ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ความคิดและโลกทัศน์ของคนพื้นเมือง ในงาน The Relative Native: Essays on Indigenous Conceptual Worlds (2015) ของ Viverios de Vastro โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

หนังสือที่เป็นแรงบันดาลใจของผมในงานวิจัยใหม่ที่เตรียมขอ คือหนังสือชื่อ The Relative Native: Essays on Indigenous Conceptual Worlds (2015)เป็นหนังสือที่รวบรวมบทความหลายเรื่องที่สำรวจแนวคิดและโลกทัศน์ของชนพื้นเมือง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำความเข้าใจความคิดและความเชื่อที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกเขาผ่านมุมมองทางชาติพันธุ์วรรณนา หนังสือเล่มนี้ถูกเขียนโดย Eduardo Viveiros de Castro ซึ่งเป็นนักมานุษยวิทยาชาวบราซิลที่มีชื่อเสียงในด้านการศึกษาชนพื้นเมืองในแอมะซอน โดยเฉพาะชนเผ่า Araweté และแนวคิดเกี่ยวกับ "perspectivism" ในทางมานุษยวิทยาได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2015
โดยแนวคิดหลักของ de Castro คือ การเสนอให้เข้าใจว่าโลกไม่ได้มีเพียงมุมมองมนุษย์แบบตะวันตกที่เป็นกลาง (objective worldview) แต่โลกของชนพื้นเมืองอเมซอนนั้นเต็มไปด้วย มุมมองที่สัมพันธ์กัน ระหว่างสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ เขามองว่า ทุกสรรพสิ่งมี “มุมมองของตนเอง” ดังเช่นในทัศนะของชนพื้นเมืองอเมซอน เช่น กลุ่ม Yanomami หรือ Araweté สัตว์ ผี หรือวิญญาณต่างก็มี “จิต” หรือ subjectivity คล้ายมนุษยตัวอย่างเช่น เสือจากัวร์มองมนุษย์ว่าเป็นเหยื่อ (เช่นหมู) และมองตัวเองว่าเป็น “คน” ดังนั้น ทุกสิ่งมี “ร่างกายต่างกัน” แต่ “จิตแบบเดียวกัน” ดังที่เขาเน้นว่า “What changes is not the soul, but the body: different beings perceive the world in ways specific to their bodily form.” (Viveiros de Castro,2015) แนวคิด Multinaturalism (พหุธรรมชาติ) ตรงข้ามกับ “Multiculturalism” (หลายวัฒนธรรมในโลกเดียวกัน) โดย Multinaturalism มองว่า โลกมีหลายธรรมชาติ แต่มี วัฒนธรรมเดียว คือ ทุกสิ่งมีจิตและมีมุมมองเช่นเดียวกัน แนวคิดเรื่อง The Relative Native หมายถึง “ผู้เป็นเจ้าของความจริงตามบริบท” ดังเช่น ชนพื้นเมืองไม่ใช่ “ผู้ถูกศึกษา” อย่างเดียว แต่มี ทฤษฎีเกี่ยวกับโลก ของตนเอง การทำงานทางมานุษยวิทยาควร “ให้คนพื้นเมืองเป็นนักทฤษฎีด้วย ในงานมานุษยวิทยาร่วมสมัยใช้อธิบายวิธีที่ชนพื้นเมืองมองสิ่งเหนือธรรมชาติ วิญญาณ สัตว์ และสรรพสิ่ง ทำให้เกิดมิติใหม่ใน multispecies ethnography, ontology, และ posthumanism โดย Eduardo Viveiros de Castro เสนอให้เราไม่ตีความโลกแบบเดียว (one-world ontology) แต่ยอมรับว่ามี หลายจักรวาล (pluriverse) ดังเช่น คน สัตว์ ผี มองโลกต่างกันและอยู่ร่วมกัน
