ผมเคยบอกว่าผมสนใจมานุษยวิทยาว่าด้วยสัตว์ประหลาด อยากเปิดวิชานี่ สอนเรื่องเหล่านี้
ผมนึกถึงหนังสือชื่อ "Monster Anthropology: Ethnographic Explorations of Transforming Social Worlds Through Monsters" เขียนโดย Yasmine Musharbash และคณะ พวกเขาได้ทำการสำรวจบทบาทและความหมายของ Monster ( โดยมากหมายถึง สัตว์ประหลาด อสูรกาย อมนุษย์ ผี และอื่นๆ ทั้งนี้อาจใช้ในความหมายถึงคนที่มีพฤติกรรมเลวร้ายน่ากลัวด้วย)ในสังคมมนุษย์ โดยใช้มุมมองทางชาติพันธุ์วิทยา หนังสือเล่มนี้รวมบทความจากนักวิชาการหลายคนที่ใช้การศึกษาเรื่องมอนสเตอร์เพื่อทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม
ประเด็นที่น่าสนใจในหนังสือคิดว่ามีดังนี้คือ
1. Monster เป็นภาพสะท้อนของสังคม
โดย มอนสเตอร์ถูกมองว่าเป็นภาพสะท้อนของความกลัว ความหวัง และปัญหาทางสังคมของยุคสมัย เช่น การเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคม
2. Monster และอัตลักษณ์ การสร้างและการเล่าเรื่องเกี่ยวกับมอนสเตอร์ช่วยในการสร้างและกำหนดอัตลักษณ์ของกลุ่มคนต่าง ๆ ทั้งในแง่ของการกำหนดว่าใครเป็น "พวกเรา" และใครเป็น "คนอื่น"
3. Monster กับความเปลี่ยนแปลงทางสังคม มอนสเตอร์ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเข้าใจการเปลี่ยนแปลงและการเปลี่ยนผ่านทางสังคม ตัวอย่างเช่น การย้ายถิ่นฐาน ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ หรือการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็วจนปรับตัวไม่ทัน
4. การวิพากษ์Monster ในวัฒนธรรมร่วมสมัย โดยนักวิจัยหลายคนในหนังสือเล่มนี้วิพากษ์การใช้มอนสเตอร์ในสื่อร่วมสมัย เช่น ภาพยนตร์ วรรณกรรม หรือเกม เพื่อสะท้อนหรือท้าทายค่านิยมทางสังคม
5. ความหลากหลายของ Monster ในวัฒนธรรมต่างซึ่งหนังสือเล่มนี้นำเสนอเรื่องราวของมอนสเตอร์จากวัฒนธรรมที่หลากหลายทั่วโลก ทำให้เห็นภาพความหลากหลายของการตีความและการใช้มอนสเตอร์ในบริบทที่แตกต่างกัน
ดังนั้น Monster Anthropology ไม่เพียงแต่เป็นหนังสือที่ศึกษาเรื่องมอนสเตอร์ในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสำรวจและทำความเข้าใจสังคมมนุษย์ในมุมมองที่แตกต่างออกไป
หนังสือเล่มนี้ได้ใช้แนวคิดหลักทางมานุษยวิทยา จากงานชาติพันธุ์วรรณนา (ethnography) และทฤษฎีเกี่ยวกับมอนสเตอร์ (monster theory) เพื่อสำรวจบทบาทและความหมายของมอนสเตอร์ในสังคมมนุษย์ แนวคิดหลักที่ใช้ในหนังสือมีดังนี้
1. ชาติพันธุ์วรรณนา (Ethnography)
การใช้ชาติพันธุ์วิทยา ชาติพันธุ์วรรณนาในการศึกษามอนสเตอร์หมายถึงการใช้วิธีการศึกษาและวิเคราะห์วัฒนธรรมโดยตรงจากมุมมองของผู้ที่อยู่ในวัฒนธรรมนั้น ๆ การศึกษาเรื่องเล่ามอนสเตอร์ในชุมชนต่าง ๆ ช่วยให้เข้าใจถึงวิธีที่มอนสเตอร์สะท้อนถึงประสบการณ์ ความกลัว และค่านิยมของคนในสังคมนั้น
2. ทฤษฎีเกี่ยวกับมอนสเตอร์ (Monster Theory)
ทฤษฎีเกี่ยวกับมอนสเตอร์พิจารณาว่ามอนสเตอร์เป็นตัวแทนของ "อื่น" (Other) ที่ท้าทายและวิพากษ์วิจารณ์ขอบเขตของสังคมและวัฒนธรรม มอนสเตอร์สะท้อนถึงความกลัว ความหวัง และปัญหาทางสังคม การศึกษามอนสเตอร์ช่วยให้เห็นถึงความตึงเครียดและความขัดแย้งที่ซ่อนอยู่ในสังคม
