มานุษยวิทยาว่าด้วยแผนที่ (The anthropology of cartography and map) โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 


มานุษยวิทยาว่าด้วยแผนที่ (The anthropology of cartography and map) 

       ใน "ยุคแห่งการค้นพบ" นักสำรวจและนักเดินเรือจำนวนมากได้รับมอบหมายจากกษัตริย์ เช่นกษัตริย์แห่งสเปนและโปรตุเกสให้ออกเรือเพื่อค้นหาสินค้า การสร้างโอกาสในการค้าขาย การปล้นสะดมแย่งชิงทรัพยากร และการขยายอำนาจของตัวเอง

       ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าแผนที่คือสิ่งที่ทรงพลังอำนาจมาก (Harley 1989; Wood 1992; Wood, Fels & Krygier 2010; Dodge 2011; Glasze 2009; Monmonier 2018) เป็นเวลาหลายศตวรรษ การทำแผนที่และการผลิตแผนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของชนชั้นสูงที่มีอำนาจ รัฐและพันธมิตรของพวกเขาในตะวันตก และนักวิชาการที่ใช้แผนที่เป็นเครื่องมือในการจัดหมวดหมู่ กำหนด และ ในการผลิตซ้ำภาพบางอย่าง และเพื่อเผยแพร่แนวความคิดบางอย่างของตัวเองเกี่ยวกับคนอื่น ดินแดนอื่นและโลก (Crampton & Krygier 2005: 12; Glasze 2009: 181) แผนที่กำหนดอาณาจักร อาณาเขต และช่วยรักษาการควบคุมเหนือชนพื้นเมือง (Chapin, Lamb & Threlkeld 2005: 620)

   นับตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1980 การทำแผนที่เชิงวิพากษ์ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการพิจารณาเรื่องของการทำแผนที่อย่างถี่ถ้วนทั้งในด้านระเบียบวิธีวิจัยและทฤษฎี โดยเริ่มแรกมาจากสัญศาสตร์เชิงโครงสร้าง การศึกษาหลังโครงสร้าง และการวิเคราะห์เชิงวาทกรรม (เช่น Harley 1989; Wood 1992) การศึกษาในสาขานี้เปิดเผยว่ามุมมองโลกทัศน์บางอย่างนั้นได้รับสิทธิพิเศษผ่านการทำแผนที่เฉพาะอย่างไร (Harris 2015: 51) และมุมมองและความสนใจเหล่านั้นเปลี่ยนเป็น 'ความรู้' (ในเชิงทรัพยากร ผู้คน บ้านเรือน) ผ่านแผนที่ได้อย่างไร ต่อมา จุดโฟกัสแบบภววิทยา (ontological turn) ได้เปลี่ยนความคิดจากแผนที่เพื่อเป็นตัวแทนไปยังกระบวนการทำแผนที่ (Dodge & Perkins 2015: 38; Rose-Redwood 2015: 4; Kitchin, Gleeson & Dodge 2013: 480) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่า "การหันกลับมาสนใจเรื่องกระบวนการหรือ processual turn” (Halder & Michel 2018: 13) การวิเคราะห์หลังการเป็นตัวแทนเหล่านี้พิจารณาถึงแนวทางปฏิบัติและนักแสดงหรือผู้กระทำการจำนวนมากที่นำไปสู่การสร้างและการนำแผนที่มาใช้และผลกระทบที่แผนที่มีต่อผู้ใช้ (เช่น Harris 2015; Perkins 2008; Del Casino Jr. &  Hanna 2005; Harris & Hazen 2005)

   ดังที่ Nietschmann (1994) กล่าวไว้ว่า "ดินแดนของชนพื้นเมืองถูกอ้างสิทธิ์โดยแผนที่มากกว่าด้วยปืน" (Nietschmann 1994: 36) นับตั้งแต่ทศวรรษ 1970 ชนพื้นเมืองได้เริ่มที่จะต่อต้านการทำแผนที่ของรัฐ และสร้างแผนที่ของตนเอง โดยมีเป้าหมาย ตอบโต้และวิพากษ์รัฐในการสร้างแผนที่เพื่อเป็นตัวแทนสนับสนุนความชอบธรรมของการอ้างสิทธิ์ตาม 'ธรรมเนียม' ต่อทรัพยากร" (Peluso 1995: 384 ) กล่าวอีกนัยหนึ่ง ชาวพื้นเมืองใช้ "เครื่องมือของเจ้านาย/ Master’s tool" เพื่อท้าทายและประท้วงการเป็นตัวแทนที่แพร่หลายโดยรัฐบาลและพันธมิตร(กลุ่มทุนในประเทศและกลุ่มทุนข้ามชาติของพวกเขา)  การเพิ่มขึ้นของสถานการณ์การเคลื่อนไหวของชนพื้นเมืองระดับนานาชาติในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ผ่านมา การตระหนักว่าแผนที่เป็นแหล่งพลังงานทางอำนาจสำหรับผู้มีอำนาจ (Wood 1992) และการพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีการทำแผนที่ใหม่ (Crampton and Kryger 2005)

