ฝนตกพรำ ๆ แบบรถติดมาก ๆ นั่งคิดถึงความเป็นไปของสังคม แบะในฐานะที่ตัวเองก็เคยเป็นทำงานเชิงเคลื่อนไหวเมื่อก่อน….
ผมเห็นด้วยกับความคิดในแง่ที่ชี้ให้เห็นว่าการดึงคนขบวนเข้าสภาอาจทำให้ขบวนอ่อนแอ และก็เห็นด้วยกับความคิดที่ว่าไม่ควรโทษพรรคเพียงฝ่ายเดียว เพราะสังคมไทยและขบวนภาคประชาชนเองก็มีส่วนทำให้หันขวาหรือยึดโยงกับอนุรักษ์นิยม
มีงานวิชาการหลายชิ้นชี้ว่า พรรคการเมืองกับขบวนการทางสังคมมักมีความสัมพันธ์แบบ กระดานหกหรือผกผัน (seesaw relationship) คือเมื่อพรรคการเมืองเข้มแข็ง ขบวนการทางสังคมจะมีพื้นที่น้อยลง …
ในขณะเดียวกันปัญหาที่เกิดในหลายประเทศ เมื่อนักเคลื่อนไหวเข้าไปรับตำแหน่งรัฐ ก็มีความเสี่ยงจะกลายเป็นชนชั้นนำใหม่ (new elite) และทำให้เกิดความไม่พอใจจากลุ่มฐานเดิมของตัวเอง
แต่ก็ไม่ใช่ทุกประเทศที่พรรคเข้มแข็งแล้วขบวนจะอ่อนแอเสมอ ในยุโรปเหนือหลายประเทศ เช่น สวีเดน นอร์เวย์ เดนมาร์ก พรรคการเมืองสังคมประชาธิปไตยและสหภาพแรงงานทำงานควบคู่กันมายาวนาน มีความสัมพันธ์เชิงสถาบัน (institutional link) ที่ช่วยกันรักษาฐานเสียงและนโยบาย
ในบราซิล พรรคแรงงาน (PT) และขบวนภาคประชาชน เช่น MST (ขบวนเคลื่อนไหวเรื่องที่ดิน) เคยร่วมมือกันจนผลักดันนโยบายสวัสดิการและการปฏิรูปที่ดินได้สำเร็จ แม้จะมีความตึงเครียดอยู่บ้าง ดังนั้นทางออกอาจไม่ใช่แค่บอกว่าอย่าให้คนทำขบวนหรือเคลื่อนไหวเข้าพรรคแต่ต้องสร้างกลไกประสานงานให้ขบวนยังทำงานนอกสภาได้อย่างมีพลัง และมีพื้นที่วิพากษ์พรรคการเมืองที่ตัวเองเคยสนับสนุนได้โดยไม่ถูกปิดปาก
อยากชวนคิดต่อว่าเราจะออกแบบความสัมพันธ์ระหว่าง พรรค – ขบวน – ประชาชน ให้เสริมพลังกันมากกว่าดึงพลังกันได้อย่างไร และควรหาตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จเพื่อใช้เป็นแบบเรียนว่าจะทำให้พรรคเข้มแข็งและขบวนการทางสังคมเข้มแข็งพร้อมกันได้
ดังนั้นปัญหาที่ว่าเมื่อคนขบวนเข้าไปอยู่ในพรรค มักต้องละทิ้งบทบาทการเคลื่อนไหวนอกสภา ทางออกที่น่าจะเป็นไปได้คือการทำ dual-track leadership คือให้แกนนำที่เข้าสภายังมีพันธกิจชัดเจนกับขบวน ไม่ใช่แค่ เพียงเน้น symbolic เช่น ต้องกลับมาเข้าร่วมเวทีเคลื่อนไหว ลงพื้นที่เป็นระยะ หรือการสร้างภาวะแบบ shadow movement ที่ไม่ผูกขาดกับพรรค แต่ทำหน้าที่จับตาและกดดันพรรคการเมืองที่ตัวเองเคยผลักดันขึ้นมา
ปัญหาเมื่อคนขบวนได้ตำแหน่งในพรรคหรือรัฐ เกิดการแย่งชิงอำนาจ จนขบวนแตก ทางออกที่น่าจะเป็นไปได้ก็คือ การกำหนด term-limit ภายในขบวน สำหรับแกนนำที่เข้าไปรับตำแหน่งในรัฐ ต้องเว้นช่วงก่อนกลับมามีตำแหน่งนำในขบวน หรือการทำ public accountability contract กับมวลชน อาทิเช่น ลงชื่อสัญญาว่าจะรายงานผลการทำงานทุก 6 เดือน และเปิดรับการตรวจสอบ รวมถึงการใช้โมเดลแบบ rotation leadership ที่ให้โอกาสคนรุ่นใหม่ขึ้นมาแทน เพื่อไม่ให้ผูกขาดอำนาจมากเกินไป
