ในปี ค.ศ. 1995 Sherry Ortner ได้ตีพิมพ์บทความใน วารสาร CSSH เรื่อง Resistance and the problem of ethnographic refusal เขาได้ทบทวนและสำรวจแนวโน้มทางวิชาการในเชิงการต่อต้านที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น ซึ่งนักวิชาการเหล่านี้ส่วนหนึ่งกำลังละทิ้งรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของชุมชนท้องถิ่น การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์สิ่งที่อยู่ภายนอกชุมชน อำนาจที่เข้ามาปะทะ ลัทธิจักรวรรดินิยม รัฐและทุนนิยมเศรษฐกิจโลก เป็นต้น
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากงานศึกษานั้นได้นำไปสู่สิ่งที่ Ortner อ้างว่างานวิขาการเหล่านั้นเป็นงานที่ผิวเผินและไม่เพียงพอต่อการทำความเข้าใจทางการเมืองที่มีความซับซ้อน ดังที่เธอบอกว่า “การศึกษาเชิงการต่อต้านนั้นถือว่าเบาบางมากเพราะพวกเขา(ผู้ศึกษา ผู้วิจัย นักวิชาการ) ดูเบาบางในเชิงชาติพันธุ์วิทยา เบาบางในเรื่องการเมืองภายในของกลุ่มที่ถูกครอบงำ เบาบางในเรื่องความร่ำรวยทางวัฒนธรรมของกลุ่มเหล่านั้น, บางเบาในเรื่องความเป็นตัวตน ความตั้งใจ, ความปรารถนา, ความกลัวและความเป็นของผู้กระทำการหรือ ผู้แสดงที่มีส่วนร่วมในละครบทนี้ (1995: 190)
การสืบย้อนไปถึงงานทางมานุษยวิทยาของ Talal Asad (1973) หรือ Edward Said (1983) ที่มีการวิจารณ์ลัทธิล่าอาณานิคม การตั้งคำถามเกี่ยวกับงานชาติพันธุ์วรรณนาที่ถูกศึกษาโดยเจ้าอาณานิคม กลายเป็นวิธีการศึกษาทางชาติพันธุ์วรรณนาที่ไม่ถูกต้องชอบธรรม ที่ทำให้แนวคิดทางวัฒนธรรมกลายเป็นเครื่องมือของผู้ที่มีอำนาจ ไม่ใช่การทำความเข้าใจที่นำไปสู่การเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียม แต่เป็นการยึดครอง การแย่งชิงทรัพยากร การกดขี่ขูดรีด และการปกครองคนเหล่านั้น
ภายใต้การทำงานของเจ้าอาณานิคม ทำให้นักวิชาการเหล่านั้นขาดอิสระภาพเสรีภาพ บางคนเลิกทำงานชาติพันธุ์วรรณนา และมาสอนเรื่องของการต่อต้าน การถอดรื้องานชาติพันธุ์วรรณนา และกระตุ้นให้ผู้ถูกกดขี่ หรือคนใต้อาณานิคม เขียนชาติพันธุ์วรรณนาของตัวเองขึ้นมา
ในปัจจุบันทุกคนอาศัยอยู่ในโลกที่พวกเขาถูกบอกว่าตัวพวกเขาเองเป็นใคร รู้สึกอย่างไร และมีความหมายอย่างไร พวกเขาอาศัยอยู่ในโลกที่มีการตีความอยู่แล้ว และถ้าเราจะเข้าใจชีวิตของพวกเขา เราต้องเข้าใจไม่เพียงแต่มุมมองของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังต้องเข้าใจถึงวิธีการที่มุมมองที่พวกเขาถูกประกอบสร้างและปรับปรุงใหม่อย่างต่อเนื่องโดยสัมพันธ์กับวัฒนธรรมใหญ่และภาพของการเป็นตัวแทนบางอย่างที่ถูกสร้างขึ้น
หากเริ่มต้นด้วยคำถามเกี่ยวกับ "ความหนา ความลุ่มลึกหรือความรุ่มรวยของข้อมูล" (thickness) ใน “Thick Description” ของ Clifford Geertz ได้นำเสนอตัวอย่างที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับกรณีของการหลิ่วตาและการขยิบตา ..
ความแตกต่างอยู่ในความหมายพื้นฐานเชิงสัญลักษณ์และการแสดงออกว่า แท้จริงแล้วคุณมีเศษฝุ่นเข้าตาหรือคุณกำลังต้องการสื่อสารอะไรบางอย่างด้วยการขยิบตา? ความลึกหรือความรุ่มรวยของข้อมูลที่ไม่ได้เป็นเพียงความร่ำรวยของรายละเอียดเท่านั้น (การตีความทั่วไปจากวลีหรือการแสดงออกของเขา ในสำนวนไทยสีคำว่าปากง่าตาขยิบ) แต่ยังเกี่ยวข้องกับความหมาย การให้คุณค่าและความตั้งใจในการกระทำบางสิ่งบางอย่าง ความร่ำรวยหรือลุ่มลึกของข้อมูลดังกล่าวช่วยให้คนเกิดการค้นพบ และทำงานชาติพันธุ์วรรณนาที่ดีนั้นออกมาได้
ปัญหาของงานชาติพันธุ์วรรณนาในปัจจุบัน ไม่ใช่แค่ว่ามันมักจะสั้นและผิวเผินเกินไป แต่คือการไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ความหนาหรือความลึกตั้งแต่แรก เป็นเพียงการเล่าขานหรือทำหน้าที่เสมือนสักขีพยานหรือเอกสารหลักฐาน และส่งข้อความสะท้อนว่า “ฉันไปสถานที่นี้และนี่คือสิ่งที่ฉันเห็นและได้ยินมา” ทั้งที่จริงแล้วจะต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง มีข้อมูลมากพอที่จะนำไปสู่การวิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์..ทำให้เห็นความสัมพันธ์ในเชิงอำนาจที่เกิดขึ้นได้ ….
Sherry B. Ortner (1995) ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่างานชาติพันธุ์วรรณนาคือการพยายามทำความเข้าใจโลกแห่งชีวิตของผู้อื่น โดยใช้ตัวตน(self)ของตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในฐานะเครื่องมือแห่งการแสวงหาความรู้...ดังนั้นประสบการณ์ในสนาม การไปอยู่ที่นั่น ไปอยู่กับผู้คน การเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมหรือพิธีกรรม การเข้าไปมีประสบการณ์ทางตรงโดยใช้ร่างกาย อารมณ์ ความรู้สึก ผ่านการรับรู้ การตีความเพื่อเข้าถึงความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมนุษย์ที่ตนเองลงไปศึกษาให้มากที่สุด..
Ortner (1995) แสดงให้เห็นว่าทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ต้องสร้างขึ้นและก้าวไปไกลกว่าทฤษฎีที่ปฏิบัติมาตั้งแต่ยุคคลาสสิก เพื่อที่จะเข้าใจโลกร่วมสมัยและความเป็นไปได้ในการสร้างมานุษยวิทยาแห่งอัตวิสัย….
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น