“ซากศพไม่ได้เป็นเพียงวัตถุทางกายภาพ แต่มีความหมายทางวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง ซากศพเป็นสัญลักษณ์ของความทรงจำ ความเคารพ และการเชื่อมโยงระหว่างผู้ที่มีชีวิตอยู่และผู้ที่เสียชีวิต”( Laqueur,2016)
หากเราลองย้อนกลับมาพิจารณาถึงบทบาทและความหมายของซากศพในบริบททางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ โดยเน้นถึงความซับซ้อนและความหลากหลายของการปฏิบัติต่อซากศพในสังคมมนุษย์ต่างทั่วโลก จะสามารถนำเราไปสู่การวิเคราะห์เชิงลึกและความรู้เกี่ยวกับวิธีที่มนุษย์จัดการกับความตายและซากศพ ซึ่งทำให้เข้าใจถึงความหมายทางวัฒนธรรมและสังคมของการปฏิบัติเหล่านี้
ผมนึกถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อ The Work of the Dead: A Cultural History of Mortal Remains (2016) โดย Thomas W. Laqueur
ความหมายทางวัฒนธรรมของซากศพ มีความหลากหลายและมีการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับการปฏิบัติต่อซากศพ ดังเช่นการเปลี่ยนแปลงในวิธีการจัดการซากศพตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงยุคปัจจุบัน ที่เชื่อมโยงการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม สังคม เศรษฐกิจ การเมืองและศาสนาที่ส่งผลต่อการปฏิบัติต่อซากศพ
บทบาทของซากศพในกระบวนการสร้างความทรงจำ โดย Laqueur กล่าวถึงบทบาทของซากศพในการสร้างและรักษาความทรงจำของผู้ที่ล่วงลับไป การปฏิบัติต่อซากศพ เช่น การฝัง การเผา หรือการจัดแสดง ศพมีบทบาทสำคัญในการสร้างความหมายและการระลึกถึงผู้เสียชีวิต
การเมืองและซากศพมีความเกี่ยวโยงกัน ดังเช่น Laqueur เน้นถึงการใช้ซากศพในบริบททางการเมือง เช่น การสร้างอนุสาวรีย์ การใช้ซากศพเป็นสัญลักษณ์ทางการเมือง หรือการขุดและจัดการซากศพในบริบทของการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การใช้ซากศพในบริบทเหล่านี้แสดงถึงการสร้างและแสดงอำนาจ
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้มีชีวิตอยู่และผู้ตาย โดย Laqueur อธิบายถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่และผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว ซากศพเป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์นี้และเป็นสัญลักษณ์ของการเชื่อมโยงระหว่างสองโลก คือโลกคนเป็นกับโลกคนตาย
การปฏิบัติทางศาสนาและพิธีกรรม โดย Laqueur สำรวจการปฏิบัติทางศาสนาและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับซากศพในวัฒนธรรมต่างๆ การปฏิบัติเหล่านี้สะท้อนถึงความเชื่อทางศาสนาและค่านิยมของสังคมในการจัดการกับความตาย
การแสดงความเคารพและการดูแลรักษาซากศพ โดย Laqueur เน้นถึงความสำคัญของการแสดงความเคารพและการดูแลซากศพในวัฒนธรรมต่างๆ การปฏิบัติเหล่านี้เป็นการแสดงถึงความเคารพต่อผู้ที่ล่วงลับไปและการรักษาความสัมพันธ์ทางสังคมและวัฒนธรรมระหว่างคนเป็นกับคนตาย
Laqueur ใช้กรณีศึกษาจากวัฒนธรรมและช่วงเวลาต่างๆ ทั่วโลกเพื่อสนับสนุนข้อโต้แย้งของเขา ตัวอย่างเหล่านี้ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจถึงความหลากหลายและความซับซ้อนของการปฏิบัติต่อซากศพในวัฒนธรรมต่างๆ ซึ่ง Laqueur ใช้ในการสนับสนุนข้อโต้แย้งของเขาเกี่ยวกับบทบาทและความหมายของซากศพในสังคมมนุษย์ อาทิเช่น
1. การฝังศพในยุโรปยุคกลาง ที่ Laqueur ได้อธิบายถึงการปฏิบัติการฝังศพในยุโรปยุคกลาง ซึ่งมีการจัดการซากศพในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่น สุสานโบสถ์ การฝังศพใกล้กับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการช่วยเหลือดวงวิญญาณให้ไปถึงสวรรค์