สาระสำคัญของหลังสือเล่มนี้ที่ได้ทบทวนมาประกอบด้วย 1. การทบทวนและสำรวจแนวคิดของชนพื้นเมือง ซึ่งการศึกษาในงานชิ้นนี้เน้นการทำความเข้าใจแนวคิดและความเชื่อของชนพื้นเมืองที่มีความหลากหลาย โดยพยายามเข้าใจจากมุมมองของชนพื้นเมืองเอง ไม่ใช่เพียงแค่มุมมองของนักวิจัยหรือคนนอกเท่านั้น 2. การเน้นความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมและความเชื่อ โดยมีการวิเคราะห์ว่าวัฒนธรรมและความเชื่อของชนพื้นเมืองมีความสัมพันธ์กันอย่างไร และวิธีการที่ความเชื่อเหล่านี้สะท้อนถึงการดำรงชีวิตและการปฏิบัติในชีวิตประจำวันอย่างไร 3. การทำความเข้าใจโลกทัศน์ของชนพื้นเมือง ผ่านสำรวจวิธีการที่ชนพื้นเมืองมองโลกและธรรมชาติรอบตัว เช่น แนวคิดเกี่ยวกับวิญญาณ จิตวิญญาณ และความสัมพันธ์กับธรรมชาติ 4.การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ โดยการวิพากษ์วิธีการที่วิทยาการตะวันตกมีแนวโน้มที่จะมองข้ามหรือทำให้แนวคิดของชนพื้นเมืองดูด้อยคุณค่า และเสนอแนวทางในการทำความเข้าใจแนวคิดของชนพื้นเมืองในแบบที่เป็นธรรมและมีความเคารพ ตัวอย่างรูปธรรมในหนังสือรวมบทความนี้ที่น่าสนใจ อาทิเช่น 1. แนวคิดเรื่องวิญญาณและจิตวิญญาณ โดยการวิเคราะห์ความเชื่อเกี่ยวกับวิญญาณและจิตวิญญาณในชนพื้นเมือง เช่น ความเชื่อว่าธรรมชาติมีวิญญาณหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ควรเคารพ 2. พิธีกรรมและการปฏิบัติทางศาสนา ผ่านการศึกษาพิธีกรรมทางศาสนาและการปฏิบัติทางศาสนาของชนพื้นเมือง เช่น พิธีบูชาเทพเจ้า การประกอบพิธีกรรมเพื่อรักษาโรค หรือพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับฤดูกาลและการเกษตร 3. ความสัมพันธ์กับธรรมชาติ โดยการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างชนพื้นเมืองกับธรรมชาติ เช่น การเกษตร การล่าสัตว์ การประมง และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อและวิถีชีวิตที่ยั่งยืน 4. การเล่าเรื่องและวรรณกรรมพื้นบ้าน ผ่านการศึกษาวรรณกรรมพื้นบ้าน นิทานพื้นเมือง และการเล่าเรื่องที่สะท้อนถึงค่านิยม ความเชื่อ และปรัชญาของชนพื้นเมือง แนวคิดและทฤษฎีที่สำคัญที่ใช้ในหนังสือเล่มนี้ประกอบด้วย Relational Ontologies คือการทำความเข้าใจว่าชนพื้นเมืองมองว่าโลกและสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่สิ่งที่แยกออกจากกัน Indigenous Epistemologies คือการทำความเข้าใจวิธีการที่ชนพื้นเมืองรับรู้และทำความเข้าใจโลกผ่านแนวคิดและกระบวนการของพวกเขาเอง Critical Indigenous Studies คือการวิพากษ์การศึกษาเกี่ยวกับชนพื้นเมืองที่มีแนวโน้มจะถูกครอบงำโดยมุมมองตะวันตก และเสนอแนวทางที่ให้ความเคารพและเข้าใจความคิดและความเชื่อของชนพื้นเมือง โดยแนวทางตามแบบ De Castro ใช้เชื่อมโยงกับตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมได้ดังนี้ ตัวอย่างรูปธรรมที่ 1 ความเชื่อเรื่องวิญญาณในชนเผ่าพื้นเมืองอเมซอน หนึ่งในบทความในหนังสือสำรวจความเชื่อเรื่องวิญญาณของชนเผ่าในป่าอเมซอน เช่น ชนเผ่า Yanomami ซึ่งชนเผ่า Yanomami