แนวคิด Sacred และ Profane เป็นแนวคิดสำคัญที่มาจากผลงานของนักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศส
Émile Durkheim ที่ใช้เพื่ออธิบายการแบ่งแยกทางวัฒนธรรมและศาสนา โดยมีเนื้อหาสาระสำคัญดังนี้
1. Sacred (สิ่งศักดิ์สิทธิ์) หมายถึงสิ่งที่ถูกมองว่าสูงส่ง มีความสำคัญ หรือมีคุณค่าเชิงศาสนาและวัฒนธรรม สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ต้องให้ความเคารพและมีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น ศาสนสถาน เทวรูป หรือสัญลักษณ์ทางศาสนา
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับพระเจ้าเสมอไป แต่สามารถหมายถึงสิ่งใดๆ ที่มีความสำคัญต่อชุมชนและกลุ่มคน
พิธีกรรม (rituals) และ กฎเกณฑ์ (taboos) มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อป้องกันการละเมิดหรือการไม่เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น
2. Profane (สิ่งธรรมดา หมายถึงสิ่งที่เป็นเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวัน หรือสิ่งที่ไม่มีคุณค่าหรือความสำคัญเชิงศาสนาหรือเชิงสัญลักษณ์
สิ่งธรรมดาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนทั่วไป ไม่ต้องการความเคารพหรือพิธีกรรมใด ๆ
สิ่งธรรมดา เป็นสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญในเชิงจิตวิญญาณหรือวัฒนธรรม ตัวอย่างของสิ่งธรรมดาอาจเป็นกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การกิน การทำงาน หรือการเล่น
เนื้อหาสำคัญของแนวคิด Sacred และ Profane
1. การแบ่งแยกทางวัฒนธรรม Durkheim เชื่อว่าทุกสังคมมีการแบ่งแยกระหว่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์และสิ่งธรรมดา โดยสิ่งนี้ช่วยสร้างโครงสร้างและระเบียบในสังคม การสร้างขอบเขตชัดเจนระหว่าง Sacred และ Profane ช่วยให้ชุมชนสามารถรักษาอัตลักษณ์และคุณค่าร่วมกัน
2. บทบาทของศาสนา ศาสนาเป็นศูนย์กลางของแนวคิดนี้ โดยทำหน้าที่กำหนดและรักษาขอบเขตระหว่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์และสิ่งธรรมดา พิธีกรรมและความเชื่อศาสนาช่วยให้สมาชิกของชุมชนสามารถเข้าใจและรักษาความแตกต่างระหว่างสองสิ่งนี้
3. ความสำคัญของพิธีกรรม Durkheim มองว่าพิธีกรรม (rituals) มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยการทำพิธีจะช่วยรักษาความศักดิ์สิทธิ์และความเชื่อในสิ่งนั้น การนำแนวคิด Sacred และ Profane ไปใช้ศึกษา แนวคิดนี้สามารถนำไปใช้ในการศึกษาเรื่องของศาสนา วัฒนธรรม และสัญลักษณ์ทางสังคม ตัวอย่างเช่น
การศึกษาเกี่ยวกับพิธีกรรมทางศาสนา การใช้แนวคิด Sacred และ Profane ในการทำความเข้าใจว่าเหตุใดบางสิ่งถึงถูกถือว่าเป็นศักดิ์สิทธิ์ และพิธีกรรมใดที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องและรักษาความศักดิ์สิทธิ์นั้น
การศึกษาเชิงวัฒนธรรม ในสังคมต่าง ๆ อาจมีสิ่งของหรือสัญลักษณ์บางอย่างที่ถูกยกให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เฉพาะในเชิงศาสนา เช่น การเคารพสัญลักษณ์ชาติ หรือการยกย่องผู้นำบางคนอย่างสูงส่ง
โดยสรุป แนวคิด Sacred และ Profane ของ Durkheim อธิบายถึงการแบ่งแยกระหว่างสิ่งที่มีคุณค่าทางศาสนาและสัญลักษณ์ และสิ่งธรรมดาทั่วไปในชีวิตประจำวัน ซึ่งช่วยสร้างโครงสร้างและระเบียบในสังคม
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น