ผมเห็นภาพที่ชาวกะเหรี่ยงโพล่วด้ายเหลืองชุมขนบ้านพุเม้ยง์ อำเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี โพสต์เรื่องการไปเก็บเห็ด แล้วอดไม่ได้ที่จะเขียนในสไตล์ของผม และเขียนให้มากขึ้นในช่วงเวลาที่ตัวเองเริ่มมีไอเดียและเวลาเขียนงาน
เห็ดโคน ในฐานะเพื่อนแห่งป่ามากกว่าสินค้า มันคือความสัมพันธ์ของคนที่ร่วมกันหาเห็ด ผมชอบเวลาชาวบ้านพุเม้ยง์ เข้าป่า พงกเขามักจะมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับความยากลำบาก ความลึกความไกล การเจอช้างในป่า หรือแม้แต่การเดินสำรวจตามบ้าน ลำธาร หรือไร่หมุนเวียนในช่วงหลังฝนตก ที่จะมีเห็ดปลวกขึ้น รวมถึงการโชว์รูปอวดภาพถ่ายเวลาเจอเห็ดกัน มันคือความสุข และความสำเร็จในการบรรลุภาระกิจตามหาเห็ด โดยไม่ได้กลับบ้านมือเปล่า มิติทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ที่ผม มองเห็นก็คือ
1) เห็ดในฐานะวัตถุที่ชีวิตและจิตวิญญาณทางสังคม” (the social life of mushrooms)
เห็ดโคนและเห็ดปลวกไม่ได้เป็นเพียงสินค้าในตลาดชนบทเท่านั้น แต่มีชีวประวัติหรือเรื่องราวทางวัฒนธรรมของมันเอง เห็ดคือสิ่งที่มนุษย์ ออกตามหา ไม่ใช่สิ่งที่ผลิตด้วยระบบอุตสาหกรรม การพบเห็ดคือเรื่องของโชค ความสัมพันธ์ และกึ่งเป็นความลึกลับิที่ผู้เก็บเก็ด หรือมีประสบการณ์จากการได้มันเท่านั้น จึงจะรู้แหล่งที่อยู่ของมัน ตามบริเวณป่า ไร่หมุนเวียน ตามรองของปลวกที่อยู่บนพื้นเชื่อมโยงกับจอมปลวก เห็ดจึงมีสถานะพิเศษกว่าสินค้าทั่วไป
ผู้เก็บเห็ดทำหน้าที่เหมือน นักเดินทาง หรือ นักล่าสมบัติ มากกว่าแรงงาน สิ่งนี้จึงเป็นภาพสะท้อนว่ามูลค่าของเห็ดไม่ใช่แค่ราคา แต่เป็น เกียรติยศ จากการค้นพบ เช่นเดียวกับการพบรังผึ้ง รังนก เปลือกหอยมีค่าในสังคมอื่น
ดังนั้น เห็ดจึงมีสถานะเป็นของขวัญของป่ามากกว่าสินค้าที่มนุษย์ผลิต ในแง่นี้สอดคล้องกับงานของ Anna Tsing (The Mushroom at the End of the World) ที่เสนอว่าเห็ดเป็นสิ่งที่เติบโตในซากปรักหักพังของทุนนิยม และทำให้เกิดเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน (precarious economies) ซึ่งอาศัยทักษะ จังหวะชีวิต และความสัมพันธ์เชิงนิเวศมากกว่าการควบคุมเชิงอุตสาหกรรม
2) เห็ดโคนหรือเห็ดปลวก คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากการปฏิสัมพันธ์ของระบบนิเวศ เนื่องจากเห็ดโคนและเห็ดปลวกเป็นตัวแทนของการอยู่ร่วมกันของ ปลวก เชื้อรา ดิน ความชื้น อุณหภูมิ ความมื ดและจังหวะของฤดูกาล
