คำถามสำคัญคือเราดูความเจ็บปวดของคนอื่น ว่าเป็น อย่างไร? มากกว่าการพยายาม “เข้าใจ” หรือ “รู้สึกแทน” ในความเจ็บปวดนั้น ภาพถ่ายไม่ใช่ภาพจริง แต่เป็นการแทนภาพ ที่ถูกเลือก จัดวาง ตัดต่อ หรือบอกเล่าในบางมุม เป็นการเลือกว่าจะ “ให้คนอื่นเห็นอะไร” และ “ไม่ให้เห็นอะไร”
เราในฐานะ “ผู้ชม” (Spectatorship ) ความทุกข์ของผู้อื่น ต้องทบทวนและตั้งคำถามว่าการดูภาพถ่ายหรือข่าวความรุนแรง ทำให้เรา รู้สึกเห็นใจ หรือเฉยชา? ที่สำคัญ ผู้ชมไม่ได้เป็นกลางเสมอ แต่เกี่ยวพันกับอำนาจและอารมณ์
ความทุกข์ของคนอื่นมักอยู่ “ไกล” จากชีวิตประจำวันของเรา ดังนั้นภาพข่าวหรือภาพถ่ายทำให้เรารู้สึกว่าได้เห็นแต่ ไม่ได้เชื่อมต่อทางจิตใจ จริง ๆ
ความเจ็บปวดของคนอื่นอาจกลายเป็น สินค้าทางวัฒนธรรม ที่ผู้ชมเสพเพื่อความสะเทือนใจหรือความบันเทิง ภาพสงครามถูกจัดวางในพิพิธภัณฑ์ หนังสือพิมพ์ หรือโซเชียลมีเดีย เพื่อเรียกอารมณ์ ไม่ใช่ความเข้าใจ
ใครบางคนตายแล้ว “สังคมไว้อาลัย” แต่บางคน “ตายเงียบ” แบบไม่มีใครจดจำ นี่เป็นคำถามในเรื่อง อำนาจของการเลือกจดจำ ดังนั้นความเห็นอกเห็นใจแท้จริงควรนำไปสู่การลงมือเปลี่ยนแปลง แต่หลายครั้งเราเพียง เสพภาพความทุกข์เพื่อความตื่นเต้นหรือดราม่า
ผมนึกถึงหนังสือเล่มนี้ Regarding the Pain of Others (2013) โดย Susan Sontag งานชิ้นนี้ถือเป็นงานเขียนเชิงปรัชญาและวัฒนธรรมที่สะท้อนว่าเราในฐานะผู้รับรู้ (spectator) มองความทุกข์ ความเจ็บปวด และความตายผ่าน ภาพถ่ายสงคราม และ ภาพข่าวความรุนแรง อย่างไร เป็นงานอีกชิ้นของ Sontag การต่อยอดจากหนังสือเล่มก่อนของ Sontag คือ On Photography (1977) ที่มองว่าการถ่ายภาพคือการ ครอบครองวัตถุแบบหนึ่ง ดังนัันภาพถ่ายไม่ได้แค่บันทึกความจริง แต่แสดงความเป็นเจ้าของและนิยามโลกในแบบที่ผู้ถ่ายต้องการ ในยุคที่ผู้คนเริ่มเชื่อว่าถ้ามีภาพแสดง ก็แปลว่าเป็นเรื่องจริง แต่จริง ๆ แล้วภาพถ่ายเลือกบางมุมทำให้โลกที่เรารับรู้ ถูกคัดกรองผ่านกรอบกล้อง ที่ผมว่าสำคัญและน่าสนใจคือ ภาพถ่ายกลายเป็นเครื่องมือให้เราเข้าไปมองชีวิตคนอื่นโดยไม่ต้องรู้จักเขา อีกทั้งยังกลายเป็นการ เสพความจริงที่ถูกแยกออกจากความสัมพันธ์ ในขณะเดียวกัน ยิ่งมีภาพมากเท่าไร เรากลับเข้าใจน้อยลงเพราะภาพท่วมท้นกลายเป็น noise มากกว่า knowledge
ภาพถ่ายสงครามหรือภัยพิบัติที่ถูกถ่ายซ้ำ-ดูซ้ำ ทำให้ผู้คน รู้สึกชินชา Sontag เตือนว่าเราอาจกลายเป็นคน เสพความทุกข์แบบเฉยชา แทนที่จะตระหนักรู้คิดกับมันอย่างลึกซึ้งหรือลงมือช่วยเหลือ
แต่หนังสือ Regarding the Pain of Others เล่มนี้Sontag กลับมาทบทวนจุดยืนตัวเอง และถามคำถามทางจริยธรรมที่ลึกซึ้งกว่าเล่มก่อนหน้า ประเด็นที่น่าสนใจที่เขานำเสนอ มีดังนี้
1. แนวคิดหลัก คือการกลับมาทบทวน และ ตั้งคำถามว่า เราควรดูภาพความเจ็บปวดของคนอื่นหรือไม่? โดย Sontag ไม่ได้ตอบว่า “ควร” หรือ “ไม่ควร” อย่างชัดเจน แต่เธอชวนให้ตั้งคำถามว่า การมองความเจ็บปวด มันทำให้เรา “เข้าใจ” หรือ “ชาเฉย” กับเรื่องนี้กันแน่
