ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

นิเวศวิทยาสุขภาพ โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

นิเวศวิทยาสุขภาพ: การบูรณาการมานุษยวิทยา สิ่งแวดล้อม และการแพทย์ สุขภาพของโลกคือสุขภาพของเรา “We cannot be healthy in a sick ecosystem.” ในฐานะนักศึกษามานุษยวิทยาทางการแพทย์ที่ให้ความสนใจกับประเด็นสังคมศาสตร์สุขภาพ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม ผมมีความสนใจเป็นพิเศษต่อแนวคิด นิเวศวิทยาสุขภาพ (Eco-Health) หรือ เวชศาสตร์เชิงนิเวศ (Ecological Medicine) ซึ่งเป็นกรอบคิดที่บูรณาการระหว่างชีววิทยา วัฒนธรรม การแพทย์ และระบบนิเวศ เพื่อทำความเข้าใจความสัมพันธ์ซับซ้อนระหว่างสุขภาพมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมรอบตัว ดังนั้นสุขภาพไม่ใช่แค่เรื่องชีวภาพ แต่เป็นผลของ ชีววัฒนธรรม (Biocultural) ทำให้มนุษย์ปรับตัวต่อโรค ผ่านทั้ง ร่างกาย พฤติกรรม และวัฒนธรรม มานุษยวิทยาและนิเวศวิทยาทางการแพทย์: การมองสุขภาพในฐานะปรากฏการณ์เชิงวัฒนธรรมและชีววิทยา แนวทางนี้ชี้ให้เห็นว่า สุขภาพไม่ใช่เพียงผลลัพธ์ของชีววิทยา แต่เป็นผลของกระบวนการ co-evolution ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม ทั้งทางกายภาพและสังคม เช่น การเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางการเกษตร การอพยพ การใช้พืชสมุนไพรท้องถิ่น หรือแม้กระทั่งการจัดการทรัพยากรน้ำล้วนส่งผลต่อสุขภาวะของมนุษย์ งานของ Frank B. Livingstone (1958) เป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดนี้ โดยแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่าง พฤติกรรมทางวัฒนธรรมกับการแพร่ระบาดของมาลาเรีย ในแอฟริกาตะวันตก ชี้ให้เห็นว่าโรคไม่ใช่เรื่องชีวภาพล้วน แต่เชื่อมโยงกับโครงสร้างทางสังคม นิเวศ และพฤติกรรมของชุมชนอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นระบบนิเวศคือรากฐานของสุขภาพ เนื่องจาก สุขภาพมนุษย์สัมพันธ์กับคุณภาพน้ำ อากาศ ดิน สัตว์ พืช( Carolyn Raffensperger 2001) วิวัฒนาการของจีโนมและภูมิอากาศ: บริบทใหม่ของสุขภาพ ในศตวรรษที่ 21 ความก้าวหน้าในด้าน จีโนมิกส์ (genomics) และ อีพีเจเนติกส์ (epigenetics) ทำให้เราเข้าใจว่าการแสดงออกทางพันธุกรรมสามารถถูกกำหนดโดยสิ่งแวดล้อม เช่น สารเคมีในดิน อากาศ อาหาร หรือความเครียดทางสังคม ยิ่งไปกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้เกิดโรคอุบัติใหม่ เช่น ไข้เลือดออกที่แพร่กระจายจากเขตร้อนสู่เขตอบอุ่น หรือโรคซาร์ส/โควิด-19 ที่สัมพันธ์กับการบุกรุกระบบนิเวศของสัตว์ป่า เวชศาสตร์สิ่งแวดล้อม: มนุษย์ในฐานะองค์ประกอบของระบบนิเวศ คำว่า Ecological Medicine ถูกเสนอโดย Carolyn Raffensperger (2001) เพื่อเน้นว่าสุขภาพของมนุษย์และธรรมชาติเป็นระบบที่เชื่อมโยงกันโดยตรง แนวทางนี้ไม่เพียงแต่มองสุขภาพเชิงกายภาพเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับ จริยธรรมของการอยู่ร่วม เช่น หลัก “Do No Harm” ที่เน้นว่า การรักษาสุขภาพของมนุษย์ไม่ควรมาพร้อมกับการทำลายสุขภาพของสิ่งแวดล้อม ประเด็นที่เน้นในเวชศาสตร์สิ่งแวดล้อม ได้แก่: • Resilience: ความสามารถของมนุษย์และชุมชนในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม หรือโรคระบาด สรุปง่ายๆ คือ สุขภาพเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ แต่ต้องปรับตัวย • Diversity: การให้คุณค่ากับภูมิปัญญาพื้นถิ่น ระบบการแพทย์ดั้งเดิมควบคู่กับชีวเวชศาสตร์ และความรู้สมัยใหม่ ที่ทำงานไปด้วยกัน • Appropriateness: การดูแลสุขภาพที่เหมาะสมกับบริบทและไม่สร้างภาระต่อโลก ซึ่ง เป็นการ ดูแลสุขภาพด้วยการแทรกแซงให้น้อยที่สุด • Cooperation: การทำงานร่วมกันระหว่างชุมชน นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศและการแพทย์ จริงๆต้องมีสิ่งที่ เรียกว่า Reconciliation ที่สุขภาพต้องยั่งยืน เป็นธรรม และเข้าถึงได้ ตัวอย่างงานทางมานุษยวิทยาในบริบทนิเวศและสุขภาพ 1. เกษตรกรรมเชิงเดี่ยวและสารเคมีเกษตร: ในหลายพื้นที่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การใช้สารเคมีในการปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ยางพารา หรือข้าวโพด มีผลต่อสุขภาพของชาวบ้านและระบบน้ำใต้ดิน ทั้งยังส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหารในระยะยาว นักมานุษยวิทยาใช้การศึกษาชีวชาติพันธุ์ (ethnobiology) เพื่อเข้าใจการเปลี่ยนแปลงความรู้ท้องถิ่นเกี่ยวกับการใช้พืชสมุนไพรที่หายไปพร้อมกับความหลากหลายทางชีวภาพ 2. การทำเหมืองแร่: กรณีเหมืองแร่ทองคำในไทยหรือเหมืองลิเทียมในอเมริกาใต้ การวิเคราะห์เชิงมานุษยวิทยาชี้ให้เห็นความไม่สมดุลทางอำนาจในการตัดสินใจของรัฐ-ทุน-ชุมชน โดยเฉพาะผลกระทบทางสุขภาพ เช่น โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจจากฝุ่นแร่ หรือมลพิษโลหะหนักในแหล่งน้ำ 3. โรคระบาดและการจัดการแบบภูมิปัญญาท้องถิ่น: กรณีการแพร่ระบาดของโควิด-19 มีการศึกษาว่าในหลายชุมชนท้องถิ่นได้หันกลับมาใช้ยาสมุนไพรพื้นบ้าน หรือการฟื้นฟูระบบการช่วยเหลือกันในชุมชน (social