การเชื่อมโยงสังคมศาสตร์ กับ ปรัชญาวิทยาศาสตร์สมัยใหม่
(วิทยาศาสตร์แบบเดการ์ต และ ฟิสิกส์ แบบนิวตัน)
หนังสือจุดเปลี่ยนหรือ
Turning Point ของ Frijof Capra สามารถแบ่งออกได้เป็น
3 ส่วนหลัก คือส่วนแรก เขาต้องการชี้ให้เห็นว่า ภาวะวิกฤติ(Crisis)เป็นหัวใจหรือโอกาสของการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ วิกฤตที่ว่า
ทั้งเทคโนโลยี พลังงาน การบริโภคที่ทำลายสิ่งแวดล้อม รวมถึงโครงสร้างทางวัฒนธรรม
และระบบคุณค่าที่ผิดเพี้ยนบิดเบี้ยวไป ที่ทำให้เกิดทัศนะการมองสิ่งต่างๆแบบแยกส่วน
ซึ่งเป็นต้นตอของสิ่งที่เรียกว่าวิฤตการณ์ของมนุษยชาติและโลกอย่างแท้จริง
ส่วนที่สอง เข้าให้ความสำคัญกับการก่อกำเนิดและลักษณะของกระบวนทัศน์ 2 แบบ ได้แก่วิทยาศาสตร์แบบเดิมตามแบบเดการ์ตและฟิสิกส์แบบนิวตันกับวิทยาศาสตร์ใหม่ตามหลักของควอนตัมฟิสิกส์
วิทยาศาสตร์แบบเก่าที่ทำให้เกิดการมองโลกแบบแยกส่วน
การมองโลกเป็นเครื่องจักรที่ประกอบด้วยชิ้นส่วนต่างๆที่รวมกัน
ในขณะที่ฟิสิกส์แบบควอนตัม มองปรากฏการณ์ต่างๆที่ปราศจากการดำรงอยู่ของตัวตนที่แน่นอนและเชื่อมกันอยู่โดยไม่อาจแยกออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด
ที่ทั้งสองแบบให้คำอธิบายความจริงที่ต่างกัน
และมนุษย์สามารถใช้ความรู้ทั้งสองแบบในการเข้าถึงความจริงได้เล่มสุดท้าย
เขาเสนอทัศนะแม่บทที่ไม่ใช่แค่การปฏิวัติวัฒนธรรมใหม่แต่เป็นเรื่องของจุดเปลี่ยนแห่งศตวรรษที่หันมาสนใจกระบวนการของความเป็นตะวันออก
(Esternization)
ซึ่งแตกต่างจากทัศนะแบบดั้งเดิมที่สร้างวิกฤตการณ์ต่างๆและรับใช้การแผ่ขยายอำนาจของตะวันตก
(Westernization)ซึ่งครอบงำทางการเมือง เศรษฐกิจ
เทคโนโลยีและวัฒนธรรม โดยเฉพาะความรู้ต่างๆที่มนุษย์ใช้ในการดำรงชีวิตและสร้างความเจริญก้าวหน้า
โดย ในส่วนที่สองได้พูดถึงทัศนะและลักษณะของปรัชญาวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่เป็นแม่แบบที่มีอิทธิพลต่อความรู้ของมนุษย์และความก้าวหน้าของโลก
อยู่ 2 แบบคือ วิทยาศาสตร์แบบเดการ์ต และฟิสิกส์แบบนิวตัน ที่มีลักษณะที่แตกต่างกันดังนี้
วิทยาศาสตร์แบบเดการ์ต
เริ่มต้นจากการตั้งข้อสงสัยอย่างถึงรากถึงโคน การตั้งข้อสงสัยกับทุกสิ่งทั้งความรู้ต่างๆที่สืบทอดต่อกันมา
หรือการรับรู้จากประสาทสัมผัสต่างๆ
หรือแม้แต่ข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของตัวเองว่ามีอยู่จริงหรือไม่ เขาสงสัยจนถึงจดที่ไม่สามารถสงสัยได้อีกต่อไป
ซึ่งนำไปสู่ความคิดเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของตัวเขาเองในฐานะผู้คิด
ดังที่เขากล่าวว่า เพราะฉันคิดจึงมีตัวฉัน
ที่เดการ์ตนำไปสรุปธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ก็คือความคิด