เชื่อว่าวิญญาณมีอยู่ในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ พืช หรือแม้กระทั่งภูมิประเทศ เช่น ภูเขาและแม่น้ำ วิญญาณเหล่านี้มีอิทธิพลต่อชีวิตและสุขภาพของคนในเผ่า โดยวิธีการศึกษาเรื่องดังกล่าว นักวิจัยอาจใช้วิธีการสังเกตภาคสนามและการสัมภาษณ์ชนพื้นเมือง เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่พวกเขามองว่าวิญญาณมีบทบาทในชีวิตประจำวัน เช่นในพิธีกรรมหนึ่ง ชนเผ่า Yanomami จะประกอบพิธีเพื่อเรียกวิญญาณมาช่วยรักษาโรค โดยใช้สมุนไพรที่มีความเชื่อว่าสามารถเรียกวิญญาณได้ นักวิจัยอาจบันทึกวิธีการประกอบพิธีและความหมายของแต่ละขั้นตอนในพิธีกรรมนี้
ตัวอย่างรูปธรรมที่ 2 พิธีกรรมและการเล่าเรื่องในชุมชนชนพื้นเมือง เช่นการสำรวจการเล่าเรื่องและพิธีกรรมในชุมชนชนพื้นเมืองในออสเตรเลีย เช่น ชนเผ่า Yolngu โดยชนเผ่า Yolngu มีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนผ่านของชีวิต เช่น พิธีบวชสำหรับเด็กหนุ่ม การแต่งงาน และการฝังศพ ในทุกพิธีกรรมจะมีการเล่าเรื่องที่เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ของชนเผ่าและเทพเจ้าที่พวกเขานับถือ โดยใช้วิธีการศึกษา ผ่านการสังเกตและบันทึกพิธีกรรมและการเล่าเรื่องของชนเผ่า Yolngu รวมถึงการสัมภาษณ์ผู้สูงอายุและนักเล่าเรื่องในชุมชน เช่นในพิธีกรรมการฝังศพของชนเผ่า Yolngu จะมีการวาดภาพลงบนร่างกายของผู้ร่วมพิธี เพื่อเป็นการสื่อสารกับวิญญาณและบรรพบุรุษ นักวิจัยอาจบันทึกขั้นตอนการวาดภาพ การเลือกใช้สีและลวดลาย และการเล่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับภาพวาดเหล่านั้น
ตัวอย่างรูปธรรมที่ 3 ความสัมพันธ์กับธรรมชาติในชนเผ่าพื้นเมืองแอฟริกา บทความอีกบทหนึ่งอาจสำรวจความสัมพันธ์กับธรรมชาติในชนเผ่าพื้นเมืองในแอฟริกา เช่น ชนเผ่า Maasai ในเคนยา ซึ่งชนเผ่า Maasai มีระบบการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ยั่งยืน โดยมีความเชื่อว่าทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ เช่น น้ำและทุ่งหญ้า เป็นของขวัญจากเทพเจ้าและควรใช้ด้วยความเคารพและระมัดระวัง โดยใช้วิธีการศึกษาผ่านการสัมภาษณ์และการสังเกตชีวิตประจำวันของชนเผ่า Maasai เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น ในพิธีกรรมการขอฝน ชนเผ่า Maasai จะมีการเต้นรำและร้องเพลงเพื่อขอฝนจากเทพเจ้า นักวิจัยอาจบันทึกการเต้นรำและเพลงที่ใช้ในพิธีกรรมนี้ รวมถึงการสัมภาษณ์สมาชิกในชุมชนเกี่ยวกับความเชื่อที่เกี่ยวข้อง
ตัวอย่างรูปธรรมที่ 4 แนวคิดเรื่องเวลาในชนเผ่า Navajo ซึ่งชนเผ่า Navajo มีแนวคิดเรื่องเวลาที่แตกต่างจากแนวคิดทางตะวันตก โดยพวกเขาอาจมองว่าเวลามีความต่อเนื่องและไม่มีการแบ่งแยกชัดเจนระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคต โดยวิธีการศึกษานั้น นักวิจัยอาจใช้วิธีการสังเกตและการสัมภาษณ์สมาชิกของชนเผ่า Navajo เพื่อทำความเข้าใจแนวคิดเรื่องเวลาและการจัดการเวลาของพวกเขาในพิธีกรรมสำคัญ เช่น พิธีรักษาโรคที่ใช้เวลาเป็นสัปดาห์ นักวิจัยอาจบันทึกวิธีการที่เวลาถูกจัดการและใช้ในพิธีกรรมนี้ โดยเฉพาะการเล่าเรื่องที่เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์และวิญญาณของบรรพบุรุษที่ถือว่าอยู่ในปัจจุบัน
