ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ความสกปรก ความสะอาดและข้อห้าม โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

 ระหว่างนั่งอ่านหนังสือของแมรี่ ดักลาส เพื่อร่างประเด็นที่จะสอนในเทอมหน้า...ทำให้เห็นมุมมองในประเด็นเกี่ยวกับมนุษย์และเชื้อโรคที่น่าสนใจและสามารถขบคิดกับประเด็นเหล่านี้ต่อได้อีกหลากหลายแง่มุม เลยร่างความคิดไว้เดี๋ยวลืม ...เพราะนึกถึงกะลาตาเดียวที่เจ้าวัดกะเหรี่ยงแจกพี่น้องในช่วงโควิด กรณีสลัมคลองเตย ความเกลียดกลัวคนเป็นโควิด..เป็นต้น

  ขอเริ่มจากคำกล่าวของแมรี่ ดักลาสที่ว่า  “The human body is alway treated as an image of society”. หรือร่างกายมนุษย์ได้รับการปฏิบัติในฐานะภาพลักษณ์ของสังคมเสมอมา....

      ร่างกายมนุษย์สัมพันธ์กับเรื่องของความสะอาดและความสกปรกที่เชื่อมโยงกับภาวะชายขอบ ความเป็นอันตรายและความเจ็บป่วย ในฐานะของสิ่งที่สะท้อนให้เห็นความคิดและการปฏิบัติที่มีต่อเรื่องดังกล่าว ดังที่แมรี่ ดักลาสบอกว่า  “ที่ใดมีสิ่งสกปรก (Dirt) ที่นั่นย่อมมีระบบ(System) สิ่งสกปรกถือเป็นผลพลอยได้ที่เกิดจากการจัดลำดับและการจำแนกแยกประเภทของสสารหรือสิ่งต่างๆอย่างเป็นระบบ ไปจนถึงการสร้างกฏเกณฑ์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการปฏิเสธองค์ประกอบบางอย่างที่ไม่เหมาะสม”....

     เมื่อร่างกายคือสิ่งที่สะท้อนภาพลักษณ์ของสังคมวัฒนธรรม เป็นอุดมคติของสังคม ดังนั้นการจะเปลี่ยนแปลงสังคมวัฒนธรรม เราต้องเปลี่ยนแปลงระบบวิธีคิด ในการจัดการสิ่งต่างๆ ดังที่แมรี่ ดักลาสได้กล่าวว่า “If you want to change the culture, you will have to start by changing the organization” หรือ ถ้าคุณต้องการจะเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม คุณจะต้องเริ่มต้นโดยการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดระเบียบทางสังคมวัฒนธรรมเสียก่อน

       ในหนังสือของ แมรี่ ดักลาว เรื่อง  Purity and Danger: An Analysis of the Concepts of Pollution and Taboo (1966) หากพิจารณาจากสังคมในอดีต สังคมดั้งเดิม (Primitive Societies) จัดเป็นสังคมที่ไม่ได้มีการแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างความบริสุทธิ์ (Purity) และความเป็นมลทิน( Pollute)อย่างชัดเจน แต่สำหรับสังคมตะวันตกมีความแตกต่างอย่างชัดเจนมากกว่า ระหว่างสิ่งที่สกปรกและสิ่งที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นกฎศักดิ์สิทธิ์ (Sacred rules) จึงเป็นกฎเกณฑ์ที่ปกป้องความเป็นพระเจ้า ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าและความไม่สะอาดที่เป็นอันตรายในการติดต่อสื่อสารกับพระเจ้าหรือตัวแทนของพระเจ้าแบบสองทาง...