3. การประกอบสร้างอัตลักษณ์ (Identity Construction) โดย มอนสเตอร์ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสำรวจและท้าทายการสร้างและการกำหนดอัตลักษณ์ทางสังคม วัฒนธรรม และเพศ มอนสเตอร์มักสะท้อนถึงการต่อสู้กับบทบาททางเพศและสังคมที่ถูกกำหนด และช่วยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวของอัตลักษณ์ในบริบทที่แตกต่างกัน
4. ความเป็นอื่นและการทำให้เป็นชายขอบ (Otherness and Marginalization) ซึ่งมอนสเตอร์มักถูกใช้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่ถูกมองว่าเป็น "อื่น" หรือ "ไม่เหมือนเรา" ในสังคม การศึกษามอนสเตอร์ช่วยให้เข้าใจถึงกระบวนการของการสร้างความเป็นอื่นและการขับไล่คนที่แตกต่างออกไปจากสังคมหลัก
5. การเปลี่ยนแปลงทางสังคม (Social Change)
มอนสเตอร์สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม เช่น การย้ายถิ่นฐาน การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ หรือการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี การศึกษามอนสเตอร์ในบริบทเหล่านี้ช่วยให้เห็นถึงวิธีที่สังคมปรับตัวและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง
6. การวิพากษ์วัฒนธรรมร่วมสมัย (Critique of Contemporary Culture)
นักวิจัยในหนังสือเล่มนี้มักใช้มอนสเตอร์เพื่อวิพากษ์และท้าทายวัฒนธรรมร่วมสมัย เช่น การใช้มอนสเตอร์ในสื่อมวลชน ภาพยนตร์ และวรรณกรรมเพื่อสะท้อนถึงค่านิยม ความกลัว และความตึงเครียดในสังคมปัจจุบัน
ดังนั้นการใช้แนวคิดเหล่านี้ในการศึกษาเรื่องมอนสเตอร์ช่วยให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งและหลากหลายเกี่ยวกับบทบาทของมอนสเตอร์ในวัฒนธรรมและสังคมมนุษย์ และเปิดเผยวิธีที่มอนสเตอร์สามารถสะท้อนและวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาและความท้าทายในสังคมได้
ในหนังสือ Monster Anthropology: Ethnographic Explorations of Transforming Social Worlds Through Monsters มีตัวอย่างที่น่าสนใจหลายประการที่แสดงให้เห็นถึงการใช้มอนสเตอร์ในการศึกษาทางชาติพันธุ์วิทยาเพื่อเข้าใจการเปลี่ยนแปลงและความซับซ้อนของสังคมมนุษย์ ตัวอย่างที่น่าสนใจในหนังสืออาทิเช่น
1. Monsterและการย้ายถิ่นฐาน การวิจัยเกี่ยวกับมอนสเตอร์ในบริบทของการย้ายถิ่นฐานสามารถเผยให้เห็นถึงความกลัวและความหวังของผู้คนที่ย้ายถิ่นฐาน มอนสเตอร์อาจถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของความไม่มั่นคงหรือความไม่แน่นอนที่มากับการย้ายถิ่นฐาน
มอนสเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับการย้ายถิ่นสามารถสะท้อนถึงความกลัว ความหวัง และความไม่แน่นอนที่มากับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเคลื่อนย้ายของผู้คน ต่อไปนี้คือตัวอย่างบางส่วนของมอนสเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับการย้ายถิ่นในวัฒนธรรมต่าง ๆ เช่น