       ความสัมพันธ์เชิงอำนาจของแผนที่ และการทำแผนที่ในฐานะเครื่องมือระเบียบวิธีในหมู่นักมานุษยวิทยา นักสำรวจ นักเดินเรือ นักธรณีวิทยา ทหาร หรือนักสถาปัตยกรรมที่เกี่ยวกับเมืองและการวางผังเมือง

      การทำแผนที่ในทางมานุษยวิทยา เป็นส่วนหนึงของระเบียบวิธีวิจัย การทำแผนที่ถือเป็นวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นเทคนิคการวิจัยอย่างเป็นระบบ และถือเป็นหลักสำคัญอย่างหนึ่งของมานุษยวิทยาในการศึกษาชุมชน ทั้งในเชิงผู้คน พื้นที่ ขอบเขตของพื้นที่  ความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงมิติต่างๆในพื้นที่  เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมืองเช่น ศาลปู่ตาอยู่ตรงไหน โรงเรียนอยู่ตรงไหน วัดอยู่ที่ไหน ร้านค้าในชุมชนมีกี่แห่ง ศาลากลางบ้านที่คนมาทำกิจกรรมร่วมกัน  ยุ้งข้าว ทุ่งนา บ่อน้ำสาธารณะ ลำห้วย หรือป่าชุมชน เป็นต้นคือชาติพันธุ์วิทยาและแนวทางแบบองค์รวมในการทำความเข้าใจผู้คนในบริบททางสังคม เชิงพื้นที่ และวัฒนธรรม ชาติพันธุ์วิทยาให้กล่องเครื่องมือของวิธีการเชิงคุณภาพที่หลากหลาย สำหรับการวิเคราะห์การปฏิบัติเชิงพื้นที่ เช่น บันทึกภาคสนาม การสังเกตแบบมีส่วนร่วม และการสัมภาษณ์เชิงคุณภาพ มานุษยวิทยาเมืองมุ่งเน้นไปที่ "ชีวิตประจำวันในเมือง" อย่างต่อเนื่องทั้งเหตุผล รูปแบบและข้อกังวลในการใช้ชีวิตกับพื้นที่ ดังนั้น วิธีการเชิงระเบียบวิธีจึงจำเป็นต้องคำนึงถึงสิ่งที่เรียกว่า "การปฏิบัติการเชิงพื้นที่"

   ชาติพันธุ์วิทยาในการศึกษาชุมชนชาติพันธุ์ไม่ว่าจะเมืองหรือชนบทนั้น การทำแผนที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการวิจัยเพื่อสร้างการปฏิบัติทางสังคมและเชิงพื้นที่ และปฏิสัมพันธ์ในพื้นที่ที่มองเห็นได้และจับต้องได้ ด้วยการแสดงภาพการฝึกปฏิบัติเชิงพื้นที่และตีความแผนที่ นักวิจัยหรือคนทำงานภาคสนามสามารถสัมผัสข้อมูลที่พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อน นอกจากนี้ โดยทั่วไปแล้ว เราเข้าใจการทำแผนที่เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้น  เมื่อเราเริ่มต้นเข้าไปเป็นคนใน ระหว่างการทำงานภาคสนามและการวิจัยในชุมชนชนบทหรือเมืองเพื่อค้นหาโครงสร้างความสัมพันธ์ ของหน่วยต่างๆในชุมชนที่เกิดขึ้นบนพื้นที่  และเน้นปฏิสัมพันธ์เชิงพื้นที่และทางสังคม และชี้ให้เห็นจุดสำคัญหรือข้อสังเกตบางอย่าง ซึ่งทั้งหมดนั้นอาจไม่สามารถจับภาพได้ แต่บรรยายหรือสอบถามได้โดยใช้การเขียนบันทึกภาคสนาม ทำการสังเกตแบบมีส่วนร่วม หรือการสัมภาษณ์เชิงคุณภาพ  เช่น เราไปเห็นทุ่งนาในช่วงที่เก็บเกี่ยวแล้ว แต่กระบวนการตอนต้น การเตรียมพื้นที่ การไถ การหว่าน  การเพาะกล้า การแยกกล้า ปลูกข้าว สิ่งเหล่านี้เราไม่เห็น จึงต้องสอบถามสร้าฃปฏิทินเพาะปลูก แผนผังการใช้ที่ดินในแต่ละส่วน ที่ลุ่มปลูกอะไร ลำห้วยปลูกอะไร ที่เนินปลูกอะไร

