ช่วงฝนตกพรำ ๆ มาพร้อมความคทิดดที่พรั่งพรู …ผมก็ยังชอบคิดเขียนเป็นไอเดีย
อำนาจทางภาษา (Anglophone) ครอบงำโลกวิชาการมานุษยวิทยามายาวนาน การเขียนในภาษาอื่น ๆ เช่น อิตาลี รัสเซีย เม็กซิโก และอื่นๆที่ไม่ใช่ตะวันตก จึงถูกลดทอนหรือมองข้าม…เราควรกระตุ้นให้เกิดการถกเถียงเกี่ยวกับการครอบงำ ( hegemony) ทั้งการสอน การตีพิมพ์การสร้างคลังความรู้ทางวิชาการ โดยการสำรวจ ประวัติศาสตร์มานุษยวิทยาจากหลายภูมิภาค นอกเหนือจากตะวันตก การให้เสียงแก่องค์ความรู้ชายขอบ academic peripheries และตั้งคำถามกับ hegemony ที่สำคัญคือการเปิดพื้นที่ให้ “ทฤษฎีชายขอบ” เป็นแกนกลางในการวิเคราะห์ไม่ใช่แค่เสริม
ความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่าง “ศูนย์กลาง” (centers) เช่น ประเทศตะวันตก (โดยเฉพาะโลก Anglo-American) และ “ปริมณฑล/รอบนอก” (peripheries) เช่น ประเทศในลาตินอเมริกา ยุโรปใต้ และเอเชีย มีอิทธิพลต่อการก่อรูปทางความรู้ของมานุษยวิทยาอย่างไรบ้าง…ผมนึกถึงตอนเรียนพัฒนาชุมชน คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ตอนที่เรียนวิชาทฤษฎีการพัฒนา ท่านอาจารย์รัตนาสอน ผมได้อ่านงานเกี่ยวกับทฤษฎีพึ่งพิง ทฤษฏีหลังการพึ่งพิง ที่มาจากนักคิดทฤษฎีของลาตินอเมริกา เช่น Theotonio Dos Santos ที่เขียนหนังสือ The Structure of Dependence ….แน่นอนว่านักทฤษฎีในประเทศที่ถูกกดขี่ ประเมศอาณานิคม และประเทศพึ่งพิงเท่านั้นถึงจะรู้ความทุกข์ทรมาน และโครงสร้างทางอำนาจที่ไม่เท่าเทียม และกับดักของประเทศที่พัฒนาแล้วในการให้ความช่วยเหลือพึ่งพิง ก่อนที่ต่อมาเราจะพูดถึงคำว่าวาทกรรม…ที่วิเคราะห์ภาษา ความรู้ อำนาจและปฎิบัติการของวาทกรรม ตามแนวคิดของมิเชล ฟูโก้
ความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่าง “ศูนย์กลาง” (centers) เช่น ประเทศตะวันตก (โดยเฉพาะโลก Anglo-American) และ “ปริมณฑล” (peripheries) เช่น ประเทศในลาตินอเมริกา ยุโรปใต้ และเอเชีย มีอิทธิพลต่อการก่อรูปทางความรู้ของมานุษยวิทยาอย่างไรบ้าง
การอธิบาย Center–Periphery Dynamics ภายใต้อำนาจของภาษาอังกฤษในการครอบงำทฤษฎีและกรอบความคิค รวมทั้งการเป็นศูนย์กลางผลิตความรู้ ส่วนปริมณฑลถูกมองเป็นเพียง “แหล่งเก็บข้อมูล” หรือ “สนาม” ที่สำคัญคือ วงศาวิทยาหรือสาแหรกความรู้แบบทางเลือก Alternative Genealogies ในประเทศนอกกระแสหลัก (เช่น อิตาลี เม็กซิโก) มีการพัฒนาทฤษฎีของตนเองที่ไม่อยู่ภายใต้อังกฤษ-ฝรั่งเศส เช่น การใช้ Antonio Gramsci, Ernesto de Martino เป็นต้น