1.1. La Llorona (ลาติโอโรนา) ในวัฒนธรรมเม็กซิกันและละตินอเมริกัน โดยลาติโอโรนาเป็นผีหญิงในตำนานของเม็กซิโกและหลายประเทศในละตินอเมริกา เธอถูกเล่าว่าเป็นหญิงที่ร้องไห้ตามหาลูกที่เธอฆ่าเองเพราะความเสียใจและโกรธแค้น เรื่องเล่าของลาติโอโรนามักถูกใช้เตือนเด็ก ๆ ให้ระวังคนแปลกหน้าและอันตรายในเวลากลางคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการย้ายถิ่นฐาน เรื่องราวของเธอยังสะท้อนถึงความเจ็บปวดและความไม่แน่นอนที่มากับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
1.2. Aswang (อัสวัง) ในวัฒนธรรมฟิลิปปินส์
ถือว่าอัสวังเป็นมอนสเตอร์หรือผีที่มีลักษณะเปลี่ยนแปลงได้ในตำนานฟิลิปปินส์ มันสามารถเป็นแวมไพร์ มนุษย์หมาป่า หรือแม่มดก็ได้ เรื่องราวของอัสวังมักถูกใช้ในการเตือนผู้คนถึงอันตรายที่อาจมากับคนแปลกหน้าและการย้ายถิ่นฐาน ความกลัวอัสวังสะท้อนถึงความไม่แน่นอนและความหวาดกลัวในช่วงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการย้ายถิ่น
1.3. Chupacabra (ชูปากาบรา) ในวัฒนธรรมลาตินอเมริกัน โดย ชูปากาบราเป็นสัตว์ประหลาดที่มีชื่อเสียงในลาตินอเมริกา โดยเฉพาะในปอร์โตริโกและเม็กซิโก มันถูกเล่าว่าเป็นสัตว์ที่ดูดเลือดปศุสัตว์และสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้าน เรื่องราวของชูปากาบรามักเชื่อมโยงกับความไม่แน่นอนและความกลัวที่มากับการย้ายถิ่นฐานหรือการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในชนบท
1.4. Jersey Devil (ปีศาจเจอร์ซีย์)ในสหรัฐอเมริกา
ถือว่าปีศาจเจอร์ซีย์เป็นมอนสเตอร์ในตำนานของรัฐนิวเจอร์ซีย์ในสหรัฐอเมริกา มันถูกเล่าว่ามีลักษณะคล้ายกับมังกรหรือนกยักษ์ เรื่องราวของปีศาจเจอร์ซีย์มักเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงและการย้ายถิ่นฐานของชาวบ้านในพื้นที่ชนบท ความหวาดกลัวปีศาจเจอร์ซีย์สะท้อนถึงความกลัวที่มากับการตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ใหม่ ๆ และการเผชิญกับธรรมชาติที่ไม่คุ้นเคย
1.5. Skinwalkers (สกินวอล์คเกอร์) ในวัฒนธรรมนาวาโฮ (Navajo) ในสหรัฐอเมริกา ถือว่า สกินวอล์คเกอร์เป็นวิญญาณหรือมนุษย์ที่สามารถเปลี่ยนร่างเป็นสัตว์ได้ในตำนานของชนเผ่านาวาโฮ มันถูกมองว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายที่คอยข่มขวัญผู้คน เรื่องราวของสกินวอล์คเกอร์มักสะท้อนถึงความกลัวและความไม่แน่นอนที่มาพร้อมกับการย้ายถิ่นฐานและการเผชิญกับสถานการณ์ใหม่ ๆ
ดังนั้นมอนสเตอร์ในเรื่องเล่าเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นตัวแทนของความกลัวและความไม่แน่นอน แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ชุมชนใช้ในการเตือนและให้ข้อคิดเกี่ยวกับความเสี่ยงและความท้าทายที่มากับการย้ายถิ่นฐานและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
2. Monsterในวัฒนธรรมชนพื้นเมือง ตัวอย่างเช่น การศึกษามอนสเตอร์ในวัฒนธรรมชนพื้นเมืองของออสเตรเลีย ที่มอนสเตอร์ในตำนานท้องถิ่นสามารถสะท้อนถึงประวัติศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ
ในการศึกษาชนพื้นเมืองออสเตรเลีย มอนสเตอร์และสิ่งมีชีวิตในตำนานมีบทบาทสำคัญในเรื่องราวทางวัฒนธรรมและพิธีกรรมของพวกเขา นี่คือตัวอย่างบางส่วนในเล่ม