   ในสังคมดั้งเดิม แนวความคิดเรื่องข้อห้าม ความสะอาด ความสกปรกและความศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่ถูกบรรจุเข้าไปในตัวตนของผู้คน  ภายใต้แนวคิดที่มีการแบ่งแยกเกี่ยวกับวัตถุ บุคคลหรือสถานที่ มีความเกี่ยวข้องกับความศักดิ์สิทธิ์ หรือภาวะของความไม่สะอาดที่ถูกส่งออกหรือถ่ายทอดจากผู้คนที่ไม่บริสุทธิ์หรือมีมลทินที่ร่างกายจะต้องมีการสัมผัสกับผู้คนหรือวัตถุนั้นทำให้ผู้คนหรือวัตถุนั้นแปดเปื้อนหรือสกปรก ในขณะเดียวกับหากตัววัตถุนั้นมีคุณลักษณะที่สกปรก มีการสัมผัสกับร่างกายทางกายภาพที่สะอาดกับวัตถุที่สกปรกนั้น ก็จะที่ถือว่าร่างกายนั้นไม่สะอาด รวมทั้งจะทำให้เกิดการแพร่กระจายของความไม่สะอาดจากวัตถุหรือการกระทำนั้นไปยังร่างกายของคนนั้นหรือพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์บางอย่างได้ ตัวอย่างเช่น ในศาสนาคริสต์นั้น ความไม่สะอาดดังกล่าวจะไม่แทรกซึมผ่านเข้าสู่ร่างกายเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งผ่านเข้าไปสู่วิญญาณข้างในของมนุษย์ด้วย  แมรี่ ดักลาสเน้นย้ำว่าเพื่อที่เราจะเข้าใจสังคมอื่น ๆ ในเรื่องของสิ่งต้องห้ามและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างเต็มที่นั้น เราต้องหันมาพินิจพิเคราะห์หรือทำความเข้าใจสิ่งที่ตัวเราเองทำก่อนหรือปฏิบัติอยู่ก่อนเริ่มต้นด้วย...เราจะมองเห็นระบบที่มันจัดการควบคุมตัวเราอยู่

    แมรี่ ดักลาส ได้ทำการรื้อถอนความเข้าใจผิดที่มีทัศนะแบบเน้นยุโรปเป็นศูนย์กลางที่เป็นสากลว่า   พิธีกรรมต่างๆและพิธีกรรมเพื่อความสะอาดถูกกำหนดขึ้นโดยมีสุขอนามัย สุขวิทยาหรือสุขลักษณะเป็นเป้าหมาย การหลีกเลี่ยงเนื้อหมูในศาสนาอิสลามมักถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ถูกสุขลักษณะเป็นสิ่งที่พึงกระทำ หรือการใช้น้ำหอม กลิ่นของธูปเทียนหรือเครื่องจุดในพิธีกรรม เป็นไปเพื่อการปกปิดกลิ่นตัว แทนที่จะถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของควันแห่งการบูชายัญหรือการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากกว่า ดักลาสยังยอมรับว่ามีความคล้ายคลึงกันอย่างมากระหว่างพิธีกรรมในยุโรปกับพิธีกรรมดั้งเดิมโดยหลักการละเว้นหรือการห้ามปฏิบัติ ในขณะเดียวกันก็มีรากฐานที่แตกต่างกันด้วย หากแยกพิธีกรรมในยุโรปตามความคิดเรื่องสุขอนามัย (hygiene) และพิธีกรรมดั้งเดิมตามระบบความเชื่อทางสัญลักษณ์ (symbolism) นั้น  พิธีกรรมความสะอาดของยุโรป (European rituals)พยายามที่จะฆ่าเชื้อโรค ในขณะที่พิธีกรรมความสะอาดแบบดั้งเดิม (primitive rituals) พยายามขับไล่วิญญาณชั่วร้าย อย่างไรก็ตามดักลาสระบุว่าคงไม่เพียงพอที่เราจะจำกัดความแตกต่างระหว่างพิธีกรรมแบบยุโรปและพิธีกรรมดั้งเดิมให้เป็นเพียงประโยชน์ด้านสุขอนามัยเท่านั้น...