มนุษย์ผลิตมันไม่ได้ เพราะมันคือผลลัพธ์ของเครือข่ายนิเวศที่ซับซ้อน และบางส่วนยังไม่ถูกเข้าใจโดยวิทยาศาสตร์อย่างสมบูรณ์ เห็ดสะท้อนความสัมพันธ์กับกิจกรรมมนุษย์ เช่น การทำไร่หมุนเวียน ทำให้เกิดพื้นที่เปิดโล่ง ความชุ่มชื้น และเศษอินทรีย์ที่เหมาะกับปลวกบางชนิด หรือแม้แต่การเผาไร่ก็อาจทำให้ธาตุอาหารบางอย่างกลับสู่ดิน เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของระบบ รวมทั้งการดูแลป่าและการรักษาพื้นที่ป่าบางส่วนไว้ ยังช่วยให้ระบบปลวกและราดำรงอยู่ได้ แม้ว่ามนุษย์จะไม่ได้ตั้งใจเพาะเลี้ยงเห็ดแต่กิจกรรมเหล่านี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขที่ทำให้เห็ดเกิด
ดังนั้นเห็ดจึงเป็นเหมือน ตัวบ่งชี้สุขภาวะของระบบนิเวศ และเป็น ผลผลิตร่วม ของมนุษย์–ป่า–สิ่งมีชีวิตอื่น ไม่ใช่ของป่า อย่างโดดเดี่ยว
3) การต่อต้านการควบคุมของมนุษย์ : เสรีภาพของเห็ด แม้กิจกรรมมนุษย์บางอย่างจะช่วยส่งเสริมให้เห็ดงอกแต่เห็ดเองก็ ไม่ยอมถูกควบคุมโดยมนุษย์ เนื่องจากเพาะไม่ได้ ทำนายไม่ได้ว่าจะออกช่วงไหน ออกตรงไหน ออกเท่าไหร่ บางครั้งไม่ขึ้นที่เดิมทุกปี การไม่ขึ้นของเห็ดสัมพันธ์กับเงื่อนไขเชิงนิเวศที่อาจทำให้เกิดการ คลาดเคลื่อนของเห็ดปลวกเห็ดโคนาี่จะออกได้
ดังนั้น เห็ดจึงเป็นเหมือนสิ่งที่ขัดขืนต่อระเบียบเกษตรสมัยใหม่ที่ต้องการการควบคุมความแน่นอนหรือสร้างความเสถียร ตังเห็ดโคนจึงทำให้มนุษย์ต้อง ยอมรับต่อความไม่แน่นอน ซึ่งเป็นความรู้ทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของชาวกะเหรี่ยงในไร่หมุนเวียน
4) ความสัมพันธ์แบบพหุสายใยระหว่าง ป่า ไร่หมุนเวียน ผึ้ง เห็ดโคน และชุมชนกะเหรี่ยง
พื้นที่ของกะเหรี่ยงไม่ใช่ป่าอย่างเดียว และไม่ใช่ไร่หมุนเวียนอย่างเดียว แต่เป็นภูมิทัศน์ที่ประกอบด้วย หลายจังหวะชีวิต ที่สัมพันธ์กัน เนื่องจากไร่หมุนเวียน สะท้อนความอุดมสมบูรณ์ของดิน ความอุดมสมบูรณ์ ของดินเชื่อมโยงกับระบบปลวกและรา ซึ่งระบบปลวกและรา ก็นำไปสู่การเกิดขึ้นของเห็ดโคน
ไม้ดอกและความหลากหลายทางพืช ถือเป็นอาหารของผึ้ง เนื่องจากผึ้งต้องการผสมเกสรและการเพิ่มความหลากหลายของพืช การเกิดความหลากหลายของพืช ก็เชื่อมโยงกับการคงอยู่ของป่า ป่าก็สัมพันธ์รักษาระบบฝน การเก็บน้ำ และความชุ่มชื้น ซึ่งความชุ่มชื้นและใบไม้ผุที่ถูกย่อยสลาย ก็ช่วยระบบปลวกและเห็ดวนกลับอีกครั้ง สิ่งเหล่สนี้นี่คือระบบชีวิตร่วม (more-than-human assemblage) ที่มานุษยวิทยานิเวศร่วมสมัยให้ความสำคัญ
ดังนั้น เรื่องเห็ดโคนจึงไม่ใช่เรื่องเห็ดแต่เป็นเรื่องของ ความสัมพันธ์ระหว่างเครือข่ายชีวิตทั้งหมดในภูมิทัศน์ทางนิเวศวิทยาของชุมชนกะเหรี่ยง