2.1. Bunyip โดยบันยิปเป็นมอนสเตอร์น้ำที่อยู่ในตำนานของชนพื้นเมืองหลายเผ่าในออสเตรเลีย มันถูกอธิบายว่าอาศัยอยู่ในบ่อน้ำ ทะเลสาบ และแม่น้ำ โดยมีรูปร่างที่แตกต่างกันไปตามเรื่องเล่าของแต่ละเผ่า บันยิปมักถูกใช้เพื่อเตือนเด็กๆ ไม่ให้เข้าไปในแหล่งน้ำลึกหรืออันตราย และเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจที่ไม่สามารถควบคุมได้ของธรรมชาติ
2.2 Yowie โยวี่เป็นสัตว์ประหลาดที่คล้ายกับบิ๊กฟุตของอเมริกาเหนือ มันเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่มีขนดกและเดินสองขา ชนพื้นเมืองหลายเผ่าเชื่อว่าโยวี่เป็นผู้พิทักษ์ป่าและภูเขา เรื่องเล่าของโยวี่มักจะเน้นไปที่ความเคารพต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
2.3. Mimi Spirits โดยมิมี่เป็นวิญญาณหรือสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่เชื่อว่าอาศัยอยู่ในหินและภูเขา พวกมันเป็นผู้สอนทักษะต่าง ๆ เช่น การล่าสัตว์และการทำเครื่องมือให้กับมนุษย์ ตำนานของมิมี่มักเกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดความรู้และประเพณีจากรุ่นสู่รุ่น
2.4. Quinkan โดยควินกันเป็นวิญญาณที่มีทั้งด้านดีและร้ายในตำนานของชนพื้นเมืองที่อยู่ในแถบเคปยอร์ก (Cape York) ของควีนส์แลนด์ มีการแบ่งควินกันออกเป็นสองประเภทหลักคือ "Turramulli" (ควินกันที่เป็นมิตรและปกป้อง) และ "Imjim" (ควินกันที่ดุร้ายและอันตราย) เรื่องเล่าของควินกันมักใช้ในการสอนเรื่องคุณธรรมและพฤติกรรมที่เหมาะสมในชุมชน
2.5. Rainbow Serpent คือ งูสายรุ้งเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่สำคัญที่สุดในตำนานของชนพื้นเมืองออสเตรเลีย มันถูกเชื่อว่าเป็นผู้สร้างโลกและทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในนั้น งูสายรุ้งมีบทบาทในพิธีกรรมหลายประเภท รวมถึงพิธีกรรมการขอฝนและการเฉลิมฉลองทางศาสนา มันเป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่ ความอุดมสมบูรณ์ และการเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ
ดังนั้นมอนสเตอร์และสิ่งมีชีวิตในตำนานเหล่านี้มีความสำคัญไม่เพียงแต่ในด้านวัฒนธรรมและศาสนา แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของวิธีการที่ชนพื้นเมืองออสเตรเลียใช้ในการสอนและส่งผ่านความรู้และประเพณีของพวกเขาจากรุ่นสู่รุ่น เรื่องราวเหล่านี้สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติและจักรวาลในมุมมองของชนพื้นเมืองออสเตรเลีย
3. Monster ในวัฒนธรรมป๊อป ตัวอย่างจากภาพยนตร์และวรรณกรรมที่แสดงถึงการใช้มอนสเตอร์ในการสำรวจประเด็นทางสังคมร่วมสมัย เช่น การกีดกันทางสังคม การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี หรือความกลัวที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม
มอนสเตอร์ในวัฒนธรรมป๊อปมีบทบาทสำคัญในการสะท้อนถึงความกลัว ความหวัง และค่านิยมของสังคมร่วมสมัย ตัวอย่างที่น่าสนใจของมอนสเตอร์ในวัฒนธรรมป๊อปมีดังนี้
