เตรียมตัวพานักศึกษา ป.โท ลงสนาม เชื่อมโยงงานวิจัยที่ทำกับบทความทางวิชาการที่กำหนดให้อ่านในการสอนวันนี้ จริงๆงานชิ้นนี้เป็นสิ่งที่ผมกำลังเรียบเรียงตั้งคำถามเกี่ยวกับการทำงานทางมานุษยวิทยา ที่ทำงานร่วมกับ NGO หรือทำงานในเชิงการประเมินผล การถอดบทเรียนมากขี้น
งานชิ้นนี้คือ Ethnographic Situation and Ethnic Movements: Notes on Post-Malinowskian Fieldwork” โดย Bruce Albert (1997) นักมานุษยวิทยาชาวฝรั่งเศส ตีพิมพ์ใน Critique of Anthropology ซึ่งเป็นวารสารแนววิพากษ์งานทางมานุษยวิทยาที่น่าสนใจ
บทความสำคัญที่ตั้งคำถามต่อมรดกของมาลินอฟสกีและแนวคิดภาคสนามแบบคลาสสิก ผ่านประสบการณ์การทำงานของ Bruce Albert กับชนพื้นเมือง Yanomami ในบราซิล กว่า 20 ปี (1975–1995) เขาเห็นการเปลี่ยนแปลงของสนามอย่างลึกซึ้งจากพื้นที่ที่นักวิชาการมองเป็น โลกบริสุทธิ์ของชนเผ่า แต่กลายมาเป็นพื้นที่ทาง การเมืองและสิทธิมนุษยชน ที่ชนพื้นเมืองและ NGO เข้ามามีบทบาทเป็นตัวแสดงหลัก
บทความนี้จึงเป็นการสะท้อนกลับต่อนักมานุษยวิทยาแบบ Malinowski และตั้งคำถามว่า จะเป็นนักมานุษยวิทยาอย่างไร เมื่อผู้ถูกศึกษาเริ่มนิยามตัวเอง พูดแทนตัวเอง และต่อรองกับรัฐและองค์กรระหว่างประเทศ?
Albert เปิดด้วยการประกาศว่าFieldwork แบบมาลินอฟสกีได้ตายไปแล้ว แต่ไม่ใช่เพราะชนพื้นเมืองสูญพันธุ์ ลดจำนวนลงไปมากแล้ว อย่างที่มาลินอฟสกีเคยกลัว หากเพราะพวกเขา( ชนพื้นเมือง) กลายเป็นผู้นำเรื่องราวของตนเอง และเป็นผู้อ่านงานของนักชาติพันธุ์เอง
เขาวิจารณ์ว่า มานุษยวิทยาแบบคลาสสิกมีมายาคติ2 ชั้น อย่างแรกคือ วัตถุของศึกษามีขอบเขตชัด คือสังคมดั้งเดิม คนพื้นเมืองดั้งเดิม อย่างที่สองคือวิธีการภาคสนามเป็นกลางและโปร่งใส สิ่งที่หายไปจริง ๆ จึงไม่ใช่ชนเผ่า ชนพื้นเมือง แต่คือ ภาพลวงทางญาณวิทยา (epistemological illusions) ของมานุษยวิทยาแบบเดิมที่ตาทหลอกหลอนนักมานุษยวิทยายุคหลัง
แนวคิดสำคัญของบทความ คือคำว่า “Ethnographic Situation” ซึ่ง Albert เสนอว่า การทำงานภาคสนามยุคใหม่ไม่ได้อยู่ในสภาวะ “บริสุทธิ์” แบบที่ Malinowski เคยทำมาและชูให้กลายเป็นวาทกรรม สำคัญของนักมานุษยวิทยายุคหลัง เพราะจริงๆ แล้ว นักมานุษยวิทยาไม่ได้เป็นผู้สังเกตที่เป็นกลาง (participation observation) อีกต่อไป แต่เป็น ผู้มีส่วนร่วมทางสังคมและการเมือง (observant participation). สถานการณ์ชาติพันธุ์วรรณนา (ethnographic situation) จึงเป็นพื้นที่ที่อำนาจ ความสัมพันธ์ และการต่อรองเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องระหว่างนักวิจัย ชุมชน รัฐ และNGOs เป็นต้น
