ความทุกข์ทน จริยธรรม กับงานชาติพันธุ์วรรณาทางมานุษยวิทยา .โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

 


บทความเรื่อง  Anthropology of Zones of Suffering: Ethics and Ethnographyโดย Tamar El-Or และ Nita Schechet


เริ่มต้นด้วย 

A Woman Sings a Song for a Soldier Come Home

The wound kills that does not bleed.

It has no nurse nor kin to know

Nor kin to care.

And the man dies that does not fall.

He walks and dies. Nothing survives

Except what was,

Under the white clouds piled and piled

Like gathered-up forgetfulness,

In sleeping air.

The clouds are over the village, the town,

To which the walker speaks

And tells of his wound,

Without a word to the people, unless

One person should come by chance,

This man or that,

So much a part of the place, so little

A person he knows, with whom he might

Talk of the weather –

And let it go, with nothing lost,

Just out of the village, at its edge,

In the quiet there.

[Wallace Stevens]


หญิงคนหนึ่งร้องเพลงให้ทหารที่กลับบ้าน

  บาดแผลที่ไม่หลั่งเลือดนั้นคือบาดแผลที่พรากชีวิต

มันไม่มีพยาบาล ไม่มีญาติรู้เห็น

ไม่มีใครเอาใจใส่

และชายที่ไม่ล้มลงก็ตายได้

เขาเดินอยู่…และก็ตายไป  ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือ

นอกจากสิ่งที่เคยมี

ใต้กลุ่มเมฆสีขาวที่ทับซ้อน

ดั่งการรวมตัวของความหลงลืม

ในอากาศที่หลับใหล

เมฆเหล่านั้นลอยอยู่เหนือหมู่บ้าน เมืองเล็ก

ซึ่งชายผู้เดินทางเอ่ยคำกับมัน

และบอกเล่าถึงบาดแผลของเขา

โดยไม่พูดกับผู้คน เว้นเสียแต่ว่า

จะมีใครสักคนผ่านมาโดยบังเอิญ

คนนี้หรือคนนั้น 

คนที่เป็นส่วนหนึ่งของสถานที่นี้ แต่แทบไม่รู้จักกัน

เขาอาจพูดถึงเพียงเรื่องอากาศ

แล้วปล่อยให้ทุกสิ่งผ่านไป โดยไม่มีอะไรสูญหาย

เพียงแค่เดินพ้นหมู่บ้าน มาถึงขอบมัน

ในความเงียบตรงนั้น

Wallace Stevens

      นี่คือบทกวีที่ชื่อ “A Woman Sings a Song for a Soldier Come Home” ประพันธ์โดย Wallace Stevensซึ่งผู้เขียนบทความ Anthropology of Zones of Suffering นำมาใช้เปิดเรื่อง เพื่อสื่อถึง “ความทุกข์ที่ไม่อาจพูดออกมาได้”

  ผมมองว่า  สิ่งที่เรียกว่าความทุกข์ที่ไม่มีเสียง”เช่นเดียวกับบาดแผลที่ไม่เลือดออก คือบาดแผลทางใจ ความทรงจำ ความสูญเสีย หรือความเจ็บปวดที่ไม่อาจพูดได้…ชายที่เดินและตายคือผู้รอดชีวิตจากสงคราม ผู้กลับบ้านแต่แบกรับบาดแผลภายใน เขาไม่พูดถึงมันกับใคร เพราะไม่มีใครจะเข้าใจ จนสุดท้ายเขาเดินออกไปสู่ นอกชายขอบหมู่บ้านพื้นที่ก้ำกึ่งระหว่างสังคมและความเงียบ

     ในบริบทของบทความ Anthropology of Zones of Suffering บทกวีนี้สื่อถึงความพยายามของนักมานุษยวิทยาที่จะร้องเพลงแทนหรือให้เสียงกับผู้ที่ทุกข์โดยไม่มีใครได้ยิน เหมือนหญิงในชื่อเรื่องที่ร้องให้ทหารผู้แบกบาดแผลกลับบ้าน ดังนั้นบทความชิ้นนี้เป็นบทความทางมานุษยวิทยาที่สำรวจว่าความทุกข์ (suffering)กลายเป็นพื้นที่และวัตถุแห่งการศึกษาของมานุษยวิทยาสมัยใหม่ได้อย่างไร

    Or และ Schechet (2002) พยายามสำรวจว่า เหตุใดในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ความทุกข์ (suffering) ได้กลายเป็นจุดสนใจใหม่ของมานุษยวิทยา ก่อนหน้านั้น นักมานุษยวิทยามักเดินทางไปศึกษาชนเผ่าหรือชุมชนที่ห่างไกลและแปลกใหม่ แต่ในยุคหลังอาณานิคม โลกเชื่อมถึงกันมากขึ้น ทำให้มานุษยวิทยาไม่อาจใช้กรอบ ดิบป่าเถื่อน ล้าหลัง /เจริญก้าวหน้า ทันสมัย หรือ โลกที่หนึ่ง/โลกที่สาม พัฒนา/ ไม่พัฒนา ได้อีก