    เธออ้างว่าแนวคิดสมัยใหม่เกี่ยวกับสิ่งสกปรกนั้นมีความหมายเหมือนกันกับการสร้างความรู้ในเรื่องเชื้อโรคและแบคทีเรีย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะนึกถึงสิ่งสกปรกในบริบทอื่นๆยกเว้นในบริบทของการเกิดโรค แต่หากเราขจัดความคิดของแบคทีเรียและสุขอนามัยออกจากแนวคิดเรื่องสิ่งสกปรกสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือสัญลักษณ์ของสิ่งสกปรก ที่เป็นผลผลิตของระบบกฎเกณฑ์  (The product of a systematic order) และการจำแนกแยกประเภทของวัตถุสสาร (classification of matter)ในสังคม ..หากเราสามารถมองให้มากกว่าเรื่องเชื้อโรคและสุขอนามัยในความคิดและคำอธิบายเกี่ยวกับความสกปรก เราก็จะก้าวข้ามคำจำกัดความของสิ่งที่เรียกว่า “ความสกปรก” และเห็นมันในมิติที่หลากหลายซับซ้อน..

          ดักลาสเริ่มสร้างความคิดที่ว่า มนุษย์มีแนวโน้มที่จะจัดโครงสร้างวัตถุและสถานการณ์รอบตัวให้เป็นแบบแผนระบบที่มีการจัดระเบียบอย่างดี คนที่มีอายุมากขึ้นก็จะยิ่งมีความมั่นใจและประสบการณ์มากขึ้นในโครงสร้างของพวกเขา ตามหลักการนี้แล้วยิ่งประสบการณ์มีมากขึ้น ภาวะของความสอดคล้องกันภายในโครงสร้างก็จะยิ่งมีมากขึ้น เพราะพวกเขามีความมั่นใจมากขึ้นในประสบการณ์ที่มีมากขึ้นนั้น ส่งผลให้เมื่อแต่ละคนพบข้อเท็จจริงหรือแนวโน้มที่ขัดขวางต่อโครงสร้างที่พวกเขายอมรับ พวกเขาส่วนใหญ่จะเพิกเฉยต่อสิ่งนั้น สิ่งที่ถือว่าไม่บริสุทธิ์คือวัตถุหรือปรากฏการณ์ที่ไม่สอดคล้องกับโครงสร้างทางสังคมหรือสัญลักษณ์ที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ ภายใต้ภาวะของความเสี่ยง ความเป็นชายขอบ ความคลุมเครือ และอันตราย ดักลาสจึงเชื่อมโยงสิ่งสกปรกในฐานะของการเป็นรูปแบบหนึ่งที่สร้างการขัดจังหวะ ยับยั้งหรือทำลายระบบกฏเกณฑ์ ดังนั้นจึงต้องกีดกันสิ่งเหล่านั้น เพื่อรักษาความสมบูรณ์ของระบบเอาไว้ ภายใต้การสร้างข้อห้ามหรือวิถีของการปฎิบัติที่เป็นระบบระเบียบขึ้นมาควบคุม...

  ดังนั้นในแง่หนึ่ง สิ่งที่เรียกว่าข้อห้าม สะท้อนให้เห็นความพยามที่จะสร้างคำนิยามหรือการให้คำจำกัดความต่อสิ่งที่เรียกว่าข้อห้ามหรือ Taboo ที่สามารถกล่าวจากการอ่านงานต่างๆได้ว่า Taboo ไม่ใช่แค่สิ่งที่ไม่สามารถนิยามได้อย่างชัดเจนหรือสิ่งที่ไม่สามารถทำได้เท่านั้น แต่มันยังรวมถึงสิ่งที่ทำให้เราไม่สามารถคิดเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างได้ด้วย ซึ่งเชื่อมโยงกับข้อห้ามและความรู้สึกกลัวที่จะกระทำหรือละเมิดเกี่ยวกับมัน..