นั่นคือสนามหรือการทำงานภาคสนามไม่ใช่พื้นที่กลาง ๆ อีกต่อไป แต่เป็นสถานการณ์ชาติพันธุ์วรรณนาที่เต็มไปด้วยความสัมพันธ์เชิงอำนาจ การต่อรอง และการเมืองของอัตลักษณ์ นักมานุษยวิทยาไม่ได้เป็นผู้สังเกต แต่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนั้น
คำว่า Post-Malinowskian Fieldwork จึงหมายถึง การทำงานภาคสนามหลังยุคมาลินอฟสกี ซึ่งต้องยอมรับความเป็นการเมืองของสนาม
นักมานุษยวิทยาไม่อาจซ่อนตัวอยู่ในโลกของชนเผ่าพื้นเมืองที่บริสุทธิ์อีกต่อไป เพราะชนพื้นเมืองกลายเป็น “ผู้นำเรื่องราวของตนเอง ที่สะท้อนแนวคิด participant observation ถูกพลิกเป็น observant participation ที่เน้นการมีส่วนร่วมอย่างรับผิดชอบทางจริยธรรมและการเมือง
การทำงานภาคสนามหลังมาลินอฟสกีจึงไม่อาจยึดกับอุดมคติของผู้สังเกตที่เป็นกลางหรือสังคมบริสุทธิ์ได้อีกต่อไป เพราะเพราะโลกหลังอาณานิคมเปลี่ยนไปหมด
ภายใต้ปรากฏการณ์การเกิดขึ้นของขบวนการชนพื้นเมืองทั่วโลก (เช่น Yanomami) เปลี่ยนเงื่อนไขของการทำงานภาคสนาม ทำให้นักมานุษยวิทยาจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อผู้ให้ข้อมูลและต้องตระหนักว่าความรู้ที่ผลิตออกมามีผลต่อการต่อสู้ของคนในพื้นที่ นำไปสู่การก่อเกิดแนวทางใหม่ที่เรียกว่า anthropological advocacy หรือมานุษยวิทยาเชิงสนับสนุน ที่ทำงานร่วมกับ NGO, ชุมชน, และขบวนการสิทธิมนุษยชนในปัจจุบัน ดังนั้นมานุษยวิทยาแนวใหม่ที่ไม่เพียงศึกษา แต่ทำงานร่วมกับชนพื้นเมือง เช่น ด้านสิทธิที่ดิน การศึกษา สุขภาพ หรือการพัฒนาแบบมีส่วนร่วม เป็นการใช้ความรู้เพื่อสนับสนุนความเป็นธรรม
ในขณะเดียวกัน ในกลุ่มมานุษยวิทยาสายวิชาการ หรือ Scholar Anthropologist ที่ไม่ใช่พวกสาย Apply Anthropologist ก็มักมีคำถามเกี่ยวกับปัญหาความเป็นอิสระของนักมานุษยวิทยา (Intellectual Independence) โดย Albert ชี้ว่าการทำงานร่วมกับ NGO หรือองค์กรพื้นเมืองอาจทำให้นักวิจัยถูกคาดหวังให้เขียนงานที่ยืนยันเป้าหมายของขบวนการเคลื่อนไหวคำถามที่ตามมาก็คือนักมานุษยวิทยาจะรักษาความเป็นนักวิชาการได้อย่างไร ในขณะที่ยังคงมีจุดยืนทางจริยธรรมและการเมือง เขาจึงเสนอแนวคิด critical solidarity การวิพากษ์แบบกลมเกลียว ภายใต้การสนับสนุนช่วยเหลืออย่างมีวิจารณญาณ การเป็นพันธมิตรกับชนพื้นเมืองอย่างมีวิจารณญาณ ไม่ใช่แค่เข้าข้างโดยปราศจากการคิดวิเคราะห์
