พอได้ยินคำว่าระเบิดเหมือง แม้จะเป็นเหมืองปิดหรือเหมืองเปิดก็ส่งผลกระทบต่อผู้คนสิ่งแวดล้อมเช่นกัน ในฐานะคนเคยทำงานเรื่องคัดค้านเหมืองแร่โพแทชอุดรธานี คนที่เบื่อกับคำล่อลวงในเรื่องรายได้ทางเศรษฐกิจ การได้ใช้ปุ๋ยราคาถูก เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่จะช่วยลดผลกระทบ การร่วมมือระหว่างรัฐกับกลุ่มทุนในประเทศและทุนข้ามชาติในการปล้นและแย่งชิงทรัพยากรจากชาวบ้าน แม้ผมจะเบนมาทางสายวิชาการ ด้วยหัวใจที่เคยต่อสู้เรียกร้องเรื่องนี้ ก็อยากจะพูดถึงประเด็นนี้
ผมมองว่า มันคือ “เสียงระเบิดที่ไร้เสียง: ผลกระทบซ่อนเร้นจากการระเบิดเหมือง”…ที่เราต้องรู้เท่าทัน และช่วยกันสะท้อน
ในโลกที่การพัฒนาเศรษฐกิจมักถูกขับเคลื่อนด้วยอุตสาหกรรมหนัก โดยไม่คำนึงถึงการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตบนพื้นโลก การระเบิดเหมืองกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของความเจริญที่แฝงเร้นไปด้วยเสียงครวญของธรรมชาติและชุมชน การศึกษาทั่วโลกเผยให้เห็นว่า “เสียงระเบิด” นั้นไม่ใช่เพียงเสียงดังเพียงชั่วครู่ หากแต่คือแรงสั่นสะเทือนที่ส่งผลลึกไปถึงโครงสร้างสิ่งแวดล้อม สุขภาพ วิถีชีวิตทางสังคมและวัฒนธรรมของผู้คน
ในด้านสิ่งแวดล้อม การระเบิดในเหมืองส่งผลให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก และเสียงดังเกินเกณฑ์มาตรฐาน งานวิจัยในอิหร่าน อินเดีย และกรณีเหมืองแม่เมาะของไทยล้วนสะท้อนว่า ฝุ่นจากการระเบิดส่งผลให้ดินพังทลาย น้ำเสีย และระบบนิเวศเปลี่ยนแปลงอย่างไม่อาจย้อนคืน
สุขภาพของประชาชนที่อาศัยใกล้พื้นที่เหมืองก็ตกอยู่ในความเสี่ยง งานศึกษาหลายชิ้นพบความสัมพันธ์ของการระเบิดกับโรคทางเดินหายใจ และอาการเครียดเรื้อรังจากเสียงระเบิดและแรงสั่นสะเทือน ชุมชนไทยที่อยู่ใกล้เหมืองหลายแห่ง เช่น ที่จังหวัดเลยและลำปาง มีการรายงานถึงอัตราการเจ็บป่วยที่สูงขึ้นอย่างน่ากังวล ผลกระทบที่ตามมาของการระเบิด การสร้างเหมืองแร่
ไม่เพียงร่างกาย หากวิถีชีวิตและจิตวิญญาณของชุมชนก็ได้รับผลกระทบ หลายชุมชนพื้นถิ่น โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์บนที่สูง และกลุ่มเกษตรกรในเขตพื้นที่เหมือง มองว่าเหมืองคือการรุกล้ำพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ และทำลายรากเหง้าทางวัฒนธรรม งานวิจัยเชิงชาติพันธุ์วิทยาโดยนักมานุษยวิทยา เช่น Anna Tsing และ Al Gedicks ชี้ให้เห็นว่า การระเบิดเหมืองไม่ใช่แค่การทำลายหินผา แต่คือการสั่นคลอนอัตลักษณ์ของชุมชน ที่กำลังถูกกัดกร่อนและล่มสบายลงไป
ในประเทศไทย กรณีของเหมืองแร่ทองคำใน อำเภอทับค้อ จังหวัดพิจิตร เป็นตัวอย่างที่สะท้อนผลกระทบเชิงโครงสร้างต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของชุมชนรอบเหมือง ชาวบ้านรายงานการปนเปื้อนของสารโลหะหนัก เช่น สารหนู และไซยาไนด์ ในน้ำและดิน สอดคล้องกับผลตรวจเลือดที่พบการสะสมของโลหะหนักในร่างกาย⁴
ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ชาวบ้านในพื้นที่ เหมืองทองคำจังหวัดเลย (เช่น ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง) ต่อต้านการระเบิดเหมืองมาเป็นเวลากว่าทศวรรษ โดยระบุว่าเหมืองได้ส่งผลให้เกิดเสียงรบกวน สะเทือนบ้านเรือน ปนเปื้อนน้ำ และนำไปสู่ความขัดแย้งทางสังคม⁵ ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม หากยังเกี่ยวข้องกับสิทธิชุมชนในการมีส่วนร่วมกำหนดอนาคตของตนเอง
ในภาคใต้ของไทย โดยเฉพาะในจังหวัดพัทลุงและสงขลา เหมืองหินที่ใช้วิธีระเบิดภูเขา ได้ก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนจนโครงสร้างบ้านแตกร้าว และเกิดฝุ่นหินฟุ้งกระจายทั่วพื้นที่เกษตร ชาวบ้านบางกลุ่มมองว่าการระเบิดภูเขาคือการ “ทำลายหัวใจของผืนป่า” ที่พวกเขายึดโยงกับวัฒนธรรม วิถีชีวิต และความเชื่อเรื่องภูมิเจ้าที่
ท้ายที่สุด การระเบิดเหมืองจึงเป็นมากกว่ากระบวนการทางวิศวกรรม มันคือจุดตัดของเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สิทธิชุมชน และวัฒนธรรม การฟังเสียง “ระเบิดที่ไร้เสียง” เหล่านี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น หากเราจะสร้างการพัฒนาที่ไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง
เชิงอรรถ อ้างอิง หากใครสนใจประเด็นเหล่านี้
1. Monjezi, M., Bahrami, A., & Ghodrati, B. (2009). Environmental impact assessment of open pit mining in Iran. Environmental Geology, 58(1), 205–216.
2. Ghose, M. K., & Majee, S. R. (2001). Air pollution due to opencast coal mining and its control in Indian context. Journal of Scientific & Industrial Research, 60(9), 786–797.
3. อุไรพร ชลสิทธิ์. (2554). การประเมินผลกระทบจากฝุ่นถ่านหินต่อสุขภาพชุมชน: กรณีศึกษาชุมชนรอบเหมืองแม่เมาะ. วารสารสิ่งแวดล้อมไทย, 17(2), 22–35.
4. Tsing, A. (2005). Friction: An ethnography of global connection. Princeton University Press.
Gedicks, A. (2001). Resource rebels: Native challenges to mining and oil corporations. South End Press.
5. เครือข่ายประชาสังคมปฏิรูปทรัพยากรและทองคำ. (2560). รายงานสถานการณ์ผลกระทบเหมืองแร่ทองคำพิจิตร. มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม.
6. ศูนย์ข้อมูลชุมชนเพื่อการปกป้องสิทธิ. (2557). รายงานผลกระทบและการเคลื่อนไหวของชุมชนกรณีเหมืองแร่ทองคำจังหวัดเลย. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
7. ปัทมา แซ่ลิ่ม. (2562). การต่อสู้ของชาวบ้านกรณีเหมืองหินกับความเชื่อในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์. วารสารสังคมวิทยามานุษยวิทยา, 38(1), 67–89.
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น