     ผู้เขียนทั้ง2 คน เสนอว่า สิ่งที่เข้ามาแทนคู่ตรงข้ามแบบเก่าคือ zones of suffering” หรือขอบเขตแห่งความทุกข์ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มนุษย์เผชิญความยากจน ความรุนแรง ความสูญเสีย ความไม่เท่าเทียม หรือบาดแผลทางสังคม ดังนั้นผู้ทุกข์ (the sufferer) กลายเป็น วัตถุของการศึกษาใหม่ ที่นักมานุษยวิทยาจะต้องเป็นพยาน (witness)และเขียนคำให้การ (testimony) แทนการเขียนคำอธิบายทางวัฒนธรรมแบบเก่า

    ผมชอบที่งานชิ้นนี้หยิบยกแนวคิดมาเป็นข้อถกเถียงสำคัญในการมองเรื่องนี้ ผ่านงานของนักมานุษยวิทยาคนสำคัญต่าง ๆ  อาทิ 

   1.แนวคิด Anthropology as witnessing ของ Ruth Behar, Nancy Scheper-Hughes ที่มองปฏิสัมพันธ์ของรักมานุษยวิทยากับผู้ทุกข์ทนว่า มานุษยวิทยาคือการเป็นพยานต่อความทุกข์ของมนุษย์ ไม่ใช่แค่การบันทึกข้อเท็จจริง นักมานุษยวิทยาคือผู้เห็นและผู้บอกเล่า

  2. แนวคิด Social Suffering ของ Arthur Kleinman, Veena Das, Margaret Lock มองว่า ความทุกข์เป็น ประสบการณ์ทางสังคมที่เกิดจากอำนาจ การเมือง และเศรษฐกิจ เช่น ความยากจน สงคราม หรือระบบสาธารณสุขที่ไม่เท่าเทียม

3 แนวคิด The Differend ของ Jean-François Lyotard, Adi Ophir มองว่า ผู้ถูกกดขี่บางคนไม่มีภาษาที่จะพูดถึงความทุกข์ของตน เพราะระบบภาษา/อำนาจไม่อนุญาตให้พูด ดังนั้นหน้าที่ของนักวิชาการคือให้พื้นที่แก่เสียงที่เงียบ

 4.แนวคิด Reflexive Anthropology โดย Pierre Bourdieu, Clifford Geertz มองว่า นักมานุษยวิทยาต้องตระหนักถึงจุดยืนของตนเอง ในการเขียนชาติพันธุ์วรรณา เพราะความรู้ไม่ได้เป็นกลาง

5 . แนวคิด Compassion and Politics ของ Hannah Arendt, Elizabeth Spelman มองว่า การเห็นอกเห็นใจอาจกลายเป็นคุณธรรมปลอมถ้าไม่เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงเชิงการเมือง ต้องระวังไม่ให้การเล่าความทุกข์กลายเป็นการยกย่องตัวผู้เล่า

6. แนวคิด Ethnography as Literature ของ Geertz, Rosaldo, Behar มองว่า การเขียนชาติพันธุ์วรรณาควรผสานศิลปะกับวิทยาศาสตร์ ใช้ภาษาที่สะท้อนความรู้สึก เพื่อสื่อความจริงเชิงประสบการณ์ขมนุษย์

  

สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเห็นจุดเปลี่ยนของมานุษยวิทยาจาจากาาศึกษาสังคมแบบPrimitiveสู่เรื่องของ Suffering

ผู้เขียบทความชี้ให้เห็นว่ามานุษยวิทยาเคยแบ่งโลกเป็นที่นี่ (ความเป็นเรา และความสมัยใหม่)กับ ที่นั่น (ความ พวกเขา กับความเก่าแก่ ดั้งเดิม ดึกดำบรรพ์) แต่ในปัจจุบัน เรื่องของเขตแห่งความทุกข์กลายเป็นพื้นที่ใหม่ที่นักมานุษยวิทยาเดินทางเข้าไป เพื่อเข้าใจ ความเปราะบางของมนุษย์ (human vulnerability)

    สิ่งนี้ทำให้มานุษยวิทยามีลักษณะจิตวิญญาณและศีลธรรม”มากขึ้น ใกล้กับศาสตร์แห่งมนุษยธรรม (humanities) มากกว่าวิทยาศาสตร์เชิงปริมาณ

   อีกทั้งความทุกข์ ยังเป็นประเด็นของจริยธรรม และความเสี่ยงด้วย เช่น การทำให้ความทุกข์กลายเป็นสินค้า (Commodification of suffering) ดังที่เราเห็นจากความทุกข์ถูกนำเสนอในสื่อ หรืองานวิชาการเพื่อสร้างภาพทางศีลธรรม ที่สะท้อนภาวะที่ ผู้ทุกข์กลายเป็นวัตถุให้บริโภคไม่ใช่ผู้มีเสียง