และสิ่งต่างๆที่เรารับรู้อย่างแจ่มชัดและแน่นอนเท่านั้นคือความจริง ที่เรียกว่า “ญาณทัศนะ”
วิธีการหาความรู้ของเดการ์ตใช้วิธีการของญาณทัศนะและการนิรนัยโดยการวิเคราะห์จำแนกแจกแจง
ความคิดและปัญหาออกเป็นชิ้นๆและจัดเรียงขึ้นใหม่ภายใต้ระเบียบวิธีการเชิงตรรกะหรือเรียกว่าทัศนะแบบลดส่วนซึ่งเป็นแก่นแกนของความคิดแบบวิทยาศาสตร์สมัยใหม่
ที่สามารถทำความเข้าใจปรากฏการณ์ที่ซับซ้อนด้วยการย่อส่วนลงมาศึกษาองค์ประกอบย่อยต่างๆของปรากฏการณ์นั้นๆ
ความคิดแบบเดการ์ตจึงให้ความสำคัญกับความคิดที่ช่วยทำให้ความหมายของจิตใจมีความสำคัญและเด่นชัดเมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่เป็นวัตถุโดยเฉพาะกาย
ซึ่งทำให้เขาแยกระหว่างกายกับจิตซึ่งเป็นอิทธิพลของวิธีคิดแบบทวิลักษณ์นิยมที่สำคัญของเขา
ที่ทำให้เกิดการแบ่งแยกความคิดและการปฏิบัติในสังคม เช่น
จิตแพทย์ที่สนใจจิตมากกว่าร่างกาย
แพทย์ที่ละเลยจิตใจโดยให้ความสำคัญกับการรักษาทางร่างกาย
งานที่ใช้สมองสำคัญกว่างานที่ใช้ร่างกาย แรงงาน
หรือความรู้ทางวิชาการที่แบ่งแยกระหว่างเรื่องของวัตถุกับจิตใจ เช่น
วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของวัตถุ
จิตใจเป็นเรื่องของมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์เป็นต้น หรือแยกระหว่าง Hard
Science กับ Soft Science หรือแนวคิดแบบ Atomistic
Model และ Organic Model
นอกจากนี้แนวคิดแบบเดการ์ต
มองว่าเอกภพของวัตถุคือเครื่องจักร ไม่มีอะไรนอกเหนือเครื่องจักร
ไม่มีชีวิตและจิตวิญญาณ ธรรมชาติก็ดำเนินไปตามกฎทีมีลักษณะเป็นกลไก มีลำดับขั้น
มีระเบียบ การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ต้องอาศัยวิธีการสังเกตอย่างเป็นระบบ มีการทดลอง
มีทฤษฎีที่กำหนดเกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติทุกอย่าง
ดังนั้นธรรมชาติจึงเป็นเหมือนเครื่องจักรที่สมบูรณ์และถูกควบคุมด้วยกฏเกณฑ์แบบกลไกที่แน่นอน(กฏเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์)
ซึ่งทำให้วิทยาศาสตร์มีอำนาจในการควบคุมและใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ
ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติ จึงรวมทั้งพืช
สัตว์และมนุษย์ก็ถูกลดทอนเป็นเพียงเครื่องจักรชนิดหนึ่ง
เช่นร่างกายทางชีวิวทยาของมนุษย์ถูกลดทอนให้เห็นการทำงานแบบเครื่องจักร
ผ่านการทำหน้าที่ของอวัยวะต่างๆและการเคลื่อนไหวของร่างกาย
ที่สะท้อนให้เห็นว่าร่างกายของมนุษย์มีส่วนที่เป็นวิญญาณแห่งเหตุผลที่อยู่ในร่างกายเชิงวัตถุที่ห่อหุ้มด้วยเนื้อหนังและอวัยวะต่างๆ
ในเวลาต่อมาแนวคิดฟิสิกส์แบบนิวตัน
ได้สร้างความก้าวหน้าและความแม่นยำในทางคณิตศาสตร์ที่มากกว่าวิทยาศาสตร์แบบเดการ์ตและกาลิเลโอ