healing) ที่ให้ความสำคัญต่อมิติทางสังคมของการเยียวยา 4. การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่: มลพิษทางอากาศ เสียง และแสงในเมืองเชื่อมโยงกับโรคเรื้อรัง เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งนักมานุษยวิทยาได้ศึกษา “biopolitics” หรือ “toxic stress” ที่ประชากรเมืองต้องเผชิญผ่านชีวิตประจำวันที่ถูกกำหนดด้วยนโยบายและสภาพแวดล้อมที่พวกเขาควบคุมไม่ได้ ก้าวสู่แนวทางบูรณาการ: มานุษยวิทยาแห่งการเปลี่ยนผ่าน (Anthropology of Transition) Anthropocene คือ ยุคที่มนุษย์มีอิทธิพลต่อโลกมากที่สุด ดังนั้นสุขภาพคือผลลัพธ์ของความสัมพันธ์ที่เรามีกับโลก ในยุค Anthropocene มนุษย์ไม่เพียงเป็นผู้ได้รับผลกระทบ แต่ยังเป็นผู้กระทำต่อโลก แนวคิดนิเวศวิทยาทางการแพทย์แบบใหม่จึงไม่ใช่เพียง “การรักษา” แต่คือการ “ฟื้นฟู” และ “ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต” ให้สอดคล้องกับระบบนิเวศของโลก เราต้องหันมามองสุขภาพแบบ องค์รวม (holistic) โดยการฟื้นฟูความรู้ชุมชน ที่เท่ากับเป็นการฟื้นฟูภูมิคุ้มกันทางวัฒนธรรม ภายใต้แนวคิดที่ว่ามนุษย์คือ ส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ไม่ใช่ผู้ควบคุม อ้างอิง • Dubos, R. (1965). Man adapting. Yale University Press. • Dubos, R. (1980). The wooing of earth: New perspectives on man’s use of nature. Scribner. • Fassin, D. (2012). Humanitarian reason: A moral history of the present. University of California Press. • Frumkin, H., & Haines, A. (2019). Global environmental change and noncommunicable disease risks. Annual Review of Public Health, 40(1), 261–282. https://doi.org/10.1146/annurev-publhealth-040218-043706 • King, N. B. (2002). Security, disease, commerce: Ideologies of postcolonial global health. Social Studies of Science, 32(5/6), 763–789. • Livingstone, F. B. (1958). Anthropological implications of sickle cell gene distribution in West Africa. American Anthropologist, 60(3), 533–562. https://doi.org/10.1525/aa.1958.60.3.02a00100 • Lock, M., & Nguyen, V.-K. (2010). An anthropology of biomedicine. Wiley-Blackwell. • Marten, G. G. (2001). Human ecology: Basic concepts for sustainable development. Earthscan. • McMichael, A. J. (2001). Human frontiers, environments and disease: Past patterns, uncertain futures. Cambridge University Press. • Myers, S. S., & Frumkin, H. (2020). Planetary health: Protecting nature to protect ourselves. Island Press. • Parkes, M. W., Bienen, L., Breilh, J., Hsu, L. N., McDonald, M., Patz, J. A., Rosenthal, J. P., Sahani, M., Sleigh, A., Waltner-Toews, D., & Yassi, A. (2005). All hands on deck: Transdisciplinary approaches to emerging infectious disease. EcoHealth, 2(4), 258–272. • Raffensperger, C., & Tickner, J. (1999). Protecting public health and the environment: Implementing the precautionary principle. Island Press. • Singer, M. (2009). Introduction to syndemics: A critical systems approach to public and community health. Jossey-Bass. • Singer, M., & Baer, H. (2007). Introducing medical anthropology: A discipline in action. AltaMira Press. • Waltner-Toews, D., Kay, J. J., Neudoerffer, R. C., & Gitau, T. M. (2003). Perspective changes everything: Managing ecosystems from the inside out. Frontiers in Ecology and the Environment, 1(1), 23–30.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พิธีกรรม สัญลักษณ์ และ Victor Turner โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

  พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ  Victor turner  ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก  Arnold Van Gennep  ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา  (Periodicity)  ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์   จะทำอะไร   จะปลูกอะไร   ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ   ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคม ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ   โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น  3  ระยะคือ 1.rite of separation  หรือขั้นของการแยกตัว   ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม   ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์  (purification rites)  เช่น   การโกนผม   การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย   รวมถึงการตัด   การสร้างรอยแผลเป็น   การขลิบ  (scarification or cutting)  ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 2.rite of transition  เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ   โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...