ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

รัฐกับการเกษตรกรรม จากหนังสือ เจมส์ ซี สก๊อตต์ โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 History of the Earliest  States ของ Jame C Scott (2017) มาอ่านแล้วมีหลายประเด็นที่น่าสนใจ หนังสือจำนวนเกือบ300หน้า แต่ได้ประเด็นดีๆเยอะมาก ..สนุกกว่าทำประกันคุณภาพมากกกเลย

**การก่อกำเนิดรัฐสัมพันธ์กับการทำการเกษตร

   เมื่อการเกษตรเกิดขึ้น มันทำหน้าที่ในการทำให้ความอิสระของคน ที่ไม่ยึดติดกับพื้นที่หรือทรัพย์สิน โดยเฉพาะกลุ่มคนล่าสัตว์หาของป่า อยู่ติดที่ติดทางมากขึ้น และคุ้นชินกับกับตารางเวลาของการควบคุม ในรูปแบบของการเพาะปลูกข้าวแบบนาปี การทำสวน การเลี้ยงสัตว์ ที่เขื่อมโยงกับการถือครองทรัพย์สินและความมั่งคั่ง เช่น ที่ดิน จำนวนพืชผล จำนวนสัตว์เลี้ยง และอื่นๆ 

   การค้นพบไฟ การเอาพืชและสัตว์ในป่ามาเลี้ยงคือการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เพราะความต้องการเหล่านั้น มีความสัมพันธ์กับการปรับลดความสามารถในการหาอาหารในป่า รวมถึงการลดรัศมีของการหาอาหารให้แคบลงโดยเน้นอาหารในพื้นที่ขนาดเล็กรอบ ๆที่พักอาศัยมนุษย์ เจมส์ ซี สกอตต์อธิบายถึงจุดเริ่มต้นของการอยู่ประจำในที่พื้นที่ชุ่มน้ำหรือพื้นที่ราบลุ่ม ก่อนการเพาะปลูกธัญพืช เป็นเวลา 4,000 ปีระหว่างการเพาะปลูกเมล็ดพืชในบ้านกับสังคมเกษตรกรรมที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเข้มข้น โดยมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นผลประโยชน์ที่ดีที่สุดสำหรับคนยุคแรกที่จะเสริมอาหารที่มีอยู่ของพวกเขาด้วยเมล็ดธัญพืชและพืชผลในบ้านอื่น  แทนที่จะพึ่งพา พืชผลโดยเฉพาะ เขาคิดว่าความสามารถในการปรับตัวในกลยุทธ์เพื่อการยังชีพเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการเกษตรในยุคแรกสำหรับบรรพบุรุษของพวกเรา

  มนุษย์ทำในสิ่งที่มากกว่าการเลี้ยงวัวควายและการปลูกพืชผล และสิ่งนี้มีผลกระทบอย่างลึกซึ้ง การเปลี่ยนแปลงที่ได้นำมาสู่การจัดการสิ่งแวดล้อมของมนุษยชาติโดยการคัดเลือกพืชพันธุ์ สัตว์เลี้ยงจากธรรมชาติ ..การพรากสิ่งเหล่านี้จากธรรมชาติที่มันดูแลและเติบโตด้วยตัวเอง มาทำให้เชื่องและอยู่ในอำนาจของมนุษย์ในการดูแล เพื่อดึงเอาชนิดของพืชที่ไม่รู้จักตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษของพวกเราและเมื่อนำมาเลี้ยงและเพาะปลูกในครัวเรือน พวกมันก็ไม่สามารถอยู่รอดได้หากปราศจากการดูแลของมนุษย์ และกลายเป็นสัตว์เลี้ยง เป็นพืชในครัวเรือนของมนุษย์นับตั้งแต่นั้นมา

      นอกจากนี้เรายังเลี้ยงสัตว์ด้วยการคัดออกสัตว์ที่มีลักษณะไม่พึงประสงค์และปลูกฝังในสิ่งที่เราพอใจ สิ่งนี้เปลี่ยนสัตว์ทั้งในด้านพฤติกรรมและทางสรีรวิทยาทำให้พวกมันเชื่องและไม่มีการตอบโต้อย่างถาวร  การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีผลเสียต่อตัวสัตว์เอง แม้ว่าจะส่งผลในเชิงบวกต่อผลผลิตสำหรับเจ้าของครัวเรือนที่เลี้ยงสัตว์ก็ตาม

