือง วัฒนธรรม และอุดมการณ์ที่มีอิทธิพลยาวไกลมาจนถึงโลกปัจจุบัน
Monnais ไม่ได้เล่าเรื่องประวัติศาสตร์การแพทย์แบบแห้งแล้ง ราบเรียบ แต่ชวนผู้อ่านตั้งคำถามถึงบทบาทของยาในพื้นที่ที่ความรู้และอำนาจปะทะสังสรรค์กัน เช่น การใช้การแพทย์เพื่อควบคุมแรงงานในอาณานิคม หรือการใช้ความทันสมัยด้านสุขภาพเป็นหลักฐานความศิวิไลซ์ของผู้ปกครอง การวิเคราะห์ของ Monnais ทำให้เรามองเห็นว่า ประวัติศาสตร์เหล่านี้ยังคงหลอกหลอนโลกยุคใหม่ เช่น ในการเมืองเรื่องวัคซีนระหว่างวิกฤตโควิด-19 หรือการต่อสู้เรื่องสิทธิเข้าถึงยาในประเทศกำลังพัฒนา
1. อาณานิคมแห่งเภสัชกรรม: เมื่อตัวยาเป็นอำนาจ
Monnais เสนอแนวคิด อาณานิคมเภสัชกรรม เพื่ออธิบายว่ายาแผนตะวันตกถูกใช้เป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมทางการเมืองในเวียดนาม ยาอย่างควินิน (quinine) ถูกนำเข้ามาเพื่อควบคุมมาลาเรียในแรงงานอาณานิคม การแจกจ่ายยาเหล่านี้จึงมีความหมายเกินกว่าเรื่องสุขภาพ แต่เป็นการควบคุมประชากรและสร้างภาพความก้าวหน้าของจักรวรรดิ
แต่ในอีกด้าน ชาวเวียดนามจำนวนไม่น้อยกลับปฏิเสธควินิน เพราะมองว่ามีผลข้างเคียงรุนแรง หรือหวาดระแวงว่าฝรั่งเศสใช้ยาเป็นเครื่องมือกดทับคนพื้นเมือง การแพทย์จึงไม่ใช่เพียงเทคโนโลยีสุขภาพแต่เป็นพื้นที่แห่งความไม่ไว้วางใจทางการเมือง
2. ยาและความทันสมัย: เมื่อสมัยใหม่ถูกตีความใหม่ในท้องถิ่น
โรงพยาบาลในฮานอยและไซง่อนถูกสร้างขึ้นเพื่อประกาศความศิวิไลซ์แบบอาณานิคม แต่ประชาชนจำนวนมากยังเลือกใช้การแพทย์พื้นบ้าน โดยเฉพาะในชนบทที่ความระแวงต่ออำนาจฝรั่งเศสยังเข้มข้น ความทันสมัยแบบอาณานิคมจึงไม่ได้ถูกยอมรับแบบตรงไปตรงมา หากแต่เป็นพื้นที่การเจรจาและปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของตัวเอง
3. การแพทย์แบบผสมผสาน: ความคิดท้องถิ่นที่ไม่เคยหายไป
Monnais แสดงให้เห็นว่าชาวเวียดนามรับยาแผนปัจจุบันเข้ามาสู่ชีวิตประจำวันอย่างเลือกสรรเช่น ใช้ยาแก้ปวดหรือยาปฏิชีวนะสำหรับอาการเฉียบพลัน แต่หันพึ่งสมุนไพรและการนวดสำหรับการฟื้นฟูระยะยาว แนวคิดเรื่องสมดุลของร่างกายจึงถูกนำมาใช้ตีความยาแผนตะวันตกให้เข้ากับวัฒนธรรมของตนเอง นี่ทำให้ความสมัยใหม่มีลักษณะเฉพาะ ไม่ใช่แบบที่อาณานิคมตั้งใจส่งออกมา
4. การต่อต้านและการแปรเปลี่ยนหลังอาณานิคม
หลังการประกาศเอกราช รัฐเวียดนามยังคงใช้ยาและการแพทย์เป็นหลักฐานของความทันสมัย แต่ความหมายถูกเปลี่ยนจากการเป็นเครื่องมือของจักรวรรดิ กลายเป็นสัญลักษณ์ของรัฐชาติที่กำลังสร้างตนเอง การผลิตยาในประเทศ เช่น ยาปฏิชีวนะในยุคสงครามเวียดนาม คือความพยายามปลดแอกจากการพึ่งพาตะวันตก และสร้างระบบสุขภาพของชาติให้แข็งแรงขึ้น
ผมว่าในหนังสือเล่มนี้ มี 3 แนวคิดสำคัญที่หนังสือทำให้เราเห็น
1. การเจรจา (Negotiation)
เวียดนามไม่เคยเป็นผู้รับวัฒนธรรมตะวันตกแบบเฉื่อยชา แต่ปรับ เปลี่ยน ผสาน และต่อต้านอย่างหลากหลายและลงตัว
2. อำนาจและการแพทย์ (Power and Medicine)
ยาคือเครื่องมือทางการเมือง ทั้งในยุคอาณานิคมและยุคหลังอาณานิคม อำนาจถูกผลิตซ้ำผ่านโรงพยาบาล คลินิก และตัวยาที่ใช้รักษาเอง ( ทั้งความสามารถในครอบครอบครอง การเข้าถึงยา งบประมาณการจัดซื้อยา ผู้ผลิตยา การสั่งยา มันก็เรื่องอำนาจทั้งนั้น )
3. ความทันสมัยในแบบท้องถิ่น (Localized Modernity) ความสมัยใหม่ไม่ใช่สิ่งที่ถูกส่งต่อจากตะวันตกแบบเบ็ดเสร็จ หากถูกตีความใหม่ให้เหมาะกับบริบทเวียดนาม ในงานของ Monnais จึงเป็นมากกว่าการเขียนประวัติศาสตร์การแพทย์ แต่เป็นการชวนมองชีวิตทางสังคมของยาผ่านสายตาของมานุษยวิทยา ที่มองเห็นทั้งอำนาจ ความกลัว การต่อต้าน และความหวังในเม็ดเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า “ยา” ในโลกที่การเมืองสุขภาพยังเข้มข้นเหมือนเมื่อร้อยปีก่อน
อ่านเพื่อเติมอาหารสมองและใช้ต่อยอดในงานมานุษยวิทยาสาธารณะ การเขียนบล็อกของผม..

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น