โดยเฉพาะการค้นพบกฏของการเคลื่อนที่ของวัตถุที่เป็นของแข็งภายใต้อิทธิพลของแรงโน้มถ่วงที่สามารถใช้กฏดังกล่าวนี้อธิบายวัตถุต่างๆในระบบสุริยะจักรวาล
ตั้งแต่ผลไม้ ก้อนหินจนถึงดาวเคราะห์ นิวตันได้ผสมผสานวิธีการของฟรานซิส เบคอน
ที่เน้นวิธีแบบประจักษ์นิยมและอุปนัย
กับแนวคิดของเดการ์ตที่ใช้วิธีการของเหตุผลและนิรนัย ที่เน้นความสำคัญของการทดลองที่ต้องตีความอย่างเป็นระบบและกฏเกณฑ์หลักที่มาจากการนิรนัยจะต้องมีหลักฐานของการทดลองมารองรับ
ความคิดแบบนิวตันในเรื่องกลศาสตร์
มองว่าปรากฏการณ์ทางกายภาพจะถูกลดส่วนเหลือเพียงการเคลื่อนที่ของอนุภาคซึ่งเกิดจากแรงดึงดูดระหว่างกัน
ที่สัมพันธ์กับแรงโน้มถ่วง
ผลจากแรงนี้ที่มีต่ออนุภาคและวัตถุต่างๆสามารถอธิบายด้วยหลักคณิตศาสตร์
ผ่านสมการการเคลื่อนที่ของนิวตัน ทั้งการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์
กระแสน้ำขึ้นน้ำลง หรือปรากฏการณ์อื่นๆที่เกี่ยวข้องกับแรงโน้มถ่วงของโลก
ระบบคณิตศาสตร์แบบนิวตันเกี่ยวกับโลกได้กลายเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับความจริงที่ถูกต้องที่สุดและมีอิทธิพลต่อวิธีคิดทางวิชาการแขนงต่างๆในยุคนั้น
เมื่อมองย้อนลงไปที่ประวัติศาสตร์ของยุโรปและประวัติศาสตร์ของโลกจะพบว่า
การปฏิวัติทางการเมือง เศรษฐกิจ และทางสังคม (ปฏิวัติเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมที่ส่งผลต่อวิถีชีวิต
รสนิยมและการบริโภครวมถึงชนชั้นทางสังคม) ทำให้ประชาชนมีตัวตน เสรีภาพและมีอำนาจมากขึ้น
พร้อมๆกับปัญหาและความขัดแย้งที่มีมากขึ้น
วิธีคิดแบบเดิมไม่เพียงพอต่อการทำความเข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งกฏเกณฑ์ที่ครอบงำสิ่งเหล่านี้
ที่ต้องสร้างพื้นที่และต้องการการอธิบายสังคมในเชิงลึกมากกว่าเดิม ที่นำไปสู่การเกิดขึ้นของสังคมศาสตร์
ดังนั้นสังคมแบบใหม่ต้องการความรู้แบบใหม่ที่มีความแม่นยำถูกต้อง (Positive)
ภายใต้การรับเอารูปแบบวิธีคิดแบบฟิสิกส์นิวตัน (Newtonian Physics) ที่ทรงอิทธิพลทางความรู้ในช่วงเวลานั้น มาประยุกต์ใช้กับศาสตร์แห่งสังคม
(Science of Society) โดยเฉาะสิ่งที่นักสังคมวิทยาอย่างออกุส
ก๊อมต์ (August Comte) เรียกว่าฟิสิกส์สังคม (Social
Physic) โดยการสร้างกฎของสังคมที่เป็นสากล (universal laws
of society) ที่สะท้อนให้เห็นอิทธิพลความคิดทางวิทยาศาสตร์ที่สัมพันธ์กับความรู้และการก่อตัวของศาสตร์ที่เรียกว่าสังคมศาสตร์
ทั้งการศึกษา การวิจัย รวมถึงสาขาวิชาต่างๆ เช่น จิตวิทยา สังคมวิทยา มานุษยวิทยา
เศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์
ตัวอย่างเช่น
ในการวิจัยทางสังคมศาสตร์ การศึกษาสิ่งที่เป็นอัตวิสัย(Subjectivity)และวัตถุวิสัย (Objectivity) ในการศึกษาวิจัย