การสร้างกรอบคิด แนวคิดใหม่ ในการทำงานที่เปลี่ยนจาก การสังเกตแบบมีส่วนร่วมสู่การมีส่วนร่วมแบบสังเกต เพื่อเปิดโอกาสให้มานุษยวิทยาเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างท้องถิ่นกับโลกาภิวัตน์
การศึกษาไม่ใช่แค่การมองวัฒนธรรมที่บริสุทธิ์ แต่คือการมองเห็น พลวัตทางอำนาจ การต่อต้าน และการผลิตอัตลักษณ์ การนำไปสู่การวิพากษ์แนวคิดเรื่องวัฒนธรรมแบบ essentialism และเสนอ วัฒนธรรมในฐานะกระบวนการสร้างตนเองอยู่ตลอดเวลา (symbolic self-production)
ดังนั้นงานชิ้นนี้จึงตั้งคำถามต่อมรดกของมาลินอฟสกี กาาทำงานสนาม แบบคลาสสิกไม่อาจดำรงอยู่ได้ในโลกที่ชนพื้นเมืองกลายเป็นตัวแสดงทางการเมืองเองในปัจจุบัน นับตั้งแต่การเกิดขึ้นของขบวนการชนพื้นเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เราจะเห็นบทบาทของ UN, ILO, NGOs และแนวคิด ecological ethnicity ที่กลายมาเป็นวาทกรรมที่ถูกกล่าวอ้างและเชื่อมโยงกับสิทธิในที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ การสูญหายของอัตลักษณ์ ปัญหาสิ่งแวดล้อม ภาวะโลกร้อนและอื่น ๆ ที่เชื่อมโยงกับการอนุรักษ์และการพัฒนา สิ่งเหล่านี้สะท้อนการเชื่อมอัตลักษณ์ชนพื้นเมืองกับการอนุรักษ์ธรรมชาติทำให้ชนพื้นเมืองมีพื้นที่เสียงในระดับโลก แต่ก็เสี่ยงต่อการถูกเหมารวมแบบ noble savage(คนป่าที่สูงส่ง)
นักมานุษยวิทยาจึงไม่สามารถอยู่เหนือความสัมพันธ์อำนาจได้อีก ต้องทำงานเชิงจริยธรรมและรับผิดชอบต่อชุมชน ในขณะเดียวกันนักมานุษยวิทยา ก็เผชิญหน้ากับความความขัดแย้งระหว่างการสนับสนุนขบวนการพื้นเมืองกับการรักษาความเป็นอิสระทางวิชาการ ดังนั้น นักมานุษยวิทยาศึกษากระบวนการสร้างวัฒนธรรมและพลวัตทางวัฒนธรรม และอัตลักษณ์ มากกว่าการเก็บข้อมูลวัฒนธรรมที่ตายตัว
ประเด็นที่ Albert วิพากษ์โดยตรงต่อ Malinowski คือมายาคติของความเป็นกลาง Malinowski แสร้งทำเป็นผู้สังเกตที่ไม่เกี่ยวข้อง ทั้งที่อยู่ในบริบทอาณานิคมมายาคติของความบริสุทธิ์ของวัฒนธรรม โดยการเชื่อว่าสังคมพื้นเมืองแยกขาดจากโลกสมัยใหม่ และมายาคติของ ข้อมูลเป็นของนักมานุษยวิทยา โดย Albert เห็นว่าความรู้เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ร่วมกันไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง
Malinowski ทำให้สนามภาคสนามกลายเป็นหัวใจของมานุษยวิทยา แต่ Bruce Albert ทำให้สนามภาคสนามกลายเป็นพื้นที่ของการท้าทายอำนาจ และของ การร่วมสร้างความรู้ ที่ไม่อาจแยกจริยธรรมออกจากวิธีวิทยาได้อีกต่อไป
มีสิ่งที่นำไปสู่ข้อถกเถียงได้มากเลย ท่าจะสนุก …

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น