ตัวอย่างรูปธรรมที่ 5 การใช้ภาษาและการเล่าเรื่องในชนเผ่า Hopi ซึ่งชนเผ่า Hopi มีวิธีการใช้ภาษาที่ซับซ้อนและมีความสัมพันธ์กับโลกทัศน์และความเชื่อของพวกเขา ภาษาและการเล่าเรื่องมีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดความรู้และประเพณีจากรุ่นสู่รุ่น โดยใช้วิธีการศึกษาผ่านการสังเกตและบันทึกการใช้ภาษาของชนเผ่า Hopi โดยเฉพาะในบริบทของการเล่าเรื่องและพิธีกรรม โดยนักวิจัยอาจบันทึกการเล่าเรื่องในพิธีกรรมสำคัญ เช่น พิธีสวดมนต์เพื่อการเกษตร โดยบันทึกคำพูดและสัญลักษณ์ที่ใช้ในเรื่องราว และวิเคราะห์วิธีการที่เรื่องราวเหล่านี้สะท้อนถึงความเชื่อและการปฏิบัติทางศาสนา
ตัวอย่างรูปธรรมที่ 6 การปฏิบัติทางการแพทย์ในชนเผ่า Zulu โดยหมอพื้นบ้านในชนเผ่า Zulu ใช้วิธีการรักษาแบบดั้งเดิมที่รวมถึงการใช้สมุนไพร การสวดมนต์ และการทำพิธีกรรมเพื่อรักษาโรค พวกเขามีความเชื่อว่าโรคบางอย่างเกิดจากวิญญาณหรือการไม่เคารพต่อบรรพบุรุษ โดยใช้วิธีการศึกษาผ่านการสัมภาษณ์และการสังเกตการปฏิบัติทางการแพทย์ของหมอพื้นบ้านและสมาชิกในชุมชนชนเผ่า Zulu โดยนักวิจัยอาจบันทึกกระบวนการรักษาโรค เช่น การเตรียมสมุนไพร การสวดมนต์ และการทำพิธีกรรม รวมถึงการสัมภาษณ์หมอพื้นบ้านเกี่ยวกับความเชื่อและหลักการที่อยู่เบื้องหลังการรักษาเหล่านี้
ตัวอย่างรูปธรรมที่ 7 การจัดการทรัพยากรธรรมชาติในชนเผ่า Inuit ซึ่งชนเผ่า Inuit มีวิธีการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่เน้นความยั่งยืนและเคารพต่อธรรมชาติ พวกเขาใช้ความรู้ดั้งเดิมในการตัดสินใจเกี่ยวกับการล่าสัตว์และการประมง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว โดยใช้วิธีการศึกษาผ่านการสังเกตและการสัมภาษณ์สมาชิกของชนเผ่า Inuit เกี่ยวกับวิธีการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การล่าสัตว์และการประมง ซึ่งนักวิจัยอาจบันทึกวิธีการล่าและการประมง รวมถึงการประชุมและการตัดสินใจของชุมชนเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากร โดยเน้นวิธีการที่ความรู้ดั้งเดิมถูกใช้และถ่ายทอดอย่างไร
ตัวอย่างรูปธรรมที่ 8 ระบบเศรษฐกิจและการแลกเปลี่ยนในชนเผ่า Trobriand โดยชนเผ่า Trobriand มีระบบการแลกเปลี่ยนที่เรียกว่า "Kula Ring" ซึ่งเป็นเครือข่ายการแลกเปลี่ยนวัตถุสำคัญสองชนิด ได้แก่ กำไลแขน (mwali) และสร้อยคอ (soulava) ที่แลกเปลี่ยนกันระหว่างเกาะต่างๆ เพื่อสร้างและรักษาความสัมพันธ์ทางสังคม โดยใช้วิธีการศึกษา ที่นักวิจัยอาจใช้วิธีการสังเกตและการสัมภาษณ์เพื่อทำความเข้าใจระบบเศรษฐกิจและการแลกเปลี่ยนของชนเผ่า Trobriand ในหมู่เกาะ Trobriand นักวิจัยอาจบันทึกกระบวนการแลกเปลี่ยน Kula Ring รวมถึงการเตรียมพิธีกรรม การเดินทางระหว่างเกาะ และการแลกเปลี่ยนวัตถุสำคัญ โดยวิเคราะห์วิธีการที่ระบบ Kula Ring สร้างและรักษาความสัมพันธ์ทางสังคมและการเมืองในชุมชน