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้รู้กับผู้ที่ถูกรู้ ความจริงที่มีตัวตนที่วัดได้
ปรากฏการณ์ทางวัตถุที่จะเชื่อได้ว่าเป็นความจริงแท้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อตัดอคติของผู้สังเกตออกไป
ซึ่งเป็นการแยกผู้สังเกตออกจากสิ่งที่สังเกต แยกผู้รู้จากสิ่งที่ถูกรู้
และการทำให้เกิดสภาวะความเป็นวัตถุวิสัยที่สามารถจะวัดได้
ด้วยการตัดความสัมพันธ์ระหว่างผู้รู้กับสิ่งที่ถูกรู้ หรือตัดส่วนที่เป็นอัตวิสัยที่เป็นเรื่องของตัวจิต
อารมณ์ ความรู้สึกออกไป
ซึ่งวิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์เดการ์ตและนิวตันเข้ามามีอิทธิพลในเรื่องของการทดลอง (Experiment) การสร้างและออกแบบสอบถาม
ซึ่งเป็นเครื่องมือในการเข้าถึงกลุ่มตัวอย่างโดยผู้ศึกษาไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มตัวอย่างหรือสิ่งที่ศึกษาโดยตรง
วิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์แบบนิวตันและเดการ์ต
ทำให้การศึกษาปรากฏการณ์ต่างๆถูกลดทอนให้เหลือหนึ่งสาเหตุหนึ่งผลกระทบ (one
cause one effect) และสร้างหรือกำหนดตัวแปรอิสระตัวแปรตามเพื่อทดสอบสมมติฐาน
โดยใช้สูตรการวิเคราะห์ทางสถิติเพื่อหาความสัมพันธ์ของตัวแปร ทั้งการสร้างไดอะแกรมเพื่ออธิบายความสัมพันธ์
ที่เป็นการมองความสัมพันธ์แบบเส้นตรงซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของการวิจัยเชิงปริมาณ
มโนทัศน์หลักที่ได้รับอิทธิพลจากวิทยาศาสตร์แบบเดการ์ตและฟิสิกส์แบบนิวตันได้ก่อร่างสร้างสังคมศาสตร์ภายใต้กรอบคิดดังกล่าว
ในขณะเดียวกันก็ได้ถูกโต้แย้งโดยฟิสิกส์สมัยใหม่ที่มองว่าสสารไม่ได้คงที่หรือหยุดนิ่งเหมือนวิธีคิดวิทยาศาสตร์แบบเดการ์ตหรือฟิสิกส์แบบนิวตัน
ที่มองว่าถ้าเป็นคลื่นก็คือคลื่น ถ้าเป็นอนุภาคก็คืออนุภาค
แต่มองลักษณะที่เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง
เป็นพลวัตรและไม่ได้มีโครงสร้างที่ตายตัวในธรรมชาติ เช่น อิเลคตรอนไม่ได้มีคุณสมบัติในตัวมันเองที่ปราศจากจิตของมนุษย์
ที่เป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สังเกตกับสิ่งที่ถูกสังเกต
ซึ่งปรากฏในงานวิจัยเชิงคุณภาพในการศึกษาสังคมและวัฒนธรรม
วิธีคิดวิทยาศาสตร์แบบเดการ์ตหรือฟิสิกส์แบบนิวตัน
มีอิทธิพลต่อความรู้ในสาขาวิชาต่างๆ ตัวอย่างเช่น ในวิชาการทางจิตวิทยา ความคิดทางจิตวิทยาของฟรอยด์
เน้นอยู่บนอิทธิพลทางชีววิทยา สัญชาตญาณและจิตใต้สำนึก โดยฟรอยด์แบ่งแยกออกเป็น 3
ส่วนคือ จิตไร้สำนึกที่เป็นสัญชาตญาณคือ อิด (Id) ส่วนที่เป็นเหตุผลของจิตคืออีโก้ (Ego)หรืออัตตะ
และส่วนที่เป็นสติสัมปชัญญะหรืออยู่เหนืออัตตะ (Super Ego) หรือเมื่อฟรอยด์อธิบายเกี่ยวกับแรงขับดันทางสัญชาตญาณโดยเฉพาะแรงขับดันทางเพศ