2. การทำมัมมี่ในอียิปต์โบราณ Laqueur ได้ใช้ ตัวอย่างนี้แสดงถึงความเชื่อในชีวิตหลังความตายของชาวอียิปต์โบราณ การทำมัมมี่เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและใช้เวลา ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของการรักษาร่างกายให้สมบูรณ์สำหรับชีวิตหลังความตาย
3. การปฏิบัติต่อซากศพของนักรบในญี่ปุ่น Laqueur ชี้ว่าในวัฒนธรรมซามูไรของญี่ปุ่น ซากศพของนักรบมีความสำคัญในการแสดงถึงเกียรติยศและความกล้าหาญ การปฏิบัติต่อซากศพของนักรบสะท้อนถึงค่านิยมทางศีลธรรมและวัฒนธรรมของสังคมนั้น
4. การใช้ซากศพในสงคราม โดย Laqueur ยังได้กล่าวถึงการใช้ซากศพในสงคราม เช่น การใช้ซากศพของศัตรูเป็นการแสดงอำนาจและการข่มขวัญ การปฏิบัติเช่นนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ทางการเมืองและการทหารด้วย
5. การประท้วงด้วยซากศพ ตัวอย่างเช่น ในกรณีของผู้ประท้วงที่ใช้ซากศพเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านและการเรียกร้องความยุติธรรม ซากศพมีบทบาทในการสร้างความหมายและกระตุ้นความสนใจทางสังคม เช่น การแห่ศพประจานอำนาจของรัฐที่กระทำความรุนแรงกับคนที่ไร้อำนาจ
6. การปฏิวัติฝรั่งเศสและการขุดหลุมฝังศพของนักบุญ ตัวอย่างเช่น ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส มีการขุดหลุมศพของนักบุญและบุคคลสำคัญทางศาสนาออกมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการท้าทายอำนาจของคริสตจักรและสถาบันเก่าแก่ การทำลายซากศพเหล่านี้เป็นการแสดงอำนาจทางการเมืองและการประกาศอิสรภาพจากอำนาจเก่า
7. การขุดหลุมศพและย้ายซากศพในยุโรปศตวรรษที่ 19 ซึ่งมีการขุดและย้ายซากศพจากสุสานในเมืองไปยังสุสานนอกเมืองเพื่อแก้ปัญหาความแออัดและสุขอนามัย การย้ายซากศพนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมในการจัดการกับความตายและซากศพ
8.การสร้างอนุสาวรีย์และสุสานสำหรับทหารในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มีการสร้างอนุสาวรีย์และสุสานขนาดใหญ่สำหรับทหารที่เสียชีวิต การปฏิบัติเช่นนี้เป็นการระลึกถึงและให้เกียรติทหารที่เสียสละเพื่อชาติ และยังสะท้อนถึงการสร้างความหมายทางสังคมและการเมืองผ่านการจัดการซากศพ
9. พิธีกรรมวันแห่งความตาย (Día de los Muertos) ในเม็กซิโก ในวัฒนธรรมเม็กซิกัน วันแห่งความตายเป็นวันสำคัญที่ครอบครัวจะมาร่วมกันระลึกถึงผู้ที่ล่วงลับไป การจัดโต๊ะบูชาและการนำของโปรดของผู้ตายมาไว้อีกครั้งแสดงถึงการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างคนเป็นและคนตายและการยกย่องวิญญาณของผู้ล่วงลับ
10. การอนุรักษ์ซากศพของบุคคลสำคัญในรัสเซีย ตัวอย่างเช่น ซากศพของ Vladimir Lenin ที่ถูกอนุรักษ์และจัดแสดงในสุสานที่ Red Square ในมอสโกเป็นตัวอย่างของการใช้ซากศพเพื่อเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองและการสร้างความหมายต่อสาธารณะ การจัดแสดงนี้แสดงถึงการยกย่องและการรักษาอำนาจทางการเมืองผ่านการปฏิบัติต่อซากศพ
11. สุสานอเมริกันในต่างประเทศ ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสอง มีการสร้างสุสานทหารอเมริกันในต่างประเทศ เช่น ในฝรั่งเศสและเบลเยียม สุสานเหล่านี้เป็นการแสดงถึงการให้เกียรติและระลึกถึงทหารอเมริกันที่เสียชีวิตในสงคราม การสร้างสุสานในต่างประเทศยังเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการแสดงอำนาจทางการเมือง
12. สุสาน Père Lachaise ในปารีส โดย สุสาน Père Lachaise ในปารีสเป็นตัวอย่างของสุสานที่กลายเป็นสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ สุสานนี้มีซากศพของบุคคลสำคัญมากมาย เช่น Oscar Wilde และ Jim Morrison การเยี่ยมชมสุสานนี้เป็นการแสดงถึงการระลึกถึงและยกย่องบุคคลสำคัญทางวัฒนธรรม