    แผนที่จึงเป็นข้อมูลชิ้นเดียวที่ใช้เพื่อทำให้สิ่งที่มองไม่เห็น (หรือสิ่งที่ชัดเจน) มองเห็นได้ ด้วยข้อมูลชาติพันธุ์วิทยาในเมืองหรือชนบทประเภทนี้ เราสามารถย้อนกลับ สะท้อน และเพิ่มการรับรู้ถึงบริบทที่เชื่อมโยงกับข้อตกลง ความขัดแย้ง การประนีประนอม รวมถึงความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ดังที่นักทำแผนที่ เดนนิส วู๊ด ได้ชี้ให้เห็น การทำแผนที่สามารถเข้าใจได้ว่าเป็นการกระทำของการสร้างและการจินตนาการถึงพื้นที่ และด้วยเหตุนี้แผนที่จึงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับการผลิตความหมาย ความจริงให้กับพื้นที่ ( Wood 1992, 2010) แผนที่สำหรับ Wood คือการรวบรวมเรื่องราวหลายชั้นเกี่ยวกับตัวพื้นที่และอาณาบริเวณหรือละแวกใกล้เคียง เช่น ความเกี่ยวข้องกับชนชั้นทางสังคมหรือพิธีกรรมทางวัฒนธรรม ผู้คนบอกเล่าเรื่องราวว่าเราเข้าใจและกำหนดสถานที่ที่เราเรียกว่าบ้าน ชุมชน พื้นที่เพาะปลูกอย่างไร

   การทำแผนที่ในทางมานุษยวิทยา จึงมากกว่าการสร้างขอบเขตของพื้นที่ แต่มันคือการทำแผนที่องค์ความรู้ เราลองนึกภาพแผ่นกระดาษสีขาวกับดินสอวางอยู่ตรงหน้าเรา และมีคำสั่งให้เราวาดช่องว่างและสถานที่ที่มีความสำคัญกับคุณมากที่สุดและหาความเชื่อมโยงกันในเชิงพื้นที่ว่ามีลักษณะอย่างไร การสร้างความคิดผ่านพื้นที่ และการเชื่อมโยงสิ่งต่างๆในพื้นที่ จึงเป็นเทคนิคในการสร้างภาพตัวแทนหรือภาพแสดง(สองมิติ) ของเวลาและสถานที่ของตัวผู้แสดงและความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน การทำแผนที่จึงทำให้เรามีโอกาสเข้าถึงแนวคิดเชิงพื้นที่และการเชื่อมต่อที่เราอาจมีอยู่ในใจ ในขณะที่คิดถึงพื้นที่และสถานที่ที่มีความหมายที่เฉพาะเจาะจง ดังนั้นแผนที่จึงเหมือนบันทึกสนามที่สามารถอ่านได้ง่าย และจินตนาการได้มากกว่าตาเห็น

         ผมย้อนมองไปถึงเรื่องของแผนที่ทางวัฒนธรรมหรือแผนที่ชีวิตของคนเล็กกลุ่มน้อย หรือของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ต่อรองกับแผนที่ทางภูมิศาสตร์ แผนที่แสดงเขตป่า หรือแผนที่ภาพถ่ายดาวเทียม ภาพถ่ายทางอากาศ เพื่อยืนยันถึงสิทธิ์และขอบเขตของความสัมพันธ์ของตัวเองกับทรัพยากรธรรมชาติ

ภาพประกอบแผนที่โบราณของSEA ทีมีการซื้อขายกันใน 

https://www.raremaps.com › category






อ้างอิง


Chapin, Mac/Lamb, Zachary/Threlkeld, Bill (2005): “Mapping indigenous lands.” In: Annual Review of Anthropology 34/1, pp. 619-638 (DOI: 10.1146/annurev.anthro.34.081804.120429).

Cook, Ian/Taylor, Ken (2013): A Contemporary Guide to Cultural Mapping: An ASEAN-Australia Perspective, Jakarta: ASEAN Secretariat.

Crampton, Jeremy W./Krygier, John (2005): “An Introduction to Critical Car- tography.” In: ACME: An International Journal for Critical Geographies 4/1, pp. 11-33 (https://www.acme-journal.org/index.php/acme/article/vie w/723/585, last accessed August 11, 2020).

Crawhall, Nigel (2009): The Role of participatory cultural mapping in pro- moting intercultural dialogue: We are not hyenas; a reflection paper, UN- ESCO (http://www.iapad.org/wp-content/uploads/2015/07/nigel.crawhal l.190753e.pdf, last accessed August 11, 2020).

Wood, Denis (1992): The Power of Maps, New York: Guilford Press.

Wood, Denis/Fels, John/Krygier, John (2010): Rethinking the power of maps,

New York: Guilford Press

ความคิดเห็น