และแรงต้าน(แรงกิริยาและแรงปฏิกิริยา) ก็สะท้อนให้เห็นวิธีคิดฟิสิกส์แบบนิวตันที่วัตถุต่างๆมีปฏิกิริยาและผลกระทบต่อกันและกันโดยผ่านแรงต่างๆ
เช่น ฟรอยด์พูดถึงแรงขับทางเพศ ที่คล้ายคลึงกับนิวตันที่พูดถึงแรงโน้มถ่วง
ซึ่งทำให้เห็นอิทธิพลของแบบจำลองทฤษฎีกลไกตามแบบของนิวตัน
หรือในแง่ของประเด็นเรื่องจิตวิเคราะห์ที่สัมพันธ์กับการรักษาความเจ็บป่วยทางจิตด้วยกระบวนการทางจิตวิเคราะห์
(Psycho-analysis) ที่แยกผู้รักษากับผู้ป่วยออกจากกัน
ที่เป็นกระบวนการแบ่งแยกจิตกับวัตถุออกจากกันภายใต้อิทธิพลทางความคิดแบบเดการ์ต
แนวคิดวิทยาศาสตร์แบบวัตถุวิสัย ที่ใช้วิธีการเฝ้าสังเกตและแยกตัวเองออกจากผู้ป่วย
เพื่อวิเคราะห์กระบวนการของจิตโดยไม่สนใจเกี่ยวกับร่างกายของผู้ป่วย เช่นเดียวกับหมอที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับร่างกายมากกว่าเรื่องของจิตใจของผู้ป่วย
เป็นต้น
ขณะเดียวกัน
จิตวิเคราะห์ของฟรอยด์ก็มุมมองในลักษณะของความจริงที่ถูกกำหนดด้วยกฏบางอย่าง
เช่นเดียวกับแนวคิดฟิสิกส์แบบนิวตัน
ที่ทองว่าเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาทุกอย่างล้วนมีสาเหตุที่แน่นอน
และมีผลที่แน่นอนตามมาด้วย
โดยสภาวะทางจิตทั้งหมดของปัจเจกบุคคลถูกกำหนดจากสภาพเงื่อนไขแรกเริ่ม
ที่พัฒนาเริ่มต้นในวัยเด็กในขั้นต่างๆ เช่น ขั้นของปาก
ขั้นของทวารหนักๆความขัดแย้ง สัญชาตญาณการมีชีวิต สัญชาตญาณความตาย หรือปมขัดแย้งต่างๆในวัยเด็ก
เช่น ปมออดิปุส เป็นต้น
อิทธิพลแนวคิดช่วงหลังฟรอยด์
เริ่มมองว่า สังคม เศรษฐกิจ สภาพแวดล้อมช่วยกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์
ซึ่งคล้ายกับการศึกษาและการค้นพบของนักมานุษยวิทยาและนักสังคมวิทยา ดังนั้นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์จึงมีความสัมพันธ์เกี่ยวกับมุมมองมนุษย์ในสองลักษณะคือ
1.ความสนใจมนุษย์ในเชิงปัจเจกบุคคล ที่ถูกนิยามความหมายเช่นเดียวกับ ตัวตน (Self) และกฏแห่งพฤติกรรมมนุษย์ (Rule of Behavior)
สอดคล้องกับวิธีคิดหรือสมมติฐานของฟิสิกส์แบบนิวตัน (Newtonian physics) ในช่วงก่อนศตวรรษที่17 การศึกษาเชิงวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์
สามารถยอมรับและให้พื้นที่กับนักสังคมศาสตร์ในการศึกษา ทำความเข้าใจ
ทำนายและควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ได้
2. มนุษย์ในฐานะปัจเจกบุคคลที่เป็นผลผลิตของสังคม ชุมชนของเขา
และพวกเขาสามารถตระหนักเกี่ยวกับตัวตนของเขาในบริบทของสังคมชุมชนนั้น
ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากเพลโต (Plato) อริสโตเติล(
Aristotle) และ คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx)
