ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Ecofeminism &Theology เมื่อผู้หญิง ศาสนา และ สิ่งแวดล้อมมาสัมพันธ์กัน โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

ถ้าหมดวาระหัวหน้าภาคเมื่อไหร่จะเริ่มต้นเดินทางและไปสนามที่อยากไปอีกครั้ง ที่จะทำให้จิตวิญญาณของข้าพเจ้ากลับมา …หากมีเวลาอยากใช้ข้อมูลที่มีทั้งหมดเขียนเป็นบทความทางวิชาการสักเรื่อง เกี่ยวกับพิบื่อโหย่ว นางข้าว แม่ธรณี แม่โพสพ ผู้หญิงกะเหรี่ยง และอื่นๆ เมื่อนึกถึงกะเหรี่ยงโพล่วด้ายเหลืองลัทธิเจ้าวัด นับถือเจดีย์ มีพิธีกรรมไหว้เจดีย์ ผมนึกถึงหนังสือของ Rosemary Radford Ruether เรื่อง Gaia and God: An Ecofeminist Theology of Earth Healing (1993) ซึ่งสำรวจการบูรณาการระหว่างแนวคิด Ecofeminism กับความศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาเข้าด้วยกัน Rosemary Radford Ruether ผู้เขียนได้นำเสนอแนวทางในการทำความเข้าใจบทบาทของผู้หญิงในบริบทของการเคลื่อนไหวทางสิ่งแวดล้อม และวิธีที่ความเชื่อทางศาสนาและความศักดิ์สิทธิ์สามารถช่วยสร้างความยุติธรรมทางสังคมและสิ่งแวดล้อมได้ เธอมุ่งเน้นไปที่การแสดงให้เห็นว่า Ecofeminism ไม่ได้เป็นเพียงการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรีหรือสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการพิจารณาความศักดิ์สิทธิ์และศาสนาในการสร้างความยุติธรรมและความสมดุลในโลก หนังสือ The Power of the Feminine: Ecofeminism and the Sacred โดย Rosemary Radford Ruether เธอเป็นนักเทววิทยาสตรีนิยมสายเสรีนิยม–วิพากษ์) เป็นงานสำคัญที่เชื่อมโยงระหว่าง สตรีนิยม, เทววิทยา, และนิเวศวิทยา เข้าด้วยกัน โดยมีลักษณะสำคัญที่เป็นแนวคิดหลักคือ 1.Ecofeminism (นิเวศสตรีนิยม) มองว่าการกดขี่ผู้หญิงและการทำลายธรรมชาติ มีรากฐานจากระบบความคิดแบบ ปิตาธิปไตย (patriarchy) และ ทุนนิยมอุตสาหกรรม ที่เน้นการครอบงำ ควบคุม และใช้ประโยชน์จากสิ่งอื่นเป็นทรัพย์สิน เธอเสนอว่าการแก้ปัญหาวิกฤติสิ่งแวดล้อม ต้องมาพร้อมการปลดปล่อยผู้หญิง และการปรับเปลี่ยนระบบคุณค่าทั้งทางสังคมและศาสนา 2. Sacred Feminine (ความศักดิ์สิทธิ์ของความเป็นสตรี) โดย Ruether วิเคราะห์บทบาทของ “เทพี” หรือ “พลังสตรีศักดิ์สิทธิ์” ในศาสนาโบราณและประเพณีจิตวิญญาณต่าง ๆ เธอเสนอว่าความเข้าใจเรื่อง Sacred Feminine ไม่ได้หมายถึงการบูชาเทพีเฉพาะกิจ แต่มันคือการฟื้นคืน ความสัมพันธ์เชื่อมโยง (relationality) ระหว่างมนุษย์กับโลกธรรมชาติ 3. การวิพากษ์เทววิทยาแบบชายเป็นใหญ่ เนื่องจากศาสนาคริสต์แบบดั้งเดิมมักวางภาพพระเจ้าในกรอบ ชาย–ผู้ปกครอง–เหนือธรรมชาติ โดย Ruether ชี้ให้เห็นว่ากรอบนี้นำไปสู่การสร้างความชอบธรรมให้กับการครอบงำทั้งผู้หญิงและธรรมชาติ พร้อม เสนอทางเลือกใหม่ของ เทววิทยานิเวศสตรีนิยม (ecofeminist theology) ที่เน้นความเสมอภาค ความสัมพันธ์ และการดูแลรักษาโลก 4. มิติทางจิตวิญญาณและการปลดปล่อย ที่เน้นการกลับไปเชื่อมโยงกับโลก (reconnection with Earth)ทดังนั้นการเยียวยามิใช่เพียงสิ่งแวดล้อม แต่รวมถึงการเยียวยาความสัมพันธ์ระหว่างเพศ และความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประเด็นสำคัญที่หนังสือชี้ให้เห็นก็คือ ปัญหาสิ่งแวดล้อมและปัญหาสิทธิสตรีเป็นเรื่องเดียวกัน ดังนั้นเทววิทยาต้องปฏิรูป หากจะมีส่วนในการสร้างโลกที่ยั่งยืน พร้อมทั้งชี้ให้เห็นพลังของความเป็นสตรี ที่ไม่ใช่เรื่องของเพศสภาพอย่างเดียว แต่คือ พลังของการให้กำเนิด รักษา และสร้างความสัมพันธ์ เธอเสนอการเคลื่อนไหวทางสังคมที่เชื่อมโยงการปลดปล่อย (liberation) ในทุกมิติ – ผู้หญิง ชุมชน ธรรมชาติ โดย Ruether เน้นว่าการเคารพธรรมชาติและการสร้างสังคมที่เท่าเทียมกันสามารถเกิดขึ้นได้ผ่านการบูรณาการแนวคิดทางศาสนาและความเชื่อทางจิตวิญญาณ แนวคิดที่น่าสนใจในหนังสือเล่มนี้ เช่น 1. การบูรณาการระหว่างความศักดิ์สิทธิ์และ Ecofeminism โดย Ruether ให้ความสำคัญกับการนำแนวคิดเรื่องความศักดิ์สิทธิ์เข้ามาสู่การเคลื่อนไหวทางสิ่งแวดล้อม เธอเชื่อว่าศาสนาและจิตวิญญาณสามารถเป็นแรงผลักดันในการสร้างความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยการมองธรรมชาติเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ควรเคารพและปกป้อง 2. การวิพากษ์แนวคิดปิตาธิปไตยในศาสนา ซึ่ง Ruether วิพากษ์ศาสนาหลักๆ ที่มีแนวคิดแบบปิตาธิปไตย (patriarchal) ซึ่งส่งเสริมการกดขี่สตรีและการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ Ruether เสนอว่าการเคลื่อนไหวทางศาสนาที่เน้นความเท่าเทียมทางเพศและความเคารพต่อธรรมชาติสามารถช่วยสร้างสังคมที่ยั่งยืนและเป็นธรรม 3. การฟื้นฟูความศักดิ์สิทธิ์ในธรรมชาติ โดย Ruether สนับสนุนให้มีการฟื้นฟูความศักดิ์สิทธิ์ในธรรมชาติผ่านการเข้าใจว่าโลกและสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีคุณค่าในตัวเอง ไม่ใช่เพียงทรัพยากรที่มนุษย์สามารถใช้ประโยชน์ได้ การมองธรรมชาติเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่สมดุลและเคารพต่อธรรมชาติ 4. แนวคิดเกี่ยวกับความเป็นแม่และธรรมชาติ โดย Ruether พูดถึงความเชื่อมโยงระหว่างบทบาทของผู้หญิงในฐานะแม่และธรรมชาติ โดยแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงมักจะมีบทบาทสำคัญในการปกป้องและรักษาธรรมชาติ เนื่องจากพวกเธอเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับการดูแลชีวิตและทรัพยากรทางธรรมชาติ ตัวอย่างที่น่าสนใจในหนังสือที่ Rosemary Radford Ruether ทำการวิเคราะห์บทบาทของผู้หญิงในศาสนาโบราณที่เคารพธรรมชาติและมองเห็นบทบาทของผู้หญิงในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณและการปกป้องโลก เช่น ศาสนากรีกโบราณที่บูชาเทพธิดา Gaia ซึ่งเป็นตัวแทนของโลกและธรรมชาติ รวมทั้งการวิพากษ์ศาสนาคริสต์ที่ปฏิเสธธรรมชาติ Ruether วิพากษ์ศาสนาคริสต์ที่มองธรรมชาติเป็นสิ่งที่ต้องถูกครอบครองและควบคุม โดยเสนอแนวคิดใหม่ในการมองพระเจ้าและธรรมชาติว่าเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกันและควรได้รับการเคารพอย่างสมดุล The Power of the Feminine: Ecofeminism and the Sacred โดย Rosemary Radford Ruether เป็นหนังสือที่ท้าทายและนำเสนอวิสัยทัศน์ใหม่ในการบูรณาการความเชื่อทางศาสนาเข้ากับการเคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อสร้างความยุติธรรมทางเพศและสิ่งแวดล้อมและเสนอให้พวกเรามองธรรมชาติเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเคารพความเป็นหญิงในฐานะผู้นำในการสร้างโลกที่ยั่งยืนและเป็นธรรม ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจ อาทิเช่น Ruether วิเคราะห์การเคลื่อนไหว Green Theology และกลุ่ม ecofeminist spirituality ที่นำพิธีกรรมใหม่ ๆ มาใช้ เช่น การบูชาดวงจันทร์ วงกลมพิธีกรรมที่ให้ผู้หญิงเป็นศูนย์กลาง การเชื่อมโยงกับการต่อสู้ของผู้หญิงในละตินอเมริกา แอฟริกา และอินเดีย ที่ยืนหยัดปกป้องผืนดินและทรัพยากรธรรมชาติของชุมชน ยกตัวอย่างการเคลื่อนไหว Chipko Movement ของผู้หญิงในอินเดีย ที่กอดต้นไม้เพื่อป้องกันการตัดไม้ทำลายป่า ตัวอย่างเชิงตำนานและประวัติศาสตร์ เช่น