2. ภาพถ่ายสงครามอาจกลายเป็นของสวยงามได้เมื่อความรุนแรงถูกจัดวางในกรอบขององค์ประกอบศิลป์ มันอาจทำให้เราหลงลืมความทุกข์ที่แท้จริงของเหยื่อ ตัวอย่างเช่น ภาพของ Dorothea Lange (หญิงกับลูกในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ) หรือภาพของ Kevin Carter (เด็กแอฟริกากำลังจะตายกับแร้งเฝ้ารอ) ผู้ชมบางคนรู้สึกชื่นชมทางเทคนิค แต่ไม่ได้ขยับเข้าไปช่วยเหลือ หรือใคร่ครวญถึงบริบท ความสัมพันธ์ที่คนในภาพเผชิญอยู่
3. “คนอื่น” ถูกทำให้เป็นวัตถุทางอารมณ์ ดังเช่น ภาพถ่ายสงคราม เช่นจากรวันดา เวียดนาม หรืออิรัก อาจถูกมองแบบ “พวกเขาน่าสงสาร” แต่ไม่ได้ทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าเป็น “เรื่องของเรา”
4. ความเจ็บปวดนั้น “ไม่มีทางส่งต่อได้เต็มที่” นั่นคือไม่มีภาพไหนเลยที่จะสื่อความเจ็บปวดของผู้อื่นได้ทั้งหมด เพราะความเจ็บปวดของคนในภาพ เป็นเรื่อง เฉพาะตัว และ ไม่สามารถเข้าใจโดยสมบูรณ์
ตัวอย่างภาพหรือกรณีในหนังสือ เช่น ภาพสังหารหมู่ในบอสเนีย ซึ่งเป็นภาพถ่ายผู้หญิงและเด็กที่เสียชีวิตจากสงครามกลางเมืองในยุโรป เนืองจาก Sontag เคยไปซาราเยโวในช่วงสงครามด้วยตัวเอง เธอจึงเขียนจากประสบการณ์ตรง
ภาพ Napalm Girl (1972) ซึ่งเป็นภาพเด็กหญิงเวียดนามวิ่งเปลือยกายหนีระเบิดนาปาล์ม ภาพนี้กลายเป็น “ภาพแทนความทุกข์” ของสงครามเวียดนาม แต่คำถามคือ: คนถ่ายภาพช่วยเด็กไหม? แล้วคนดูภาพรู้สึกอะไร?
ประเด็นที่ Sontag ทิ้งท้ายอย่างน่าสนใจคือ ความเจ็บปวดของผู้อื่นไม่ใช่ของเล่นทางอารมณ์ เราต้องฝึก การดูอย่างมีจริยธรรม ไม่ใช่แค่เสพความสะเทือนใจเพื่อความรู้สึกว่า “เรายังมีหัวใจ” ในโลกสมัยใหม่มี “ภาพ” เต็มไปหมด จึงยิ่งจำเป็นต้องมี ความรับผิดชอบในการดู (ethics of viewing) ที่สัมพันธ์กับเรื่องของ “การมองเห็น” และ “ความเจ็บปวดของคนอื่น”
ผมว่าปรากฏการณ์หลาย ๆ อย่าง ทำให้เรามองเห็นความจริงบางอย่าง ที่ได้กลับมาทบทวนตัวเอง และหัวใจตัวเองในฐานะของความเป็นมนุษย์ ทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นความรู้มากกว่าความรู้สึก
พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ Victor turner ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก Arnold Van Gennep ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา (Periodicity) ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ จะทำอะไร จะปลูกอะไร ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคม ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะคือ 1.rite of separation หรือขั้นของการแยกตัว ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์ (purification rites) เช่น การโกนผม การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย รวมถึงการตัด การสร้างรอยแผลเป็น การขลิบ (scarification or cutting) ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 2.rite of transition เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น