วิชาการทางสังคมศาสตร์(เป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของมนุษย์ในด้านสังคมและวัฒนธรรม
ที่หมายรวมถึงวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
รวมถึงวิชาประวัติศาสตร์ด้วย)
ถือว่าเป็นวิทยาศาสตร์ที่อ่อนที่สุดในบรรดาศาสตร์ทั้งหลาย
แม้ว่าสังคมศาสตร์พยายามจะทำให้แนวคิดและทฤษฎีของตัวเองได้รับการยอมรับโดยนำเอาทัศนะ
กรอบความคิดแม่บทแบบเดการ์ตและนิวตันมาใช้ โดยเฉพาะแนวคิดเรื่องการลดส่วน
แยกย่อยและการมองแบบกลไก
ส่งผลให้ศาสตร์ทางด้านสังคมศาสตร์แยกขาดออกจากกันเป็นส่วนๆ
เช่นเศรษฐศาสตร์ที่สนใจมิติทางเศรษฐกิจที่แยกขาดจากการเมืองและสังคม
หรือการเมืองที่เน้นการเมืองการปกครองมากกว่าจะสนใจพลังทางเศรษฐกิจพื้นฐาน
ทำให้นโยบายการพัฒนาประเทศก็แยกขาดระหว่างนโยบายทางการเมือง นโยบายทางเศรษฐกิจ
และนโยบายทางสังคม
ทั้งๆที่สังคมศาสตร์ถูกสร้างขึ้นมาภายใต้เงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ บริบททางสังคม
เศรษฐกิจและการเมืองที่เฉพาะ แต่สิ่งเหล่านี้กับถูกครอบงำด้วยกระบวนทัศน์หลักของนิวตันและเดการ์ต
วิชาเศรษฐศาสตร์
เกี่ยวข้องกับการผลิต การกระจาย และการบริโภค โดยกำหนดว่าสินค้าชนิดใดมีคุณค่า
และสร้างมูลค่าของการแลกเปลี่ยนที่สัมพันธ์ของสินค้าและบริการ
ดังนั้นคุณค่าที่สามารถวัดปริมาณได้
ที่อยู่ในรูปของเงินตราจึงทำให้วิชาเศรษฐศาสตร์มีความเป็นวิทยาศาสตร์ที่กำหนดได้อย่างแม่ยำภายใต้สูตรทางคณิตศาสตร์
ผ่านความต้องการซื้อ(Demand) และความต้องการขาย(Supply)
สินค้าและบริการในระบบตลาดเสรีที่กำหนดราคา ซึ่งสัมพันธ์กับแนวคิดของอดัม สมิธ
ในทฤษฎีมูลค่าที่กำหนดแรงงาน ความสมดุลของอุปสงค์และอุปทาน ซึ่งเป็นทฤษฎีทางเศรษฐกิจที่ได้รับอิทธิพลจากฟิสิกส์แบบนิวตัน
ภายใต้แนวคิดว่าด้วยความสมดุลระหว่างแรง
(แรงผลักดันของความต้องการซื้อและความต้องการขาย) กฎแห่งการเคลื่อนที่
(การเคลื่อนไหวของราคาสินค้าในทางเศรษฐศาสตร์ ยิ่งราคาสูงความต้องการก็จะยิ่งน้อยลง)
และวิทยาศาสตร์แบบภววิสัยแบบนิวตัน (ในทางเศรษฐศาสตร์ก็จะมองว่า
มูลค่ากำหนดแรงงาน) ที่มองว่ากลไกตลาดมีดุลยภาพที่สมบูรณ์เป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อ
ผู้ขาย สินค้าและราคา ซึ่งมีการปรับตัวที่สอดคล้องกันอย่างมีดุลยภาพ โดยแสดงการอธิบายผ่านเส้นกราฟของอุปสงค์และอุปทาน
ที่นำไปสู่การทำนายและพยากรณ์พฤติกรรมทางเศรษฐกิจของมนุษย์ได้
วิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์คลาสสิคในทัศนะแม่บทของเดการ์ตและนิวตัน
คือเรื่องของ กฎธรรมชาติ (Law
of nature) หรือ กฎของเหตุและผล (Causal Laws)
ระบบที่มีดุลยภาพ โลกที่คงที่มั่นคง เที่ยงตรงภายใต้กฏเกณฑ์ที่เป็นสากล ปัญหาคือ
ถ้าความทันสมัยคือความสุขและความเจริญก้าวหน้า ทำไมความไม่เท่าเทียมและการทำสงครามจึงยังดำรงอยู่