3.1. Godzilla ก๊อดซิลล่ามาจากภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่อง "Godzilla" (1954) ซึ่งเป็นมอนสเตอร์ยักษ์ที่เกิดจากการทดสอบนิวเคลียร์ เรื่องราวของก๊อดซิลล่าสะท้อนถึงความหวาดกลัวและผลกระทบของพลังนิวเคลียร์หลังสงครามโลกครั้งที่สองและการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ
3.2. Frankenstein's Monster มอนสเตอร์แฟรงเกนสไตน์จากนิยายเรื่อง "Frankenstein" ของ Mary Shelley เป็นสัญลักษณ์ของผลที่ตามมาจากการเล่นกับธรรมชาติและการสร้างชีวิต เรื่องราวของแฟรงเกนสไตน์มักถูกตีความว่าเป็นคำเตือนเกี่ยวกับการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบทางศีลธรรมและสังคม
3.3 The Xenomorph ซีนอมอร์ฟจากภาพยนตร์ชุด "Alien" เป็นมอนสเตอร์ที่น่ากลัวและมีลักษณะทางกายภาพที่น่าขนลุก มันเป็นสัญลักษณ์ของความหวาดกลัวต่อสิ่งที่ไม่รู้จักและการคุกคามจากภายนอก โดยเฉพาะในบริบทของการสำรวจอวกาศและความหวาดกลัวเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตต่างดาว
3.4. Zombies ซอมบี้จากวรรณกรรมและภาพยนตร์เรื่อง "Night of the Living Dead" ของ George A. Romero กลายเป็นสัญลักษณ์ของความกลัวต่อการแพร่ระบาดและการสูญเสียความควบคุม เรื่องราวของซอมบี้มักสะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับโรคระบาด การล่มสลายของสังคม และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่รวดเร็ว
3.5. Vampires แวมไพร์จากวรรณกรรมและภาพยนตร์เช่น "Dracula" ของ Bram Stoker และ "Twilight" ของ Stephenie Meyer สะท้อนถึงความกลัวและเสน่ห์ของความเป็นอมตะและพลังอำนาจทางเพศ แวมไพร์มักถูกใช้ในการสำรวจประเด็นทางเพศ ความเย้ายวน และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์
3.6. The Joker โจ๊กเกอร์จากหนังสือการ์ตูนและภาพยนตร์ "Batman" เป็นตัวอย่างของมอนสเตอร์มนุษย์ที่สะท้อนถึงความวุ่นวายและความชั่วร้ายในจิตใจมนุษย์ โจ๊กเกอร์เป็นสัญลักษณ์ของความไร้ศีลธรรม ความไม่แน่นอน และการท้าทายต่อระเบียบสังคม
3.7. The Demogorgon เดโมกอร์กอนจากซีรีส์ "Stranger Things" เป็นมอนสเตอร์ที่มาจากโลกคู่ขนานและเป็นสัญลักษณ์ของความไม่รู้จักและการคุกคามจากมิติอื่น เรื่องราวของเดโมกอร์กอนสะท้อนถึงความกลัวและความกังวลเกี่ยวกับการสำรวจทางวิทยาศาสตร์และสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของมนุษย์
3.8. Freddy Krueger เฟรดดี้ ครูเกอร์จากภาพยนตร์ชุด "A Nightmare on Elm Street" เป็นมอนสเตอร์ที่สามารถเข้าสู่ฝันของผู้คนและฆ่าพวกเขาในฝัน เฟรดดี้เป็นสัญลักษณ์ของความกลัวและความไม่แน่นอนที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ และสะท้อนถึงการเผชิญหน้ากับความกลัวภายในใจ
มอนสเตอร์เหล่านี้ในวัฒนธรรมป๊อปมักถูกใช้ในการสำรวจและสะท้อนถึงปัญหาทางสังคม จิตวิทยา และการเมืองที่หลากหลาย ช่วยให้เราเข้าใจถึงความกลัวและความหวังของสังคมร่วมสมัยในมุมมองที่ซับซ้อนและหลากหลาย
4. Monster ในพิธีกรรมทางศาสนา โดยการศึกษาเกี่ยวกับมอนสเตอร์ในบริบทของพิธีกรรมทางศาสนาสามารถเปิดเผยถึงการใช้สัญลักษณ์ของมอนสเตอร์เพื่อควบคุมหรืออธิบายพลังอำนาจที่มองไม่เห็นและไม่สามารถควบคุมได้
