ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ศิลปะของวัดโคกเคียน จังหวัดนราธิวาส ใน มุมมองทางมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

ศิลปะของวัดโคกเคียน มุมมองทางมานุษยวิทยา วัดโคกเคียน เป็นวัดราษฎร์ในสังกัดมหานิกาย สร้างเมื่อ พ.ศ. 2398 สมัยรัชกาลที่ 4 เดิมอยู่ห่างจากที่ตั้งปัจจุบันราว 1.5 กม. ต่อมาชุมชนย้ายมาตั้งถิ่นฐานมากขึ้นจึงย้ายวัดมาที่นี่ ชื่อ “โคกเคียน” มาจากชาวปัตตานีนำต้นตะเคียนมาปลูกบนเนินเขาและตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชน วัดได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2445 ปัจจุบันอยู่ในรายชื่อโบราณสถานของกรมศิลปากร แต่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน ตามพรบ.โบราณสถาน สิ่งที่โดดเด่นคือ จิตรกรรมฝาผนัง หรือภาพเขียนอยู่ในอุโบสถ ครอบคลุมทั้งผนังไม้สี่ด้านและเพดาน โดย ผนังแถวบนจะมีภาพ เทพพนม (ยกเว้นผนังทางเข้าที่เป็นราหู) ในส่วนแถวกลาง จะมีภาพ พระสงฆ์ นักสิทธิ์ วิทยาธร ฤษี และเทวดา ในส่วนแถวล่างจะมีสัตว์จริงและสัตว์จินตนาการ พร้อมแจกันดอกไม้และดอกไม้ร่วงสลับสัตว์ปีก ซึ่งจะเห็นการจักลำดับขั้นจากบนลงล่าง ระหว่างเทพเทวดา มนุษย์ สัตว์กึ่งมนุษย์และสัตว์ ในส่วนของเพดาน 2 ช่อง จะเป็นเรื่องพุทธประวัติ 1 ช่องจะเป็นเรื่องพระมาลัยบนสวรรค์ ส่วนอีก 1 ช่อง จะเป็นวิมานเทพผู้รักษาทิศในส่วน 2 ช่องสุดท้าย จะเป็นภาพพระอาทิตย์และพระจันทร์ทรงรถ โดย ภาพทั้งหมดแสดงออกอย่างวิจิตรและมีชีวิตชีวา สะท้อนความเชื่อและศิลปะพื้นถิ่นที่โดดเด่นของนราธิวาส ความน่าสนใจของภาพสัตว์และสัตว์กึ่งมานุษย์ในจิตรกรรมวัดโคกเคียน หากมองด้วยสายตาทาง มานุษยวิทยาศิลปะ (Anthropology of Art) จะช่วยให้เราเห็นมากกว่าความงาม แต่ยังเปิดมุมมองต่อ “โลกทัศน์” และ “วิถีคิด” ของสังคมที่สร้างงานศิลป์นี้ด้วยครับ ผมลองวิเคราะห์เป็นประเด็นดังนี้ 1. สัตว์–สัตว์กึ่งมานุษย์ในฐานะ “สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม” ตัวอย่าง เช่น สัตว์อย่างสิงห์ คชสีห์ มกร หรือครุฑ มักเป็นตัวแทนของพลัง อำนาจ การคุ้มครอง และการเชื่อมโลกมนุษย์กับโลกศักดิ์สิทธิ์ หรือกรณีการผสมร่างกายสัตว์กับมนุษย์ (เช่น นรสิงห์ กินรี นาคที่มีร่างกายกึ่งมนุษย์กึ่งสัตว์) สะท้อนความเชื่อใน พหุจักรวาล (plural cosmology) ที่โลกไม่ได้แบ่งแค่ “มนุษย์/สัตว์” อย่างแข็งทื่อ แต่มี “ระหว่างกลาง” (in-between beings) ในเพดานและผนังมีการเขียนสัตว์หิมพานต์ เช่น ครุฑ นาค กินรี ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเชื่อมโลกหลายชั้นที่สามารถมองเชิง มานุษยวิทยาเชิงสัญลักษณ์ (Symbolic Anthropology) ว่า สิ่งเหล่านี้คือ ตัวกลางระหว่างโลกมนุษย์ โลกสัตว์ และโลกเทพ ที่ทำให้ศาสนจักรวาลไม่แยกขาด แต่ไหลเชื่อมต่อกัน 2. การทำให้ธรรมชาติกลายเป็นเรื่องของสังคมวัฒนธรรม ในงานทาง มานุษยวิทยา เช่น งานของ Claude Lévi-Strauss การเล่าเรื่องด้วยสัตว์เป็นวิธีที่มนุษย์ใช้จัดระเบียบความคิดของตัวเอง เกี่ยวกับธรรมชาติและสังคม ดังนั้น สัตว์ในจิตรกรรมจึงไม่ใช่แค่การวาดสัตว์ แต่คือการแปลงสัตว์ให้พูดแทนสิ่งที่เป็นนามธรรม เช่น ความดี ความชั่ว ความศักดิ์สิทธิ์ และกฎเกณฑ์ทางสังคม รวมทั้งสัตว์และพรรณพฤกษาที่วาดมีรูปแบบใกล้เคียง ลายผ้าพิมพ์”และศิลปะท้องถิ่นภาคใต้ สะท้อนว่า ชาวบ้านในพื้นที่ใช้สัตว์ และพืช เป็น ทุนทางวัฒนธรรม ในการสร้างโลกทางศาสนา ทำให้จิตรกรรมทางศาสนาจึงไม่ใช่ของสูงที่แยกจากวิถีชีวิต