หนังสือที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่น Movements and Parties ฃอง Sidney Tarrow ที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างขบวนการทางสังคมและพรรคการเมืองในประวัติศาสตร์อเมริกา เขาขี้ว่า เมื่อไรก็ตามที่ขบวนถูกดูด ดึงเข้าพรรค ทำให้ถูก co-opted หรือในขณะเกียวกันพรรคก็อาจได้รับแรงเคลื่อนไหวมาเสริมจุดยืนของตนเอง หรืองาน Party Responses to Social Movements ของ Daniela R. Piccio ศึกษากรณีของกรณีอิตาลีและเนเธอร์แลนด์ สำรวจว่าพรรคตอบสนองต่อขบวนการอย่างไร ทั้งกระบวนการของ การร่วมมือ (incorporatio)การแข่งขัน (competition)และความตึงเครียด( tension) ระหว่างบทบาทของขบวน กับ บทบาทของพรรค หรือ หนังสือ Party in the Street: The Antiwar Movement and the Democratic Party after 9/11 ของ Michael Heaney & Fabio Rojas เหมาะกับกรณีศึกษาในสหรัฐฯ ว่าเมื่อขบวนต่อต้าน (antiwar) ทำงาน/มีปฏิสัมพันธ์กับพรรคการเมืองอย่างไร มีบทเรียนเกี่ยวกับการสูญเสียพลังเคลื่อนไหวเมื่อมีการเข้าร่วมกับพรรคหรือกลายเป็นผู้สนับสนุนพรรคการเมือง
ดังนั้นจึงสามารถสรุปสิ่งที่น่าสนใจจากเอกสารงานศึกษาต่างๆ ได้ว่า ความสัมพันธ์พรรค กับ ขบวน ใน 3 รูปแบบหลัก คือ
1. การดูดซับ (Co-optation / Absorption) ขบวนส่งคนเข้าพรรค และได้อำนาจในสถาบัน หากมองในแง่ผลดีก็คือการมีโอกาสเปลี่ยนนโยบายจริงในระดับรัฐ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจปฎิเสธผลเสียที่ตามมาไม่ได้คือ ขบวนอ่อนแรง มวลชนขาดพื้นที่กดดัน และผู้นำบางคนกลายเป็น elite ใหม่ขึ้นมา ดังเช่น ตัวอย่างกาาเคลื่อนไหวของขบวน MAS ในโบลิเวีย หรือขบวนแรงงานบางส่วนในอังกฤษ
2. . การเผชิญหน้า (Confrontation / Autonomy) โดยขบวนปฏิเสธพรรค ไม่ยอมผูกพันแต่เน้นสร้างแรงกดดันจากนอกสภาเป็นหลัก ผลดีก็คือขบวนรักษาความเป็นอิสระ และวิพากษ์ได้ตรงไปตรงมา ผลเสียที่อาจเกิดขึเนก็คือการผลักดันเชิงนโยบายอาจจะทำได้น้อย มีภาวะความเสี่ยงจากการ การหมดดไฟ burn out เพราะไร้เครื่องมือเชิงสถาบันในกานสนับสนุนไปสู้เป้าหมาย ดังเช่นตัวอย่าง Occupy Wall Street และขบวน climate ที่ไม่ยอมเข้าไปทำงานกับพรรคการเมืองในรัฐสภา
3. การพึ่งพาและถ่วงดุล (Hybrid /Symbiosis) พรรคและขบวนทำงานคู่ขนาน โดยมีทั้งคนที่อยู่ในพรรคและข้างนอก ผลดีก็คือพรรคได้พลังจากฐาน, ขบวนได้ช่องทางเชิงสถาบัน, มีระบบตรวจสอบกัน แต่มีผลเสียก็คือต้องอาศัยการออกแบบสัญญาทางการเมืองที่ชัด มิฉะนั้นจะกลายเป็นการดูดซับ ตัวอย่างเช่น สหภาพแรงงาน พรรคแรงงาน (Labour) ในอังกฤษช่วงรุ่งเรือง หรือขบวนการ PT กับ MST ในบราซิลยุคแรก
สรุปสำหรับผม พรรคและขบวนไม่ควรทับซ้อนกันเกินไป ต้องมี division of labor ชัดเจน เช่น พรรคทำงานสภา ทำงานเชิงนโยบาย แต่ขบวนการเคลื่อนไหวทำงานกดดัน ตรวจสอบ สร้างพลังสังคม
แนวคิดสำคัญที่ต้องทำคือ การวิพากษ์พรรคที่เราสนับสนุน ต้องทำให้กลายเป็นวัฒนธรรม ไม่ใช่การทรยศหักหลัง ดังนั้นถ้าสังคมหันขวา ขบวนควรยืนเป็นแบบ counter-public เพื่อรักษาพื้นที่ทางความคิด ไม่ใช่ละลายควาสคิดปละแนวทางไปกับพรรคการเมือง
ผมมองว่าพรรคการเมือง ให้มือในการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย แต่สำหรับขบวนการทางสังคม ให้เสียงในการขยับความคิดและแรงกดดัน เมื่อมือกับเสียงเดินแยกกัน ขบวนชนะใจแต่แพ้นโยบาย แต่เมื่อมือกับเสียงหลอมรวมกัน นโยบายเกิดแต่สังคมเงียบ สิ่งท้าทายที่สุดคือทำให้ “มือและเสียง” สอดประสาน แต่ยังตรวจสอบกันได้ อันนี้สำคัญ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น