ตัวอย่างของมอนสเตอร์ในพิธีกรรมทางศาสนาที่น่าสนใจมักสะท้อนถึงความเชื่อ ความกลัว และความศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในวัฒนธรรมนั้น ๆ ต่อไปนี้คือตัวอย่างบางส่วน
4.1 ราชันย์ปีศาจ รังดา (Rangda) ในพิธีกรรมของบาหลี
ในบาหลี รังดาเป็นปีศาจหญิงที่มีบทบาทสำคัญในพิธีกรรมของชาวบาหลี รังดามักปรากฏในละครพิธีกรรมที่เรียกว่า "Barong and Rangda Dance" ซึ่งเป็นการแสดงที่สื่อถึงการต่อสู้ระหว่างความดี (บารอง) และความชั่วร้าย (รังดา) การต่อสู้ระหว่างบารองและรังโดเป็นสัญลักษณ์ของความสมดุลระหว่างพลังอำนาจที่ดีและไม่ดีในจักรวาล
4.2. ปีศาจในศาสนาคริสต์ โดย ปีศาจหรือ "Demon" ในศาสนาคริสต์มีบทบาทสำคัญในพิธีกรรมการไล่ปีศาจหรือ "Exorcism" ปีศาจถูกมองว่าเป็นพลังอำนาจที่ชั่วร้ายที่เข้าสิงร่างมนุษย์และต้องถูกขับไล่โดยการสวดมนต์และการใช้เครื่องมือทางศาสนา พิธีกรรมการไล่ปีศาจมักถูกใช้เพื่อรักษาผู้ที่ถูกเชื่อว่าถูกปีศาจเข้าสิง
4.3 ยักษ์อสุราในศาสนาฮินดู
ในศาสนาฮินดู ยักษ์หรือ "Asura" มักปรากฏในพิธีกรรมและเรื่องราวตำนานที่เล่าถึงการต่อสู้ระหว่างเทพเจ้า (Deva) และยักษ์ ยักษ์ในศาสนาฮินดูเป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้ายและความไม่สมดุลของจักรวาล การต่อสู้ของเทพเจ้าและยักษ์สะท้อนถึงความจำเป็นในการรักษาสมดุลและความเป็นธรรมในจักรวาล
4.4 มอนสเตอร์ในวัฒนธรรมชนพื้นเมืองอเมริกัน โดยในบางวัฒนธรรมชนพื้นเมืองอเมริกัน มีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการขับไล่สิ่งชั่วร้ายหรือวิญญาณที่ไม่พึงประสงค์ เช่น "Skinwalker" ซึ่งเป็นวิญญาณหรือมอนสเตอร์ที่เชื่อว่าสามารถเปลี่ยนรูปร่างเป็นสัตว์ต่าง ๆ ได้ การขับไล่ Skinwalker มักเกี่ยวข้องกับการใช้พิธีกรรมและเครื่องรางที่มีความศักดิ์สิทธิ์
4.5 ทังกาในศาสนาพุทธทิเบต ในศาสนาพุทธวัชระญาณแบบทิเบต มีภาพวาดหรือประติมากรรมของเทพเจ้าที่มีลักษณะน่ากลัวหรือ "ทังกา" เช่น มหากาลา (Mahakala) ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งการปกป้อง พิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับมหากาลามักจะใช้เพื่อป้องกันภัยอันตรายและขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกจากชุมชน
ดังนั้น มอนสเตอร์ในพิธีกรรมทางศาสนาเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้ายหรือภัยอันตรายเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงการต่อสู้และการปกป้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ความสมดุล และความเป็นธรรมในสังคมที่ปฏิบัติพิธีกรรมเหล่านี้
5. Monster และอัตลักษณ์ทางเพศ ตัวอย่างของการใช้มอนสเตอร์ในการสำรวจและท้าทายมาตรฐานทางเพศและบทบาททางเพศในสังคม ตัวอย่างเช่น มอนสเตอร์หญิงที่ท้าทายบทบาททางเพศที่กำหนดโดยสังคม
ตัวอย่างของมอนสเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับอัตลักษณ์ทางเพศที่อาจพบได้ในหนังสือเล่มนี้ ได้แก่
5.1. Lilith โดยลิลิธเป็นตัวละครในตำนานและตำนานยิวที่มีการเชื่อมโยงกับเรื่องเพศและความเป็นหญิงอิสระ เธอมักถูกอธิบายว่าเป็นปีศาจหญิงที่ไม่ยอมอยู่ใต้การควบคุมของอาดัม และกลายเป็นสัญลักษณ์ของการกบฏต่อบทบาททางเพศแบบดั้งเดิม ในบริบททางชาติพันธุ์วิทยา ลิลิธสามารถถูกใช้เพื่อวิเคราะห์การต่อสู้ของผู้หญิงต่อระบบปิตาธิปไตยและการสร้างอัตลักษณ์ทางเพศที่เป็นอิสระ