   คำว่า Taboo เป็นสิ่งที่ถูกหยิบยืมมาจากภาษาของเผ่า Tonga  ในกลุ่มของพันธมิตรของชนชาติพันธ์ุในหมู่เกาะแถบโพลีนีเซียน และเป็นสิ่งที่ถูกอ้างถึงในวาทกรรมหรืองานเขียนของชาวยุโรปที่ต้องขอบคุณกัปตันคุ้ก (Cook) ที่ถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ที่เขาพบจากชนพื้นเมืองออกมา..ทุกสิ่งเกี่ยวกับTaboo มักถูกบรรจุไปด้วยเรื่องเล่าของอำนาจของเวทมนต์ (Magical Power)  ในศตวรรษที่ 18  คำว่า Taboo เป็นสิ่งที่บ่งชี้เกี่ยวกับ Cult Ban หรือลัทธิพิธีเกี่ยวกับข้อห้ามหรือข้องดเว้น ที่เกี่ยวข้องกับการไม่สามารถสัมผัส การไม่สามารถทำ  ไม่สามารถกิน ไม่สามารถอยู่ รวมถึงเพศวิถีที่ไม่สามารถยอมรับได้ ที่เชื่อมโยงกับศักดิ์สิทธิ์ ความชั่วร้ายและคำสาปแช่ง โดยคำศัพท์และคำอธิบายเกี่ยวกับ Taboo ได้ถูกปะทะและเผชิญหน้า กับนักเดินทาง นักสำรวจที่หลากหลายที่เข้ามาในเกาะต่างๆของโอเชียเนียและกลายเป็นข้อค้นพบเริ่มแรกที่สุดของนักสำรวจชาวยุโรป ที่กลายเป็นสิ่งที่ตื่นเต้นน่าแปลกใจ แปลกประหลาดสำหรับคนต่างถิ่นโดยเฉพาะนักมานุษยวิทยา 

    Tabu / Taboo คือการรับรู้ ความเข้าใจและการควบคุมเกี่ยวกับพฤติกรรม การกำหนดเกี่ยวกับรูปแบบของการประพฤติปฎิบัติ และในท้ายที่สุดมันจะกลายเป็นสิ่งที่บ่งชี้ให้เห็นความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของกลุ่มสังคม กัปตันคุ้ก ประสบความสำเร็จกับการบ่มเพาะเมล็ดพันธ์ของชนพื้นเมืองบนดินแดนของชาวยุโรปแต่ในรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงหรือแตกต่างออกไป นี่คือสิ่งที่ถูกซึมซับย่างรวดเร็วไปยังสังคมที่เจ้าระเบียบ (Puritan society) ในยุควิกตอเรียน ของอังกฤษ สิ่งที่น่าสนใจคือ Taboo ถูกเชื่อมโยงกับความคิดแบบ Protestantism, Colonialism, Bourgeoisie ที่ผลิตชุดคำของข้อห้ามที่แตกต่างหลากหลายจากความหมายดั้งเดิมของคนพื้นเมือง

  ซิกมันด์ ฟรอยด์ เชื่อว่า คำศัพท์เกี่ยวกับ Taboo มี 2 ความหมายที่ตรงกันข้ามกันคือ อย่างแรก มันถูกนิยามเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ (Sacred) ที่จะต้องเสียสละอุทิศตนเพื่อเข้าถึงความศักดิ์สิทธิ์ มันคือสิ่งที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ เป็นทั้งอันตรายและเป็นข้อห้ามกับความไม่บริสุทธิ์ (เน้นพื้นที่ทางศาสนาและพิธีกรรม) อย่างที่สอง  Taboo มีลักษณะเป็นสิ่งธรรมดาสามัญที่เป็นสากล (พบได้ในที่ต่างๆทั่วโลก) ที่แสดงตัวมันเองเกี่ยวกับข้อห้าม ข้อปฏิบัติและความเคร่งครัดที่ไม่ถูกลดทอนกับเรื่องของเทพเจ้า ความศักดิ์สิทธิ์ และข้อห้ามทางศีลธรรม แต่มันคือข้อห้ามในชีวิตประจำวันทั่วไปที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องศาสนา

    ประเด็นเหล่านี้สามารถนำมาใช้อธิบายกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโรคและความเจ็บป่วยของผู้คนในยุคปัจจุบัน ทั้งการสวมหน้ากาก การเว้นระยะห่าง การใช้เจลแออลกอฮอล์ การล้างมือ ล้างผัก การปรับเปลี่ยนหรือควบคุมพฤติกรรมจากการบริโภค ผลผลิตที่สะอาด ไม่สะอาด มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์ ที่สร้างให้เกิดTaboo แบบใหม่ๆและการปฎิบัติของผู้คนในยุคNew Normal

อ้างอิงจาก  Mary Douglas In Purity and Danger: An Analysis of the Concepts of Pollution and Taboo (1966)

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...