ภาวะ โรแมนติไซส์ความทุกข์ (Romanticization) เพราะนักวิจัยบางคนมองผู้ทุกข์เป็น ผู้บริสุทธิ์หรือ เหยื่อผู้ถูกกระทำ ทำให้การเข้าใจสังคมผิดพลาดและลดทอน agency ของผู้ทุกข์

การแทนเสียงพูด (Speaking for others) โดยเฉพาะการพูดแทนผู้ทุกข์โดยใช้ภาษาวิชาการของตะวันตก

ก่อให้เกิดการล่าอาณานิคมทางวาทกรรม

การลดทอนความเป็นการเมืองของความทุกข์ (Depoliticization) เมื่อความเห็นอกเห็นใจกลายเป็นคุณธรรมส่วนบุคคล ไม่เชื่อมกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ทำให้ความทุกข์ยังคงอยู่โดยไม่มีการแก้ไขระบบ

  สุดท้าย ความทุกข์ที่มองไม่เห็น ในบางประเด็น เช่น เพศหญิง ชาติพันธุ์ หรือศาสนา ถูกละเลยเพราะไม่เข้ากับภาพ ความทุกข์แบบที่ตะวันตกเข้าใจ ทำให้เกิด  จุดบอด (blind spot) ทางวิชาการ

    ความท้าทายของพวกเราคือการปรับวิธีวิทยาและรูปแบบการเขียนชาติพันธุ์ใหม่ โดยใบ้แนวทางแบบ Reflexive–Reflective Ethnograph นักมานุษยวิทยาต้องเขียนด้วยการสะท้อนตัวเองทั้งอารมณ์และอำนาจ ให้เห็นว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของเรื่อง ไม่ใช่ผู้สังเกตภายนอก การใช้แนวคิดEthnography as Literature การเขียนชาติพันธุ์วรรณากลายเป็นงานเขียนแบบศิลปะใช้ภาษาที่มีเสียงของผู้คนหลากหลาย (polyphonic) เพื่อให้ผู้อ่านได้รู้สึกและเข้าใจไม่ใช่แค่รู้ข้อมูล

รวมทั้งรูปแบบการทำงานแบบ Work at Home

ผู้เขียนเสนอให้นักมานุษยวิทยาทำงานใน พื้นที่บ้านตนเอง เช่น ศึกษาความทุกข์ในชุมชนของตน เพื่อหลีกเลี่ยงการมองผู้อื่นแบบแปลกตา(exotic)

    ตัวอย่างงานศึกษาของนักมานุษยวิทยาในบทความ เช่น Nancy Scheper-Hughes ในงาน  Death Without Weeping ที่ ศึกษาแม่ในบราซิลที่ไม่ร้องไห้เมื่อลูกตาย เพราะความจนและความเคยชินกับความตาย ซึ่งเผยให้เห็นความรุนแรงในชีวิตประจำวัน (everyday violence) Renato Rosaldo ในงาน  Culture and Truth ที่ใช้ประสบการณ์สูญเสียภรรยา มาเข้าใจพิธีล่าหัวในชนเผ่า Ilongot (ฟิลิปปินส์) ที่ สะท้อนว่าความโกรธในความเศร้าเป็นกุญแจเข้าใจวัฒนธรรม

Arthur Kleinman ,Margaret Lock & Veena Das ในหนังสือชื่อ  Social Suffering วิเคราะห์ว่าความทุกข์เกิดจากโครงสร้างอำนาจ เช่น สงคราม ความยากจน ระบบสุขภาพไม่เท่าเทียม  หรืองานของ Ruth Behar The Vulnerable Observer ที่เสนอให้นักมานุษยวิทยาเขียนด้วยความรู้สึกจริง ไม่ซ่อนอารมณ์

     การเป็นพยานแห่งความทุกขอ?ทนของนักมานุษยวิทยาใกล้กับการเขียนบทกวีหรือวรรณกรรม เพราะต้องถ่ายทอดสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยภาษาเหตุผล (unspeakable suffering) การเขียนจึงเป็นพิธีกรรมแห่งจริยธรรม (ethical performance) และเป็นพื้นที่การเยียวยาทั้งต่อผู้ถูกศึกษาและต่อตัวนักวิจัยเอง

    มานุษยวิทยาแห่งเขตความทุกข์ คือความพยายามที่จะฟังเสียงของผู้เงียบเป็นการเรียนรู้ที่จะเข้าใจความเป็นมนุษย์ผ่านบาดแผล ความสูญเสีย และความไม่เท่าเทียมโดยไม่แยกศิลปะ วิทยาศาสตร์ และจริยธรรมออกจากกัน


















ความคิดเห็น