  เจมส์ ซี สกอตต์จึงหันไปอธิบายสิ่งที่เขาเรียกว่า " "Human Parallels" ซึ่งตัวมนุษย์เองอาจได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยการเลี้ยงดู ตั้งแต่โครงสร้างกระดูกที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้หญิงที่ถูกบังคับให้ทำงานภาคเกษตรไปจนถึงขนาดร่างกายที่แตกต่างกันทั่วไปและการพิสูจน์การขาดสารอาหารในมนุษยชาติหลังเกษตรกรรม สกอตต์ให้เหตุผลว่ามนุษย์ได้พัฒนาการเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ของพวกมันเอง  เจมส์ ซี สกอตต์คาดการณ์ว่าเราอาจจะเชื่อฟังมากขึ้นและไม่ตระหนักถึงสภาพแวดล้อมรอบตัวเรา เขายังให้เหตุผลว่าความต้องการของพืชและสัตว์เลี้ยงในครัวเรือนเกือบทำให้เราตกเป็นทาสของความต้องการเฉพาะอย่างพิถีพิถันและในชีวิตประจำวัน

   เจมส์ซีสกอตต์เน้นย้ำแนวคิดของเกษตรแบบอภิบาลสัตว์ หรือเลี้ยงสัตว์ นั่นคือ วิถีการผลิตโดยใช้สัตว์เลี้ยงเพื่อการไถนาในการเกษตรและการเป็นสัตว์เลี้ยงที่ให้ผลผลิตอื่นๆในครัวเรือน นม เนื้อมูลสัตว์และอื่นๆ เขาตั้งคำถามว่าเหตุใดคนที่ล่าสัตว์หาของป่าซึ่งเขาเชื่อว่ามีชีวิตที่ค่อนข้างดีและสมบูรณ์จึงหันมาใช้วิธีการเหล่านี้ โดยเปลี่ยนมาเป็นการทำฟาร์มเพื่อยังชีพ ที่ดูเป็นเรื่องทางโลกที่จำกัดตัวเองกับพื้นที่และมีความน่าเบื่อหน่ายมากกว่าสังคมนักล่าสัตว์และหาของป่าที่มีอิสระ จากนั้นเขาก็อ้างเหตุผลว่าเหตุใดสังคมเหล่านี้จึงแปรสภาพเป็นสังคมอภิบาลเกษตรเนื่องจากการบีบบังคับจากรัฐ เขาอ้างอิงงานวิจัยเกี่ยวกับแหล่งโบราณคดีในเมโสโปเตเมียชื่อ Abu Hureyra สกอตต์เห็นด้วยกับนักวิชาการคนอื่นๆ ในสาขาที่ว่า "'ไม่มีนักล่าสัตว์และเก็บของป่าที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีผลผลิตเพียบพร้อมด้วยอาหารป่าหลายชนิดที่สามารถจัดหาได้สำหรับทุกฤดูกาล มีแนวโน้มที่จะเริ่มหันมาเพาะปลูกพืชหลักที่ให้แคลอรี่ของพวกเขาด้วยความเต็มใจและสุดท้ายสกอตต์ยังชี้ให้เห็นว่ารัฐในยุคแรกๆ ถูกรุมเร้าโดยอันตรายและความเสี่ยงจากสัตว์สู่คนเช่น โรคที่แพร่กระจายจากสัตว์สู่คน ซึ่งส่งผลให้อัตราการป่วยเป็นโรคสูงขึ้น