13. การค้นพบและการจัดการซากศพของ Richard III โดย ในปี 2012 มีการค้นพบซากศพของกษัตริย์ Richard III ในลานจอดรถในเมือง Leicester ประเทศอังกฤษ การค้นพบนี้นำไปสู่การศึกษาและการจัดการซากศพอย่างละเอียด รวมถึงการฝังศพใหม่ในปี 2015 การค้นพบและการจัดการซากศพของกษัตริย์ Richard III แสดงถึงความสนใจในประวัติศาสตร์และการสร้างความหมายใหม่ผ่านการจัดการซากศพ
14. พิธีกรรมการเผาศพในฮินดู ซึ่งในวัฒนธรรมฮินดู การเผาศพเป็นพิธีกรรมที่สำคัญสำหรับการส่งดวงวิญญาณไปยังชีวิตหลังความตาย พิธีกรรมนี้สะท้อนถึงความเชื่อทางศาสนาและวัฒนธรรมในการจัดการซากศพและการระลึกถึงผู้ล่วงลับ
15. การใช้ซากศพในศิลปะและการแสดง ตัวอย่างเช่น การใช้โครงกระดูกมนุษย์ในงานศิลปะของ Damien Hirst เช่น "For the Love of God" ซึ่งเป็นกะโหลกศีรษะมนุษย์ที่ประดับด้วยเพชร งานศิลปะนี้สะท้อนถึงการตั้งคำถามเกี่ยวกับชีวิต ความตาย และความหมายของซากศพในสังคมสมัยใหม่
16.การจัดแสดงซากศพของ Eva Perón โดยซากศพของ Eva Perón ภรรยาของประธานาธิบดี Juan Perón แห่งอาร์เจนตินาถูกเก็บรักษาและจัดแสดงหลังจากที่เธอเสียชีวิตในปี 1952 การจัดการซากศพของ Eva Perón แสดงถึงการเคารพและยกย่องบุคคลสำคัญทางการเมืองและการสร้างสัญลักษณ์ทางอารมณ์สำหรับประชาชน
ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของวิธีการที่ซากศพมีบทบาทในวัฒนธรรมต่างๆ และวิธีการที่ซากศพถูกใช้เพื่อสร้างความหมายทางสังคมและการเมืองในประวัติศาสตร์ของมนุษย์
*** Thomas W. Laqueur เป็นนักประวัติศาสตร์และนักวิชาการที่มีชื่อเสียงในด้านประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมและสังคม เขาเป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณด้านประวัติศาสตร์ที่ University of California, Berkeley Laqueur มีผลงานวิจัยและหนังสือหลายเล่มที่มีอิทธิพลอย่างมากในวงการประวัติศาสตร์ หนึ่งในผลงานที่มีชื่อเสียงของเขาคือ The Work of the Dead: A Cultural History of Mortal Remains ซึ่งเป็นการศึกษาเกี่ยวกับบทบาทและความหมายของซากศพในวัฒนธรรมต่างๆ
ผลงานอื่นๆ ของ Laqueur ที่มีชื่อเสียง ได้แก่
1. Making Sex: Body and Gender from the Greeks to Freud โดย หนังสือเล่มนี้สำรวจประวัติศาสตร์ของการทำความเข้าใจเรื่องเพศและร่างกายตั้งแต่ยุคกรีกจนถึงยุคของ Sigmund Freud หนังสือเล่มนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อการศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ทางเพศและเพศสภาพ
2. Solitary Sex: A Cultural History of Masturbation หนังสือเล่มนี้ศึกษาประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมของการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง โดยเน้นถึงการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและการแพทย์เกี่ยวกับเรื่องนี้
งานของเขามีอิทธิพลต่อการศึกษาในหลากหลายสาขา รวมถึงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมศึกษา และเพศศึกษา ซึีงผมก็ใช้สอนนักศึกษาส่วนหนึ่ง
พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ Victor turner ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก Arnold Van Gennep ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา (Periodicity) ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ จะทำอะไร จะปลูกอะไร ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคม ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะคือ 1.rite of separation หรือขั้นของการแยกตัว ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์ (purification rites) เช่น การโกนผม การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย รวมถึงการตัด การสร้างรอยแผลเป็น การขลิบ (scarification or cutting) ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 2.rite of transition เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น