ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

การศึกษาอาชญากรรมและความรุนแรงของเด็กและเยาวชน ในมุมมองทางมานุษยวิทยา โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

การศึกษาอาชญากรรมและความรุนแรงของเด็กและเยาวชน มีงานวิจัยหลายชิ้น ที่ผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสังเกตว่าความยากจน การขาดการศึกษา การว่างงาน ความผิดปกติหรือความแตกแยกขัดแย้งของครอบครัว และการเผชิญกับความรุนแรง มีส่วนทำให้เกิดวัฒนธรรมย่อยแบบนี่นี้ในหมู่เยาวชน ทั้งนี้สถานการณ์เหล่านี้กำลังผลักดันให้วัยรุ่นบางคนแสวงหาความรู้สึกถึงตัวตน ความเป็นเจ้าของและอำนาจจากโครงสร้างของแก๊ง (Gang) ในขณะเดียวกันก็สะท้อนความจริงที่ว่าประเทศชาติก็กำลังล้มเหลวในการจัดหาแนวทางเลือกที่ดีขึ้นให้กับเด็กและเยาวชนของพวกเรา ที่ชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวครั้งใหญ่ของสังคมเรา โดยเฉพาะการที่คนหนุ่มสาวมักเผชิญกับความรุนแรงและทำให้ความรุนแรงกลายเป็นเรื่องปกติที่เด็กและเยาวชนสามารถจะกระทำความรุนแรงแบบนี้ต่อคนอื่นได้ สิ่งนี้น่าจะทำให้สังคมควรจะต้องมีความวิตกกังวลและพิจารณาต่อเรื่องนี้ให้มากขึ้น การวิจัยโดยส่วนใหญ่ชี้ให้เห็นว่าวัฒนธรรมการเกิดแก๊งของวัยรุ่นนั้น มีผลกระทบทางสังคมวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และจิตวิทยาอย่างมีนัยสำคัญ การปรากฏตัวของแก๊งต่างๆมากขึ้น ทำให้เกิดบรรยากาศแห่งความหวาดกลัว ความไม่มั่นคง ความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้คน อีกทั้งยังขัดขวางการพัฒนาและความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนที่ได้รับผลกระทบด้วย เช่นการศึกษา ในบังคลาเทศ อเมริกา เอธิโอเปีย หรือในประเทศไทย การแพร่กระจายของแก๊งเหล่านี้ส่งผลให้อัตราการเกิดอาชญากรรมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเขตเมือง ในสังคมที่เทคโนโลยีสมัยใหม่ ก่อร่างและผลิตซ้ำความรุนแรง ทั้งการนำเสนอข่าวอาชญากรรมความรุนแรง ภาพยนต์ที่สร้างให้คนกระทำความรุนแรงเป็นฮีโร่ รายการทางช่องยูทูบที่เอาคนที่กระทำความผิดและคนที่ใช้ความรุนแรงมาเป็นไอดอลโดยนำเสนอเรื่ิองราววีรกรรมที่กระทำกับคนอื่น (แทนที่จะสอนบทเรียนและบอกผลกระทบจากการกระทำที่เกิดกับคนรอบข้าง) ล้วนทำให้ความรุนแรงและการก่ออาชญากรรมกลายเป็นเรืองปกติ เป็นการแสดงถึงความเป็นลูกผู้ชาย และเป็นไปในแนวทางของการสร้างชื่อเสียงกับตัวเองเพื่อให้เกิดการจดจำและยอมรับมากกว่า ทั้งที่เป็นพฤติกรรมในด้านลบและส่งผลกระทบต่อผู้อื่น ในสังคมไทยมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า คนที่ก่อความรุนแรงและตั้งแก๊งอาจจะไม่ใช่คนในเขตพื้นที่ชายขอบของเมือง คนยากจน คนในสลัม ชุมชนแออัด เหมือนในต่างประเทศที่พูดถึงชุมชมชายขอบของคนดำหรือชุมชนแรงงานข้ามชาติ แต่กลับเป็นลูกของคนมีอำนาจ มีอิทธิพล ไม่ว่าจะเป็น นักการเมืองระดับชาติ ระดับท้องถิ่น ข้าราชการในพื้นที่ เป็นต้น ผมจำได้ว่าสมัยเด็กผมอยู่ชนบท มีแค่เด็กบ้านนั้นบ้านนี้ คุ้มนั้นคุ้มนี้ ตีกันบ้างเวลามีงานบุญ มีหมอลำ งานประจำปี แต่ก็มาแข่งขันกีฬาร่วมกัน มาเตะบอลกัน ก็ไม่ได้รุนแรงเหมือนทุกวันนี้ รวมถึงยาเสพติดและสารบางประเภทก็กระตุ้นให้เกิดความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นหรือไม่สามารถควบคุมสติและอารมณ์ที่รุนแรงได้…ผมคิดว่าบางเรื่องเราต้องไม่มองแบบโลกสวยจนเกินไป ยอมรับความจริงและหาทางแก้ปัญหาที่ถูกต้อง.. สำหรับคำว่า แก๊งในสายตาของบางคนอาจจะหมายถึงกลุ่มอาชญากรที่ก่ออาชญากรรมเป็นประจำ อย่างไรก็ตาม สำหรับบางคนอาจมองว่าคำว่าแก๊งเป็นเพียงก๊วนกลุ่มเพื่อนที่ออกไปเที่ยวเพื่อความสนุกสนานเล็กๆ น้อยๆ ในขณะที่เด็กและเยาวชนบางคนถูกกระตุ้นให้เข้าร่วมแก๊งเพื่อความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มหรือเพื่อสร้างคำนิยามของตนเองว่าพวกเขาเป็นใครหรือเป็นพวกเขา และมองคนที่ตรงกันข้ามว่าไม่ใช่พวกหรือเป็นคนอื่น เด็กและเยาวชนเข้าแก๊งเพราะได้รับแรงบันดาลใจจากเพื่อน หรือรุ่นพี่ บางคนเข้าร่วมเพราะแรงกดดันจากคนรอบข้างหรือครอบครัว เนื่องด้วยความจำเป็นในการปกป้องตนเองและครอบครัว หรือเพื่อหาเงิน ในสมาชิกของ 'แก๊งเยาวชน' จะมีผู้นำ รุ่นพี่ รุ่นน้อง และจะต้องตั้งชื่อแก๊ง และสร้างความเป็นผู้นำที่สามารถบ่งชี้ตัวตน ความกล้าหาญและได้รับการยอมรับ มีการสร้างอาณาเขตทางภูมิศาสตร์ของตัวเอง มีการพบปะวางแผนบางอย่างร่วมกัน มีกิจกรรมร่วมกัน รวมถึงมีการสัญลักษณ์ที่จดจำได้ เช่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ หรือสร้างเหตุการณ์สำคัญ รวมถึงลักษณะสำคัญที่เป็นเรื่องของกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย แก๊งจะได้รับการจัดตั้งขึ้นเพื่อปกป้องพวกเขาและสร้างความรู้สึกของการมีครอบครัว” (Yablonsky, 1997) กล่าวอีกนัยหนึ่งสมาชิกในแก๊งเป็นเหมือนครอบครัวหรือตัวแทนครอบครัว ที่สมาชิกมารวมตัวกันและดูแลซึ่งกันและกัน ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ Lingren (1996) แสดงให้เห็นว่า 50 ถึง 85 เปอร์เซ็นต์ของสมาชิกแก๊งมาจากบ้านที่มีพ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยวหรือบ้านที่ไม่มีพ่อแม่อาศัยอยู่กัน หรือไม่มีเวลาดูแลลูก ดังนั้นหากผู้ปกครองไม่สามารถจัดโครงสร้าง กำกับดูแล ช่วยเหลือ และดูแลเด็กและเยาวชนในช่วงเวลาสำคัญของการพัฒนาวัยรุ่น วัยรุ่น พวกเขาอาจหันมาเข้าร่วมกลุ่มเพื่อสนองความต้องการของตนเอง เมื่อเข้ามาร่วมกลุ่ม พวกเขา(ผู้นำกลุ่ม)จะจัดวางและสร้างโครงสร้างให้กับชีวิตของสมาชิกในแก๊ง เช่น การแต่งรถ การแข่งรถ การไปเที่ยว ไปเสพยา กินเหล้า สูบบุหรี่และอื่นๆ ซึ่งจะมาจากการมั่วสุมพูดคุยกันแบบเห็นหน้าค่าตา การโทรศัพท์คุย การไลน์คุยกันและการเตรียมการที่จะกระทำบางอย่างในแต่ละวัน โดยมองว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างอัตลักษณ์ของกลุ่มตัวเองที่เด่นชัดและเป็นที่จดจำขึ้นมา รวมทั้งการวางแผนหาเงินจากกิจกรรมบางอย่าง ดังเช่น นักวิชาการที่ศึกษาแก๊งเยาวชนในอเมริกาบอกว่า “พวกเขาหาเงินได้จากอาชญากรรม โดยเฉพาะยาเสพติด และผูกพันกันด้วยความภักดีต่อหัวหน้าแก๊งเผด็จการ พวกเขาทำลายชีวิตและทรัพย์สิน ด้วยความรุนแรงและการฆาตกรรมรวมถึงการโจมตีผู้บริสุทธิ์ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่” (Hallsworth, 2011) ปรากฏการณ์ดังกล่าว ถูกวิเคราะห์ว่าเกิดจากเด็กและวัยรุ่นบางคนที่รู้สึกว่าเสียงตัวเองไม่ถูกได้ยิน (จึงใช้เสียงบิดรถให้คนอื่นได้ยินแทน) หรือรู้สึกว่าตนเองอยากมีพลังอำนาจ (โดยการไปรังแกคนที่อ่อนแอกว่าใช้อำนาจความเป็นชายข่มเหงคนอื่น) และสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงได้หันไปหาแก๊งค์เพราะจะทำให้พวกเขามีความรู้สึกว่าตัวเองมีสถานะสูงส่งและจับต้องอำนาจที่มองไม่เห็นนั้นได้ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นปัญหาและสถานการณ์ที่รุนแรงมากขึ้นในปัจจุบัน ผมว่าในทางวิชาการ นักสังคมวิทยาและนักมานุษยวิทยารวมถึงนักจิตวิทยาคงต้องมาช่วยอธิบายเรื่องนี้ และหาแนวทางแก้ปัญหาร่วมกันครับ …

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...