ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ปลายนิ้วสัมผัสเป็นสัมผัสตาย โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

ปลายนิ้ว : สัมผัสเป็นสัมผัสตาย
“เทคโนโลยีที่ทันสมัยก้าวหน้าทำให้ข้อมูลข่าวสารต่างๆเชื่อมโยงเข้าหากันอย่างรวดเร็วและคนสามารถแชร์แบ่งปันข้อมูลข่าวสาร อารมณ์ความรู้สึกระหว่างกัน..แค่เพียงปลายนิ้วสัมผัส”
ในเวลาหนึ่งวัน การไหลเวียนของข้อมูลข่าวสารบนหน้าเฟสบุ๊คของเราในพื้นที่โซเชียลมีมากมายหลากหลาย ทั้งข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ ข่าวสด มติชน ไทยรัฐ CNN BBC หรือข่าวสารข้อมูลเหตุการณ์ เรื่องราว กิจกรรมของเพื่อๆของเราในแต่ละวัน ...ที่ได้สร้างธรรมเนียมหรือวัฒนธรรมของการกดไลน์ กดแชร์  แสดงความคิดเห็นต่อสิ่งที่เราหรือคนอื่น UPDATE, UP STATUS หรือ POST ในแต่ละวัน หรือความสามารถที่จะโหลด แชร์ ดูคลิปแบบ Real Times ซึ่งแน่นอนว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยข้อดีก็อาจจะทำให้เราเข้าใจสถานการณ์ของปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ช่วยเตือนคนอื่น หรือให้ความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว จนไปถึงการสามารถติดตามตัวผู้กระทำความผิดได้ เป็นต้น แต่ข้อเสียก็มีเช่นกัน หากคลิปหรือข้อความนั้นถูกลดทอนความจริงลงไปจนแทบจะไม่เหลือ (หรือบางทีมันไม่มีความจริงอยู่แล้วตั้งแต่ต้น) หรือเอาความจริงบางส่วน หรือเล็กๆ มาตัดต่อ  ขยายความและผลิตซ้ำเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ เพื่อนำไปสู่การตีตรา การกล่าวหา การด่าทอ การเยาะเย้ยถากถางและความรู้สึกเกลียดชังอื่นๆมากมาย ซึ่งปรากฏให้เห็นบ่อยในโลกของสังคมออนไลน์.....
การเห็นบางส่วนโดยไม่เห็นทั้งหมดจึงเป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะมันทำให้เราจินตนาการ สร้างเรื่อง ปะติดปะต่อ ประกอบสร้างเรื่องราว ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความคิด อุดมคติและความรู้สึกของเราต่อเรื่องนั้นประกอบเข้าไปด้วย มันสามารถกลายเป็นเครื่องมือที่มีพลังอำนาจในการกระทำต่อคนอื่นได้ เหมือนกรณีตัวอย่างเช่นเราเห็นคนนอนอยู่หน้าบ้านเราแต่งตัวมอมแมมเสื้อผ้าขาด เราก็ตัดสินเบื้องต้นแล้วว่าคนคนนี้ต้องเป็นคนเมาและคนบ้า โดยที่เราอาจจะไม่ตั้งคำถามว่า เขาถูกทำร้ายหรือหนีออกมาจากบ้านหรือเปล่า  เมื่อเราคิดว่าเขาเป็นคนเมาหรือคนบ้า เราก็เลยปล่อยให้เป็นแบบนั้นหรือไล่เขาออกไปโดยสนใจที่จะพูดคุยไถ่ถามความเป็นมา ..... “
ย้อนกลับมาที่สังคมโซเชียล สิ่งที่น่าสนใจคือ เครือข่ายของความสัมพันธ์ดังกล่าวที่กระจายอย่างกว้างขวางไม่รู้จบ เริ่มต้นจากเราสู่เพื่อน จากเพื่อนเราสู่เพื่อนของเพื่อนเราอีกที และจากเพื่อนของเพื่อนเราสู่เพื่อนของเพื่อนของเพื่อนเราอีกทีไปเรื่อยๆ ดังกรณีของข่าวที่มีการแชร์ต่อกัน เป็นเรื่องของพ่อเลี้ยงข่มขืนลูกเลี้ยง โดยลูกกล่าวหาว่าแม่แท้ๆมีส่วนรู้เห็นและยินยอมให้พ่อเลี้ยงกระทำกับตัวเอง และยังทำร้ายโดยการใช้น้ำร้อนลวก เพราะความหึงหวง ในช่วงแรกที่มีการนำเสนอข่าวในวันแรกมียอดคนกดไลน์เกือบหนึ่งหมื่น ยอดแชร์อีกหลายร้อย ซึ่งในปัจจุบันน่าจะมากกว่านี้ และอีกหลายๆกรณีที่ความจริงยังต้องรอการพิสูจน์สืบค้นกันต่อไป แต่หลายคนก็ได้ตัดสินและให้คำตอบกับเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นแล้ว.... “กด ฉันต้องกดไลค์  ฉันต้องแชร์” ..... “เสพข่าว...ฟังมัน...อ่านมัน...กดไลน์...ไม่ต้องคิดอะไรมาก”....