ความท้าทายภายใต้แนวคิด แบบ Decentering Anthropology หรือมานุษยวิทยาแบบทำลายศูนย์กลาง ภายใต้ข้อเสนอว่ามานุษยวิทยาควรถูก “decenter” หรือแยกออกจากระบบคิดตะวันตกที่ผูกขาดความถูกต้อง การกลับมาสนับสนุนการมอง มานุษยวิทยาท้องถิ่น (local anthropologies) ด้วยสายตาเท่ากัน เท่าเทียมกันในสถานะทางความรู้และการแก้ปัญหาในบริบทที่มีความเฉพาะ
ดังเช่น งานของ Fabio Dei เขาเป็นศาสตราจารย์ด้านมานุษยวิทยาวัฒนธรรม (Cultural Anthropology) ที่ มหาวิทยาลัยปิซา (University of Pisa) เขาเป็นคนสำรวจ การพัฒนาของมานุษยวิทยาวัฒนธรรมในอิตาลี ตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 ผ่านอิทธิพลจาก Gramsci, de Martino และ Marxist approach งานวิจัยของเขามุ่งเน้นที่อภิปรัชญาวิทยาศาสตร์สังคม (epistemology of social sciences), วัฒนธรรมประชาชนและมวลชนในอิตาลี, รวมถึงประเด็นเกี่ยวกับของขวัญ (gift) และการบริจาคเลือด (blood donation)
เขาวิเคราะห์ว่าเหตุใดงานเขียนของนักมานุษยวิทยาอิตาลี เช่น Gramsci และ de Martino จึงไม่เป็นที่รู้จักในโลก Anglo-America ที่สะท้อนปัญหาการไม่เข้าถึงพื้นที่ตีพิมพ์ระดับนานาชาติ เนื่องจากอุปสรรคภาษาและนโยบายทางวิชาการของประเทศ
ในงานของนักมานุษยวิทยาชาวเม็กซิโก อย่าง Rodrigo Llanes Salazar ชี้ให้เห็นว่าความไม่เท่าเทียมในสังคมเม็กซิโกสะท้อนถึงภายในวงวิชาการเอง ดังสิ่งที่เขากล่าวว่า
“It is not possible to have an absolutely plural society if relations of inequality and exploitation persist — also within the discipline itself.” ที่แปลว่า สังคมพหุวัฒนธรรมอย่างแท้จริง จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย หากยังมีความไม่เท่าเทียมและการเอารัดเอาเปรียบดำรงอยู่ และที่สำคัญ เขาเน้นว่า ความไม่เท่าเทียมนี้ไม่เพียงแต่มีในสังคมทั่วไปเท่านั้น แต่ยังปรากฏอยู่ภายใน “วงวิชาการ” เองด้วย เช่น การตีพิมพ์ในวารสารชั้นนำมักต้องใช้ภาษาอังกฤษ หรือ นักมานุษยวิทยาตะวันตกมักเป็นผู้ที่ “ตีความ” ข้อมูลจากพื้นที่อย่างเม็กซิโก โดยไม่ให้เครดิตหรือบทบาทแก่ผู้วิจัยท้องถิ่นเลย เป็นต้น
เขสเรียกร้องให้ วงวิชาการสะท้อนตัวเอง (self-reflexivity) ดังนั้นถ้าจะพูดถึง “ความหลากหลาย” หรือ “decolonizing anthropology” อย่างแท้จริง รวมถึงต้องยอมรับว่าตัวสถาบันวิชาการเองก็ยังมีลำดับชั้น (hierarchy) อยู่ และต้องเปลี่ยนแปลงจากภายในแวดวงวิชาการด้วย ไม่ใช่แค่เปลี่ยนแปลงที่สนามหรือทฤษฎีในการอธิบายเท่านั้น แนวคิดนี้ใกล้เคียงกับคำว่า “epistemic injustice” หรือ “ความอยุติธรรมทางความรู้” ที่เสนอโดย Miranda Fricker และสอดคล้องกับแนวทางที่เรียกว่า “decolonizing the academy” หรือการลดอำนาจผูกขาดทางความรู้ของตะวันตก