แสดงว่าโลกที่ดำรงอยู่ไม่แน่นอน มีพลวัตร เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เป็นโลกที่หลากหลายมิติและเป็นโลกที่ซับซ้อน
โลกที่ไม่ใช่โลกของตะวันตกอย่างเดียว แต่เป็นโลกของตะวันออก
รวมถึงโลกที่ไม่ใช่ของคนผิวขาวแต่เป็นโลกของคนผิวสี ชนพื้นเมือง
คำอธิบายที่พยายามสรุปรวมอย่างเป็นสากล
จึงไม่สามารถอธิบายได้ในบริบทที่มีความเฉพาะ
ในช่วงศตวรรษที่19 เกิดสิ่งที่เรียกว่าสังคมศาสตร์ในสาขาต่างๆคือประวัติศาสตร์
เศรษฐศาสตร์ สังคมวิทยา และรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ
ที่ซึ่งรองรับการการพัฒนาและเติบโตของยุโรป ในขณะเดียวกันชาวยุโรปก็พบว่า
ในโลกยังมีกลุ่มคนและโครงสร้างทางสังคมที่แตกต่างจากตัวเอง โดยเฉพาะคนกลุ่มเล็กๆ
ที่เป็นชนเผ่า (Tribe) กลุ่มชาติพันธุ์(Ethnic Group) หรือเชื้อชาติ(Race) ลักษณะทางชีวภาพ ที่มีความแตกต่าง เป็นกลุ่มคนที่ไม่มีการบันทึก การเขียน
และอารยะธรรมยังหล้าหลังกว่าชาวยุโรปตะวันตก ส่งผลให้คนยุโรปเริ่มหาประสบการณ์ใหม่กับผู้คนนอกสังคมยุโรป
ทำให้ต้องมีสาขาวิชาที่เรียกว่ามานุษยวิทยา ที่เริ่มต้นจากการปฏิบัติเชิงสำรวจ
การเดินทาง และการเป็นเจ้าหน้าที่ของประเทศอาณานิคมที่รองรับกับอำนาจของชาวยุโรป
มานุษยวิทยาในช่วงเวลานั้นจึงอยู่ภายใต้อิทธิพลของชาร์ล ดาร์วิน
ที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งในทฤษฎีทางสังคม
เขาได้สร้างแนวคิดเรื่องของการดำรงอยู่ของคนที่เหมาะสมที่สุด
หรือการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดที่ไปไกลมากกว่าเรื่องของการกำเนิดและประเด็นทางชีววิทยาของมนุษย์
แต่ถูกใช้ในทางสังคมและการเมือง โดยเฉพาะ แนวคิดแบบอาณานิคม
ที่เชื่อมโยงประเทศทั้งหลายเข้าสู่การพัฒนาโดยมีสังคมยุโรปเป็นต้นแบบ
ประเทศที่ไร้อารยะธรรม หรือชนพื้นเมืองจึงต้องพัฒนาและก้าวสู่ความศิวิไลซ์
อันนำไปสู่การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรม เพื่อก้าวเข้าสู่ความทันสมัย
มานุษยวิทยาในช่วงแรกจึงสัมพันธ์กับทฤษฎีแบบวิวัฒนาการที่เป็นเส้นตรง
ประวัติศาสตร์สากลของมนุษยชาติที่มีกฏเกณฑ์แบบเดียวกันคือ ขั้นตอนของการพัฒนาที่เริ่มต้นจากง่ายไปสู่ความซับซ้อน
จากความล้าหลัง ป่าเถื่อน อนารยะไปสู่สังคมแบบอารยะธรรมหรือศิวิไลซ์
หรือแม้แต่หัวใจสำคัญของการศึกษาทางมานุษยวิทยา โดยเฉพาะการทำงานสนาม (Field work) หรือการสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม
ก็อยู่บนฐานของความรู้เชิงประจักษ์ ดังนั้นความรู้และความเข้าใจสังคม
วัฒนธรรมเหล่านี้สัมพันธ์กับการปฏิวัติวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรม
ทำให้เกิดการขยายตัวของเทคโนโลยีการเดินเรือ การสร้างเข็มทิศ แผนที่ เพื่อสำรวจ