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีข่าวสารและการสื่อสารนับเป็นการพัฒนาที่ก้าวหน้าไปไกลมาก...จากหนังสือพิมพ์รายวันแบบกระดาษมาสู่หนังสือพิมพ์ออนไลน์ในปัจจุบันที่เราสามารถอ่านได้จากสมาร์ทโฟน ไอโฟน แท๊ปเล็ต และอื่นๆ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่สามารถเก็บรวบรวมและบันทึกข่าวและเหตุการณ์ต่างๆรวมถึงคลิปภาพและเสียงได้มากกว่าหนังสือพิมพ์ธรรมดาอย่างมหาศาลกว่าหลายเท่าตัว....และเราสามารถย้อนกลับมาอ่านเมื่อไหร่ก็ได้
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือความรวดเร็วของการตัดสินคุณค่า พิจารณาเรื่องราวต่างๆ โดยไม่ต้องค้นหาพยานหลักฐานและสืบค้นข้อมูลหาความจริงใดๆทั้งสิ้น แต่เราสามารถใช้อำนาจบนปลายนิ้วมือตัดสินผู้คน เหตุการณ์ได้ผ่านปลายนิ้วสัมผัส ผ่านการกดไลค์ กดแชร์ แสดงความคิดเห็นอย่างดุเดือดเผ็ดร้อนต่อฝั่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับเรา...
กระบวนการเหล่านี้สะท้อนให้เห็นไม่ใช่แค่การส่งผ่านข้อความ ภาษาแต่เกี่ยวโยงกับความคิด อารมณ์ความรู้สึกของเราที่มีต่อสิ่งเหล่านี้ด้วย.....
การกดไลน์ กดแชร์มันอาจจะรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกันข้อมูลข่าวสารก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและถูกประกอบสร้างความจริงอยู่ตลอดเวลา วันนี้อาจใช่ พรุ่งนี้อาจไม่ใช่ วันนี้เป็นเรื่องจริง พรุ่งนี้เป็นเรื่องลวง เรื่องโอละพ่อ อย่างกรณีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งถูกข่มขืนและฆ่าที่ปาละเมาะ ซึ่งตอนเช้าเธอไปส่งพ่อของเธอที่ไร่มันสำปะหลังก่อนจะพบว่าเป็นศพ พ่อเธอคือผู้ต้องสงสัยและโดนกล่าวหาว่าข่มขืนลูกสาวตัวเอง สุดท้ายตำรวจตามจับคนร้ายได้ แต่สิ่งที่เขาเผชิญก็คือสายตาคนอื่นที่มองเขาเป็นอาชญากรเลวร้าย เพื่อนบ้านที่ไม่ยอมคบหาสมาคมด้วย หรือกระแสในโลกโซเชียลส่วนหนึ่งที่วิพากษ์และด่าทอพ่อเด็กอย่างสาดเสียเทเสียว่าอำมหิต ฆ่าข่มขืนลูกของตัวเองในช่วงที่ถูกกล่าวหา ถึงตอนนี้แม้จะจับตัวคนร้ายได้แต่บางอย่างมันได้ทำลายชีวิตและความรู้สึกของเค้าที่สูญเสียไปแล้วไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้เหมือนเดิมครับ....
                                                                                                                        


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...