ตัวอย่างรูปธรรมที่ 9 ความเชื่อและพิธีกรรมเกี่ยวกับการเกษตรในชนเผ่า Ifugao ซึ่ง ชนเผ่า Ifugao มีระบบการเกษตรแบบขั้นบันไดที่ซับซ้อน และมีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเพาะปลูกข้าว เช่น พิธีกรรมการขอฝน การขอบคุณเทพเจ้าแห่งข้าว และพิธีกรรมการเก็บเกี่ยวที่สะท้อนถึงความเชื่อในเทพเจ้าและวิญญาณของบรรพบุรุษ โดยวิธีการศึกษา อาจใช้การสังเกตและบันทึกพิธีกรรมและการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรในชนเผ่า Ifugao ในฟิลิปปินส์ รวมถึงการสัมภาษณ์ผู้สูงอายุและผู้นำชุมชน ซึ่งนักวิจัยอาจบันทึกกระบวนการปลูกข้าวในนาขั้นบันได การเตรียมพิธีกรรม การสวดมนต์และการร้องเพลงที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร รวมถึงการสัมภาษณ์เกี่ยวกับความเชื่อและประเพณีที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร
บทสรุป ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงวิธีการที่นักวิจัยใช้ในการศึกษาความเชื่อและพิธีกรรมของชนพื้นเมือง โดยเน้นการทำความเข้าใจจากมุมมองของชนพื้นเมืองเอง และการนำเสนอข้อมูลในลักษณะที่เป็นรูปธรรมและชัดเจน ทั้งนี้เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจแนวคิดและความเชื่อของชนพื้นเมืองได้อย่างลึกซึ้งและเคารพในวัฒนธรรมที่แตกต่างหลากหลายของพวกเขา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

พิธีกรรม สัญลักษณ์ และ Victor Turner โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

  พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ  Victor turner  ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก  Arnold Van Gennep  ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา  (Periodicity)  ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์   จะทำอะไร   จะปลูกอะไร   ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ   ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคม ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ   โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น  3  ระยะคือ 1.rite of separation  หรือขั้นของการแยกตัว   ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม   ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์  (purification rites)  เช่น   การโกนผม   การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย   รวมถึงการตัด   การสร้างรอยแผลเป็น   การขลิบ  (scarification or cutting)  ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 2.rite of transition  เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ   โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...