แต่โยงกับความงามในชีวิตประจำวัน 3. สัตว์กึ่งมานุษย์กับความหมายเรื่องเขตแดน ดังเช่น สิ่งมีชีวิตลูกผสม (hybrid beings) มักถูกวางไว้ใน พื้นที่เปลี่ยนผ่าน เช่น ผนังด้านล่างสุด หรือบริเวณคั่นฉาก เพราะพวกเขาคือ ผู้เฝ้าประตู/ผู้รักษาพรมแดน ระหว่างโลกมนุษย์ โลกเทพ และโลกสัตว์ ตรงนี้โยงได้กับแนวคิดของ Mary Douglas (Purity and Danger) สิ่งที่ก้ำกึ่ง เช่น กึ่งสัตว์กึ่งคน มักถูกมองว่ามีพลังพิเศษ เพราะพวกเขาไม่บริสุทธิ์ในแง่การจัดหมวดหมู่ แต่กลับศักดิ์สิทธิ์ในฐานะผู้คุ้มครองที่เกี่ยวกับกับสถานะที่คลุมเครือ สัตว์ก็ไม่ใช มนุษย์ก็ไม่ใช่ .. 4. มิติของชุมชนท้องถิ่น โดยวัดโคกเคียนตั้งอยู่ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลใต้ ซึ่งมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ (ไทยพุทธ–มลายูมุสลิม) ดังนั้นภาพสัตว์กึ่งมานุษย์ในวัด อาจสะท้อน ความพยายามของชุมชนพุทธ ในการสร้างจักรวาลศักดิ์สิทธิ์ ที่ปกป้องความเชื่อของตนท่ามกลางการอยู่ร่วมกับศาสนาและวัฒนธรรมอื่น กล่าวอีกนัยหนึ่ง ศิลปะเหล่านี้ทำหน้าที่ ต่อรองอัตลักษณ์ และสร้างความมั่นคงให้กับชุมชน 5. การมองจากมานุษยวิทยาศิลปะร่วมสมัย สัตว์และกึ่งมานุษย์ในภาพสามารถมองผ่านกรอบ Multispecies Anthropology ซึ่งชี้ว่ามนุษย์ไม่ได้อยู่เหนือสัตว์ แต่ดำรงอยู่ร่วมกับสัตว์ในโลกเดียวกัน ดังนั้น การวาดสัตว์–สัตว์กึ่งมานุษย์ จึงเป็นการเขียนชีวิตร่วม (shared life) ของมนุษย์กับสิ่งมีชีวิตอื่น ในจินตนาการทางศาสนาและศิลปะ ดังนั้น จิตรกรรมสัตว์และสัตว์กึ่งมานุษย์ในวัดโคกเคียน ไม่ได้มีแค่คุณค่าเชิงศิลป์ แต่ยังเป็นหลักฐานทางมานุษยวิทยาที่สะท้อนการจัดหมวดหมู่โลก ความเชื่อเรื่องพรมแดน ระหว่าง ธรรมชาติ–วัฒนธรรม และบทบาทของสัตว์ในฐานะสัญลักษณ์ของการปกป้องและการอยู่ร่วมกันในจักรวาลทางศาสนา ถ่ายรูปมาเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งกำลังบูรณะอุโบส ผมเพิ่งมีเวลา เขียนถึง เป็นแหล่งเรียนรู้ที่น่าสนใจ ในศิลปะแบบชาวบ้านในพื้นที่พุทธศาสนาของจังหวัดนราธิวาส

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พิธีกรรม สัญลักษณ์ และ Victor Turner โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

  พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ  Victor turner  ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก  Arnold Van Gennep  ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา  (Periodicity)  ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์   จะทำอะไร   จะปลูกอะไร   ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ   ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคม ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ   โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น  3  ระยะคือ 1.rite of separation  หรือขั้นของการแยกตัว   ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม   ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์  (purification rites)  เช่น   การโกนผม   การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย   รวมถึงการตัด   การสร้างรอยแผลเป็น   การขลิบ  (scarification or cutting)  ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 2.rite of transition  เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ   โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...