สรุป เห็ดโคนกับกะเหรี่ยงเชื่อมโยงกับนิเวศวัฒนธรรม และการรู้จังหวะของป่า ชุมชนชาติพันธุ์อย่างกะเหรี่ยงมีความรู้เกี่ยวกับเห็ดโคนจำนวนมาก เช่น จุดที่เห็ดมีแนวโน้มจะขึ้น การพยากรณ์ปริมาณฝนฟ้า ฝนตกแบบนี้เห็ดออก อากาศร้อนอบอ้าวเห็ดออก หรือการสังเกตแมลงบางชนิด การเกิดลม ความชื้น ความเปลี่ยนแปลงของผืนดิน เป็นต้น
ความรู้เหล่านี้เป็น ภูมิปัญญานิเวศวัฒนธรรม (ethno-ecology) ที่ยืนยันว่าป่าไม่ใช่พื้นที่รกร้าง แต่เป็นระบบที่มีความหมาย มีจังหวะ และมนุษย์ต้องเรียนรู้เพื่ออยู่ร่วมกับมัน ไม่ใช่ควบคุมมันให้ได้เหมือนเกษตรอุตสาหกรรม
อีกประเด็นหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจคือ ทุนนิยม ที่สัมพันธ์กับกาาทำให้เห็ดกลายเป็นของหายากและสินค้าธรรมชาติ การเข้ามาของทุนนิยมเปลี่ยนระบบเห็ดโคนในหลายมิติ เช่น เห็ดกลายเป็นสินค้าราคาแพง นักเก็บเห็ดกลายเป็นแรงงานในตลาด ภาวะของพื้นที่ป่าถูกจำกัด ช่วงเวลาการเก็บเห็ดถูกเปลี่ยนเป็นการแข่งกัน ต้องรีบ ใครไปก่อนได้ก่อน ช้าไม่ทันคนอื่น รวมทั้งการทำไร่หมุนเวียนถูกลดพื้นที่ลง ทำให้ระบบที่เอื้อต่อเห็ดถูกบีบตัว
แต่ในอีกด้าน ทุนนิยมก็สร้างเศรษฐกิจเฉพาะกิจ เช่น การเก็บเห็ดเพื่อขาย การเดินป่าแบบล่าสมบัติ รวมถึงเครือข่ายพ่อค้าท้องถิ่น การเกิดพ่อค้าแม่ค้าคนกลางมารับ ซื้อเห็ด ซึ่งทำให้เห็ดโคนกลายเป็นทั้งสินค้าและวัตถุที่มีสถานะทางสัญลักษณ์เพิ่มขึ้น ทุนนิยมเปลี่ยนเห็ดให้เป็นของมีค่า และเปลี่ยนความสัมพันธ์ของคนกับป่า
สุดท้ายเห็ดโคนในยุคแอนโทรโปซีน ซึ่งเป็นตัวแทนของความเปราะบางของระบบนิเวศ ในยุคที่มนุษย์มีผลต่อภูมิอากาศ ป่า และความหลากหลายทางชีวภาพ
เห็ดโคนคือสิ่งแรก ๆ ที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลง เช่น ฝนที่มาช้าหรือมาเร็วเกินไป ภาวะของการแห้งแล้งที่ยาวขึ้น การหายไปของปลวกบางสายพันธุ์ ความร้อนของผิวดินที่สูงขึ้น และการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างป่า
การลดลงของเห็ดจึงเปรียบได้กับสัญญาณเตือนของป่า มันคือสัญลักษณ์ที่บอกเราว่า ระบบนิเวศกำลังเปลี่ยนไปในระดับที่คนในชุมชนสัมผัสได้จากของเล็ก ๆ ที่เคยคุ้นเคยอย่างเช่น เห็ดโคน เห็ดปลวก ที่เตทอยเราให้เห็นการเปลี่บนแปลงของสภาพอากาศ และความเปราะบางของทุกชีวิตที่สัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลฝ ทั้งคน พืช สัตว์และเห็ด มีหลายเรื่องที่น่าสนใจในชุมชนกะเหรี่ยงแห่งนี้ ที่ทำห้อเราเห็นมิติหลายอย่าง ว่าง ๆ ผมจะทะยอยเล่าครับ
ปล.ขอบคุณภาพบางส่วนจากคุณหน่อย รัตนา ภูเหม็น








ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น