  หากอารยธรรมถูกตัดสินถึงความสำเร็จของรัฐ และหากอารยธรรมโบราณหมายถึงการอยู่ประจำที่ การทำเกษตรกรรม  การชลประทาน และการเติบโตของเมือง ความสำเร็จทั้งหมดของมนุษย์ในยุคหินใหม่นี้เจมส์ ซีสก็อตต์ได้ให้คำจำกัดความของรัฐโดยเน้นที่ตัวชี้วัด ที่เกี่ยวข้องกับอาณาเขตและเครื่องมือพิเศษของรัฐ อย่างเช่นกำแพงการจัดเก็บภาษีและเจ้าหน้าทีของรัฐ เมืองสุเมเรียนแห่งอุรุกเป็นตัวอย่าง สกอตต์กล่าวว่าในอูรุก เกษตรกรรมในยุคแรกๆจำเป็นต้องมีวิถีชีวิตที่ยากลำบากมาก หลายคนต้องถูกรัฐบังคับให้ทำงานหนัก เช่น การสร้างช่องทางของการชลประทาน เป็นต้น

  ด้วยเหตุนี้ การทำสงครามระหว่างเมืองที่เป็นคู่แข่งกันจึงแพร่หลายมากในช่วงเวลานี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งแรงงานทาสหรือเพื่อยึดครองพื้นที่ที่ได้รับการชลประทานแล้ว สกอตต์ไปไกลถึงขั้นอ้างว่า "Grains Make States" การแนะนำแหล่งอาหารหลักทำให้รัฐเก็บภาษีจากประชาชนได้มาก ธัญพืช โดยเฉพาะข้าวสาลี กลายเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเก็บภาษีของประชาชน ธัญพืช เช่น ข้าวสาลีหรือข้าวมีคุณค่าต่อน้ำหนักมากกว่าแหล่งอาหารอื่นๆ และขนส่งได้ง่ายกว่ามาก ตามที่เขาพูดว่า "กุญแจสู่การเชื่อมต่อระหว่างธัญพืชและรัฐมีอยู่จริง ฉันเชื่อว่าในความจริงที่ว่าเมล็ดธัญพืชเท่านั้นที่สามารถทำหน้าที่เป็นพื้นฐานสำหรับการจัดเก็บภาษี มองเห็นได้ แบ่งได้ ประเมินได้ จัดเก็บได้ เคลื่อนย้ายได้และ มีเหตุผล' ' พืชผลอื่นๆ เช่น พืชตระกูลถั่ว พืชหัว และพืชแป้ง ที่มีคุณสมบัติที่รัฐพึงใจเหล่านี้  ภายใต้การทำให้ผู้คนจ่ายภาษีในเมล็ดพืช การบังคับให้ผู้คนเปลี่ยนการผลิตพืชดั้งเดิมสู่แหล่งอื่น หรือเปลี่ยนอาหารที่พวกเขาชอบไปสู่พืชที่สร้างความมั่งคั่งให้กับรัฐ

   เจมส์ ซี สกอตต์อธิบายรัฐยุคแรกว่าเป็นเสมือนเครื่องจักรทางประชากร ผู้ปกครองให้ความสำคัญกับผลิตภาพและจำนวนผู้คน รัฐยุคแรกต้องรวบรวมผู้คน ตั้งถิ่นฐานชุมชนของพวกเขาให้อยู่ใกล้ศูนย์กลางของอำนาจ และบังคับให้พวกเขาสร้างส่วนเกินเกินความต้องการของตนเอง นอกจากนี้ เขายังตั้งข้อสังเกตว่าเนื่องจากรัฐในยุคแรกเต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ประชากรมีแนวโน้มลดลงเว้นแต่ผู้คนจะถูกแทนที่ด้วยทาสใหม่จากที่อื่น ในรัฐแรกเริ่ม การควบคุมประชากรนี้มักใช้รูปแบบของการบังคับให้ประชาชนตั้งรกรากบนที่ดินอันอุดมสมบูรณ์ จากนั้นจึงป้องกันไม่ให้พวกเขาหลบหนีเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นทาสและแรงงาน หลักฐานชิ้นหนึ่งที่สกอตต์อ้างถึงคือประมวลกฎหมายฉบับแรกเริ่มสุดที่เต็มไปด้วยคำสั่งห้ามโดยมีจุดประสงค์เพื่อ กีดกันและลงโทษ เจมส์ ซี สกอตต์อ้างถึงประมวลกฎหมายฮัมมูราบีประกอบด้วยกฎหมาย 6 ฉบับที่มีวัตถุประสงค์เพื่อกีดกันการมีอิสระและการหลบหนีของทาส ผลลัพธ์สุดท้ายของระบบนี้คือรัฐที่มีประชาชนส่วนใหญ่มักมีอำนาจมากที่สุด สิ่งนี้สร้างแรงจูงใจที่น่าสนใจสำหรับรัฐในยุคแรกๆ ที่จะพยายามเพิ่มจำนวนประชากร และป้องกัน "การรั่วไหลของประชากรผ่านการเป็นทาสและเฉลยสงคราม

   ในขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การลดลงของทรัพยากร โรค สงคราม และการย้ายถิ่นไปยังพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น มุมมองของสกอตต์ก็คือหลักฐานทางโบราณคดีชี้ให้เห็นว่าชุมชนมนุษย์ในยุคแรก  มีการยุบตัว แยกย้ายกันไป กลับมารวมกันและยุบอีกครั้งอย่างต่อเนื่อง สกอตต์เชื่อว่านักวิชาการมองว่าการล่มสลายของรัฐนั้นไม่ดี เนื่องจากสูญเสียความซับซ้อนทางวัฒนธรรมไป แต่ในความเป็นจริง เขาคิดว่ามันอาจดีสำหรับคนส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้อง สกอตต์ยืนยันว่าการอาศัยอยู่ในรัฐยุคแรกหมายความว่าคุณต้องเผชิญกับสงครามขนาดใหญ่และการเป็นทาส และช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์หลังจากการล่มสลายของรัฐอาจทำให้มาตรฐานการครองชีพและเสรีภาพสูงขึ้นก็เป็นได้

  เจมส์ ซี สกอตต์ตั้งข้อสมมติฐานทางทฤษฎีว่าเมื่อ 400 ปีก่อนว่ามนุษยชาติอยู่ใน "ยุคทองของอนารยชนนี่เป็นยุคที่ประชากรโลกส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นคนเก็บภาษี ส่วนหนึ่งเกิดจากการดำรงอยู่ของ "เขตป่าเถื่อนเช่น ผืนดินขนาดใหญ่ที่รัฐพบว่าเป็นไปไม่ได้หรือยากที่จะขยายการปกครองออกไป สถานที่ต่างๆ เช่น ภูเขาและที่ราบกว้างใหญ่ เช่นเดียวกับ ป่าทึบที่รกร้าง หนองน้ำ บึง สันดอนของแม่น้ำ บึง ทุ่ง ทะเลทราย ป่าดงดิบ พื้นที่แห้งแล้ง และแม้แต่ทะเลด้วยเช่นกัน ที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่ การมีผู้คนจำนวนมากที่อยู่ห่างไกลจากรัฐ แต่ยังทำให้พวกเขาเป็นภัยคุกคามทางทหารที่สำคัญต่ออำนาจของรัฐ

   นักวิชาการส่วนใหญ่มักอธิบายว่า ชุมชน "ป่าเถื่อนบางแห่งมีการพัฒนาและกลายเป็นรัฐยุคแรกและเป็นชุมชนทางอารยธรรม ในขณะเดียวกันผู้ที่ไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงนี้ยังคงเป็น "คนป่าเถื่อน เจมส์ ซี สกอตต์ให้เหตุผลว่าประวัติศาสตร์ของ "คนป่าเถื่อนและรัฐนั้นลื่นไหลกว่ามาก ที่จริงแล้วบางคน "เปลี่ยนกลับไปเป็นป่าเถื่อนอย่างรวดเร็วเพราะความล้มเหลวและความมากเกินไปของรัฐ นี่หมายความว่าอารยธรรมและการสร้างรัฐไม่ใช่ความก้าวหน้าที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ แต่เป็นโครงการที่โหดร้ายที่ผู้คนพร้อมหลีกเลี่ยงเมื่อพวกเขาถูกกดขี่และสามารถต่อรองกับมันได้...



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...