ทำไมผมเห็นภาพนักการเมืองลงช่วยน้ำท่วม (ลุยน้ำแจกของกินของใช้ บัญชาการหลังรถลุยน้ำ ทำอาหารแจก ) มากกว่าที่จะเห็นระบบช่วยเหลือที่ทำงานจริง….
สิ่งนี้อาจเป็นภาพสะท้อนของรัฐไทยมีความเข้มแข็งด้านพิธีกรรม สัญลักษณ์ การสื่อสาร การลงพื้นที่ การตั้งเวที แต่ ความสามารถเชิงระบบ (infrastructure, coordination, logistics) ยังต่ำเมื่อเทียบกับประเทศที่มีระบบรับมือภัยพิบัติแข็งแรงกว่า เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน และอื่นๆ
มันคือสิ่งที่เรียกว่า performative state คือรัฐที่ แสดงบทบาทรัฐได้ดี แต่ทำงานแบบรัฐได้ไม่เต็มที่
ภาพลงพื้นที่ ก็คือกลไกสร้างทุนทางการเมือง (Political Capital) นักการเมืองจำนวนมากมองการลงน้ำท่วมเป็น การแสดงตัวตน การสร้างความใกล้ชิดกับประชาชน การเก็บคะแนนนิยม และการครอบงำพื้นที่สื่อ แต่ในความจริงการช่วยเหลือจริงต้องใช้ระบบเช่น การประสานกรมชลประทาน การระบายน้ำ หรือ สูบน้ำ การมีระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่ชัดเจน หรือการอพยพอย่างรวดเร็ว การจัดการศูนย์พักพิงหรือการมีระบบฐานข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ขึ้นกล้อง ไม่ออกกล้อง และต้องใช้หน่วยงานมืออาชีพ ทำให้ภาพนักการเมืองโดยอาชีพโดดเด่นกว่าผลลัพธ์จริง
รัฐขาดระบบ Data-Driven และการเตือนล่วงหน้า (Early Warning )ที่ดี เมื่อไม่มีข้อมูลแบบ Real-time และฐานข้อมูลผู้เดือดร้อนอย่างเป็นระบบ การช่วยเหลือไม่ทัน ไม่ทั่วถึงและไม่แม่นยำ ประชาชนรู้สึกว่าได้แต่ภาพ แต่ไม่เห็นผลจริง นี่คืออาการของ state fragility ในเชิง disaster management ที่สะท้อนให้เห็นรัฐที่ความสามารถในการป้องกัน รับมือ และฟื้นฟูต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งอาจไม่ได้หมายถึงรัฐล้มเหลว แต่คือรัฐที่ ทำงานได้ไม่เต็มหน้าที่ โดยเฉพาะในสถานการณ์วิกฤติที่ต้องใช้ความสามารถเชิงระบบสูง
สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ คือการประสานงานระหว่างหน่วยงานล้มเหลว (Coordination Failure) เป็นอาการคลาสสิกของรัฐที่เปราะบาง เช่น ปภ. รอคำสั่ง กระทรวง อปท. อ้างว่า ไม่มีงบ ไม่มีอำนาจ กรมชลประทาน แก้ปัญหาโดยเน้นเขื่อน คลอง หรือ การไฟฟ้า คิดเรื่องความปลอดภัยอย่างเดียว รวมถึงหน่วยกู้ภัยเอกชน แม้จะทำงานเร็วกว่า แต่ระบบรัฐไม่รองรับ ผลคือการช่วยเหลือสะดุดและสั่งการลอย ๆโดยไม่มีการปฏิบัติจริง
รัฐแสดงตัวว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ (performative state) แต่ความสามารถแก้ปัญหาได้จริงต่ำ (weak capacity) ระบบราชการซ้ำซ้อน ไม่เชื่อมข้อมูล การช่วยเหลือเกิดจากภาพ มากกว่าระบบที่มีประสิทธิภาพ
ดังนั้น ภาวะน้ำท่วมทำให้เราเห็นรอยปริแตก การไม่มีการบูรณาการ และการจัดการที่มีประสิทธิภาพของรัฐอย่างชัดเจนที่สุด เช่น สั่งสูบน้ำ แต่คลองตัน, สั่งแจกของ แต่ฐานข้อมูลไม่มี, สั่งเตือนภัยล่าช้า และการสื่อสารไม่ถึงคนสนพื้นที่ โดยเฉพาะ คนเปราะบาง คนจน และละเลยการสั่งแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบและจริงจังเพื่อช่วยพี่น้องประชาชนชน แต่การเมืองกลับแย่งเครดิตกันเอง..
ตอนนี้การบูรณาการสรรพกำลัง ทุกภาคส่วนในการช่วยเหลือพี่น้องที่ประสบภัยที่ภาคใต้จึงมีความสำคัญ จากข่าว ผมเห็นภาพของหน่วยงานในพื้นที่และจิตอาสาภายนอก ที่ช่วยเหลือกันอย่าแข็งขันเท่าที่จะเป็นไปได้ และทำได้…กับพี่น้องที่รอการช่วยเหลือ
แต่ทั้งหมดทั้งมวล ต้องทำงานอย่างเป็นระบบ มีคณะทำงานเฉพาะกิจ เป็นกองบัญชาการช่วยเหลือ ระดมสรรพกำลังในพื้นที่ให้มากที่สุด ทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ผู้รู้ในพื้นที่ ต้องเอาแผนที่มากาง ให้รู้ภูมิศาสตร์ บริบทพื้นที่ มีจุดไหนบ้าง เส้นทางอย่างไร จะเข้าไปช่วยเหลือยังไง เพื่อให้คนข้างนอกที่เข้ามาช่วยเหลือ ได้เข้าใจพื้นที่ เพื่อช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว รวมทั้งรวบรวมข้อมูลให้เป็นระบบ ในการแจ้งข่าว ประสานความช่วยเหลือ ใครที่ต้องการความช่วยเหลือ มีปัญหา ต้องการไปศูนย์พักพิง จะได้ไม่สะเปะสะปะในการทำงาน และสามารถทำงานอย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น