นอกจากนี้ยังมีนักมานุษยวิทยาในประเทศสังคมนิยม คอมมิวนิสต์ ที่เสนอว่าการพัฒนามานุษยวิทยาช่วงสงครามเย็นในประเทศคอมมิวนิสต์ มักถูกมองข้าม นักวิชาการในประเทศเหล่านี้มักใช้มานุษยวิทยาเพื่อสร้างชาติ (nation-building anthropology) ที่ไม่ใช่แค่การสร้างอาณานิคมแบบอังกฤษ
สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมนึกถึงการเรียนการสอน เช่น ในวิชามานุษยวิทยาเพศวิถี (Sexuality) แทนที่จะสอนแต่ Judith Butler อาจเพิ่มงานของนักวิจัยเอเชีย เช่น Tom Boellstorff (ศึกษาเกย์ในอินโดนีเซีย) หรือ
Josephine Ho (เฟมินิสม์ในไต้หวัน) หรือในมานุษยวิทยาศาสนา ไม่เน้นแต่ Max Weber หรือ Durkheim แต่เพิ่มกรณีศึกษาการเปลี่ยนผ่านของพิธีกรรมในชุมชนไทใหญ่, มุสลิมปาตานี, หรือชุมชนพุทธในชายแดนลาว เป็นต้น
ออกแบบการสอนที่ใช้กรณีศึกษาจาก “นอกศูนย์กลาง”และไม่ให้เฉพาะนักคิดตะวันตกเป็นเจ้าของ “เครื่องมือวิเคราะห์” ในขณะเดียวกันหากสร้างทฤษฎีตัวเองมาวิเคราะห์ไม่ได้ ก็ใช้กรณีศึกษามาเป็นตัววิพากษ์ความคิดแบบตะวันตก เช่น วิพากษ์ ANT ,วิพากษ์ Post humanism และอื่น ๆ
ในระดับนโยบาย / องค์กร / พื้นที่ปฏิบัติการ ซึ่งสะท้อนอำนาจในการจัดการความรู้ เราควรตั้งคำถามหรือถามตัวเองว่า “ใครเป็นเจ้าของเวทีวิชาการ?” ใครถูกเชิญพูด? ใครได้ทุน? ภาษาอะไรเป็นภาษาวิชาการ? อาจสร้างเวทีสัมมนาทางวิชาการระดับท้องถิ่น ออกแบบให้ใช้ภาษาไทย ภาษาใต้ ภาษาอีสาน ภาษาเมียนมา หรือมลายูในการนำเสนอได้ เชิญนักวิจัยชุมชนเข้ามาพูดเท่ากับอาจารย์มหาวิทยาลัย ดังนั้น ความรู้ในท้องถิ่น ไม่ควรถูกลดทอนคุณค่าเพียงเพราะพูดไม่ตรงสำเนียง หรือไม่อยู่ในวารสาร “SCOPUS” การตั้งคำถามว่ากับระบบการให้ทุนวิจัย” และ “ระบบตีพิมพ์” สนับสนุนความรู้แบบไหน และกีดกันใครออกไป?” แต่เป็นการขยายแนวคิด pluralism จากแค่ตัวบทหรือวาทกรรม ไปยัง โครงสร้างการผลิตความรู้จริงๆ….ในปัจจุบัน
พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ Victor turner ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก Arnold Van Gennep ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา (Periodicity) ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ จะทำอะไร จะปลูกอะไร ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคม ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะคือ 1.rite of separation หรือขั้นของการแยกตัว ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์ (purification rites) เช่น การโกนผม การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย รวมถึงการตัด การสร้างรอยแผลเป็น การขลิบ (scarification or cutting) ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 2.rite of transition เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น