5.2. Medusa เมดูซ่าในตำนานกรีกเป็นสัญลักษณ์ของพลังหญิงที่ถูกทำให้เป็นปีศาจ เธอเป็นตัวแทนของความกลัวและความหวาดกลัวต่อผู้หญิงที่มีพลังอำนาจและอิสรภาพ การศึกษาเมดูซ่าในบริบททางชาติพันธุ์วิทยาสามารถช่วยให้เข้าใจถึงการควบคุมและการกดขี่ผู้หญิงในสังคมต่าง ๆ
5.3. Succubus หรือซักคิวบัสเป็นปีศาจหญิงในตำนานยุโรปที่เชื่อว่ามาในฝันของผู้ชายเพื่อมีเพศสัมพันธ์กับพวกเขา เธอเป็นสัญลักษณ์ของการใช้พลังทางเพศเพื่อควบคุมผู้ชาย ในการศึกษาทางชาติพันธุ์วิทยา ซักคิวบัสสามารถถูกใช้เพื่อวิเคราะห์ทัศนคติต่อเรื่องเพศและความกลัวต่อความเป็นหญิงที่มีอิทธิพล
5.4 Sirens ไซเรนในตำนานกรีกเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเสียงเพลงที่เย้ายวนใจและสามารถทำให้ลูกเรือหลงทางจนเสียชีวิต พวกเธอเป็นตัวแทนของการใช้เสน่ห์ทางเพศเพื่อควบคุมและทำลายผู้ชาย การศึกษาบทบาทของไซเรนในวรรณกรรมและวัฒนธรรมสามารถช่วยให้เห็นถึงความกลัวและความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับพลังอำนาจทางเพศของผู้หญิง
5.5. Hulder ฮูลเดอร์เป็นวิญญาณหญิงในตำนานนอร์สที่มักจะเย้ายวนผู้ชายให้เข้ามาในป่าและกลายเป็นทาสของเธอ เธอเป็นตัวแทนของความกลัวต่อผู้หญิงที่มีอิทธิพลและพลังอำนาจ การศึกษาเรื่องราวของฮูลเดอร์สามารถช่วยให้เห็นถึงการมองเห็นและการตีความเรื่องเพศในวัฒนธรรมนอร์ส
ดังนั้น การศึกษามอนสเตอร์เหล่านี้ในบริบทของอัตลักษณ์ทางเพศสามารถช่วยให้เราเข้าใจถึงวิธีที่สังคมต่าง ๆ สร้างและกำหนดบทบาททางเพศ รวมถึงการต่อสู้และการท้าทายบทบาทเหล่านี้ มอนสเตอร์เป็นสัญลักษณ์ที่มีพลังในการสะท้อนและวิพากษ์วิจารณ์เรื่องเพศและอัตลักษณ์ทางเพศในสังคมต่าง ๆ
หนังสือเล่มนี้ให้ภาพรวมที่หลากหลายของวิธีการที่มอนสเตอร์ถูกใช้และตีความในบริบทที่หลากหลาย ทำให้เห็นถึงความสำคัญของมอนสเตอร์ในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการทำความเข้าใจสังคมและวัฒนธรรมในมุมมองที่ลึกซึ้งและหลากหลาย
หากลองนำสิ่งที่ได่จากหนังสือเล่มนี้ มาใช้ในการศึกษามอนสเตอร์ในบริบทของประเทศไทยสามารถสะท้อนถึงวิธีที่สังคมไทยมองเห็นและตีความเรื่องราวของมอนสเตอร์ในวัฒนธรรมและประเพณีท้องถิ่น การศึกษานี้สามารถใช้แนวคิดชาติพันธุ์วิทยาและทฤษฎีเกี่ยวกับมอนสเตอร์ เพื่อทำความเข้าใจถึงบทบาทและความหมายของมอนสเตอร์ในสังคมไทย โดยใช้แนวทางศึกษาแบบชาติพันธุ์วรรรณนา(Ethnography)
ในกมรศึกษาเรื่องราวและตำนานของมอนสเตอร์ในชุมชนท้องถิ่น โดยการสัมภาษณ์และสังเกตการณ์ในพื้นที่ เช่น พิธีกรรมและประเพณีที่เกี่ยวข้องกับมอนสเตอร์ รวมทั้งวิเคราะห์วรรณกรรมพื้นบ้าน นิทานพื้นบ้าน และบทเพลงที่เล่าถึงมอนสเตอร์ อีกทั้งประยุกต์ใช้ ทฤษฎีเกี่ยวกับมอนสเตอร์ (Monster Theory) เพื่อ วิเคราะห์ความหมายและบทบาทของมอนสเตอร์ในบริบทของความเป็นอื่น (Otherness) และการสร้างอัตลักษณ์ และ สำรวจความกลัวและความกังวลที่มอนสเตอร์สะท้อนถึง เช่น ความกลัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ หรือสิ่งแวดล้อม