ตำนานพระแม่/เทพีโบราณ โดย Ruether ศึกษา Goddess traditions เช่น ไอซิส (อียิปต์), เดเมเตอร์ (กรีก), และเทพีดินในอินเดีย–แอฟริกา ซึ่งแสดงให้เห็นว่า “ผู้หญิง” และ “ผืนดิน” มักถูกวางคู่กันในฐานะผู้ให้กำเนิดและผู้หล่อเลี้ยงชีวิต แต่ในสังคมชายเป็นใหญ่ เทพีถูกลดทอนบทบาท เหลือเพียง สัญลักษณ์ประกอบของเทพเจ้าผู้ชาย การวิพากษ์ศาสนาสมัยใหม่ ภายใต้แนวคิด “มนุษย์มีอำนาจครอบครองโลก” (dominion theology) ที่อ้างจากคัมภีร์ปฐมกาล ถูกตีความเพื่อทำลายธรรมชาติ Ruether เสนอว่าเราต้องหันกลับไปสู่การตีความใหม่ คือ การดูแลรักษา (stewardship) มากกว่าการครอบครอง ตัวอย่างของการเคลื่อนไหวทางสังคม อาทิเช่น Chipko Movement (อินเดีย) มองว่าผู้หญิงในหมู่บ้านฮิมาลายาออกมายืนกอดต้นไม้ ปกป้องป่าจากการถูกตัดโค่นในทศวรรษ 1970 เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นการเชื่อมโยงระหว่าง สิทธิผู้หญิง–สิทธิชุมชน–สิ่งแวดล้อม กรณี Green Belt Movement (เคนยา) ที่นำโดย Wangari Maathai ผู้หญิงแอฟริกันปลูกต้นไม้หลายสิบล้านต้น เพื่อฟื้นฟูผืนป่าและสร้างเศรษฐกิจชุมชน Ruether มองว่านี่คือตัวอย่างของ พลังสตรีศักดิ์สิทธิ์ ที่เกิดขึ้นในสังคมจริง การเกิดพิธีกรรมทางเลือกของ Ecofeminism โดยผู้หญิงกลุ่มผู้หญิงในยุโรปและอเมริกา สร้างพิธีกรรมใหม่ เช่น วงกลมบูชาธรรมชาติ, พิธีกรรมดวงจันทร์, และการร้องเพลงรอบกองไฟ พิธีเหล่านี้เป็นการฟื้น Sacred Feminine เพื่อสร้างความสัมพันธ์ใหม่กับโลก เช่นเดียวกับในชีวิตประจำวันปัจจุบัน เราจะเห็น การเกษตรแบบผู้หญิงนำ ดังเช่นผู้หญิงในหลายชุมชนท้องถิ่น (อินเดีย, ละตินอเมริกา) ใช้วิธีเกษตรอินทรีย์ ปลูกพืชหลากหลาย ป้องกันการผูกขาดของบริษัทเมล็ดพันธุ์ สิ่งเหล่านี้สะท้อนพลังการดูแลรักษา หรือใน กรณีสุขภาพและการดูแลทการแพทย์แผนทางเลือกที่ผู้หญิงนำ บทบาทผํ้หญิงในระบบสาธารณสุขมูลฐาน เช่น อสม.เยี่ยมบ้าน การเยียวยาด้วยสมุนไพร, การทำคลอดแบบดั้งเดิม, หรือการรักษาเชิงจิตวิญญาณ ก็สามารถมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของพลังการเยียวยา เครดิตภาพบางส่วน ขอบคุณภาพจากคุณรัตนา ภูเหม็น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พิธีกรรม สัญลักษณ์ และ Victor Turner โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

  พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ  Victor turner  ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก  Arnold Van Gennep  ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา  (Periodicity)  ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์   จะทำอะไร   จะปลูกอะไร   ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ   ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคม ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ   โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น  3  ระยะคือ 1.rite of separation  หรือขั้นของการแยกตัว   ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม   ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์  (purification rites)  เช่น   การโกนผม   การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย   รวมถึงการตัด   การสร้างรอยแผลเป็น   การขลิบ  (scarification or cutting)  ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 2.rite of transition  เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ   โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...