สำหรับตัวอย่าง Monster ปิศาจ ภูติผี สัตว์ประหลาดในวัฒนธรรมไทย
1. ผีปอบ ผีปอบเป็นวิญญาณชั่วร้ายที่เชื่อกันว่ากินของดิบหรือสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ เรื่องราวของผีปอบมักใช้ในการเตือนผู้คนถึงความสำคัญของความบริสุทธิ์และการเคารพธรรมชาติ
2.นางเงือก โดย นางเงือกในตำนานไทยมีลักษณะเป็นสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งปลา โดยมีบทบาทในเรื่องเล่าและนิทานพื้นบ้าน การศึกษาเรื่องราวของนางเงือกสามารถสะท้อนถึงทัศนคติต่อความงามและความเป็นหญิงในวัฒนธรรมไทย
3. ครุฑและนาค ครุฑและนาคเป็นสิ่งมีชีวิตในตำนานที่มีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมและศาสนาของไทย ครุฑเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและการปกป้อง ขณะที่นาคเป็นสัญลักษณ์ของน้ำและความอุดมสมบูรณ์ การศึกษาเรื่องราวของครุฑและนาคสามารถช่วยให้เข้าใจถึงวิธีที่คนไทยมองเห็นและตีความธรรมชาติและความเชื่อทางศาสนา
4. ผีตาโขน ผีตาโขนเป็นมอนสเตอร์ที่ปรากฏในงานประเพณีผีตาโขนในจังหวัดเลย มันเป็นสัญลักษณ์ของการขับไล่สิ่งชั่วร้ายและการเฉลิมฉลอง การศึกษาผีตาโขนสามารถสะท้อนถึงการใช้มอนสเตอร์ในการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมและการส่งเสริมความสามัคคีในชุมชน
5. แม่นากพระโขนง แม่นากพระโขนงเป็นเรื่องเล่าผีที่มีชื่อเสียงในไทย เรื่องราวของเธอเกี่ยวข้องกับความรักที่ไม่สมหวังและการยึดมั่นในครอบครัว การศึกษาแม่นากพระโขนงสามารถช่วยให้เห็นถึงทัศนคติที่มีต่อความรัก การสูญเสีย และความตายในวัฒนธรรมไทย
ประเด็นในการศึกษาเรื่องราวเหล่านี้ อาจเน้นที่การสร้างและการตีความอัตลักษณ์ทางเพศ โดยการ วิเคราะห์บทบาทของมอนสเตอร์หญิงในวัฒนธรรมไทย เช่น แม่นากพระโขนง และนางเงือก เพื่อเข้าใจถึงการสร้างและการตีความอัตลักษณ์ทางเพศ
การพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างมอนสเตอร์กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดังเช่น ศึกษาบทบาทของมอนสเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ เช่น ครุฑและนาค เพื่อเข้าใจถึงวิธีที่คนไทยมองเห็นและตีความธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
การเชื่เมฌยงMonster กับการสะท้อนความกลัวและความกังวลทางสังคม ผ่านการวิเคราะห์เรื่องราวของมอนสเตอร์ที่สะท้อนถึงความกลัวและความกังวลที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี เช่น ผีปอบในบริบทของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในชนบท เป็นต้น
4. การใช้มอนสเตอร์ในการสอนและตักเตือน โดย ศึกษาบทบาทของมอนสเตอร์ในนิทานพื้นบ้านและวรรณกรรมในการสอนและเตือนถึงค่านิยมและความเชื่อทางสังคม
การศึกษามอนสเตอร์ในบริบทของประเทศไทยสามารถช่วยให้เราเข้าใจถึงวิธีที่คนไทยมองเห็นและตีความมอนสเตอร์ ในลักษณะต่างๆ รวมถึงวิธีที่มอนสเตอร์สะท้อนให้เห็นถึงประสบการณ์และค่านิยมของผู้คนในสังคมไทย
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น