และแผ่ขยายทุนนิยม ที่สัมพันธ์กับเรื่องของวัตถุดิบ ตลาดและแรงงาน โดยเฉพาะการสร้างสิ่งที่เรียกว่า
อาณานิคม โดยอิทธิพลแบบดาร์วิน
ที่ได้ให้คำอธิบายเกี่ยวกับการกำเนิดของสิ่งมีชีวิตพันธุ์ต่างๆ
โดยการเชื่อมโยงกับความเป็นมาของมนุษย์
โดยเฉพาะการแปลงหรือกลายพันธุ์ตามหลักวิวัฒนาการและการคัดเลือกพันธุ์โดยธรรมชาติ
ได้สร้างความคิดว่าด้วยตะวันตกกับไม่ใช่ตะวันตก ผู้ชายผิวขาวกับผู้หญิง
ที่แสดงให้เห็นลักษณะที่แตกต่างในแง่ความแข็งแรง เฉลียวฉลาด และกล้าหาญ กับ
ความอ่อนแอ โง่ และเฉื่อยชา
ที่คนกลุ่มแรกสามารถเข้ามาควบคุมจัดการและมีอำนาจเหนือคนกลุ่มที่สองได้ ดังเช่น บรอลินอว์มาลีนอฟสกี้ที่ไปศึกษาชนพื้นเมืองในหมู่เกาะโทรเบียน
เพื่อประโยชน์ในการวางนโยบายของเจ้าอาณานิคม
โดยเฉพาะอาณาจักรของอังกฤษที่กำลังแพร่ขยายอาณานิคมในแอฟริกา (British’s
African Empire)
แนวคิดทฤษฎีทางมานุษยวิทยาในระยะแรกเริ่มสะท้อนให้เห็นวิธีคิดแบบลดทอนและแยกส่วนแบบเดการ์ต
ที่มีอิทธิพลต่อแนวคิดทางชีววิทยา ที่มองเรื่องขององคาพยพที่มีชีวิตทำงานคล้ายเครื่องจักรซึ่งประกอบด้วยชิ้นส่วนต่างๆที่แยกขาดออกจากกัน
เช่นทฤษฎีแบบโครงสร้างหน้าที่นิยม ที่มองสังคมและปรากฏการณ์ต่างๆออกเป็นส่วนๆ เช่น
เศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรม ลักษณะทางกายภาพ ชีวภาพซึ่งดูเหมือนว่าจะมีลักษณะการมองแบบองค์รวมแต่ก็ยังคงแยกส่วนในการอธิบาย
แม้แต่การศึกษาวัฒนธรรมก็มีลักษณะแยกส่วน กระจัดกระจาย เช่น วัฒนธรรมตะวันตก วัฒนธรรมตะวันออก
วัฒนธรรมญี่ปุ่น วัฒนธรรมเกาหลี วัฒนธรรมอเมริกัน ที่ไม่ได้แสดงให้เห็นความเชื่อมโยงหรือการดำรงอยู่ร่วมกัน
ความไม่สมดุลทางวัฒนธรรม นำไปสู่ความขัดแย้งและปัญหาต่างๆ ดังเช่น
การแพทย์แบบสมัยใหม่ กับการรักษาแบบพื้นบ้าน กลายเป็นคนละส่วน
คนละโลกทัศน์ที่แยกขาดจากกัน
ทำให้มองไม่เห็นความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงอย่างสมดุลกันของกาย จิตและวิญญาณ
การแพทย์เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์แบบวัตถุวิสัย(objectivity)ซึ่งไม่เกี่ยวกับการตัดสินคุณค่าในทางศีลธรรม
เป็นต้น ดังนั้นให้คุณค่ากับบางสิ่งหรือมีทัศนะของการมองเพียงมิติเดียวหรือด้านเดียว
ย่อมส่งผลกระทบต่อประเด็นทางด้านสุขภาวะ สุขภาพและความเจ็บป่วยของมนุษย์
สิ่งที่น่าสนใจคือกระแสปัจจุบันของสังคมศาสตร์สมัยใหม่
ที่สัมพันธ์กับการเกิดขึ้นของควอนตัมฟิสิกส์ ฟิสิกส์ใหม่
โต้แย้งกับวิทยาศาสตร์แบบเดการ์ตและฟิสิกส์แบบนิวตัน ได้ตั้งคำถามกับวิธีคิดในเชิงกลศาสตร์แบบเก่าที่เน้นลักษณะและพฤติกรรมของส่วนย่อยที่กำหนดความเป็นไปของส่วนทั้งหมดที่เป็นผลมาจากวิธีคิดเชิงวิทยาศาสตร์แบบลดทอนและแยกส่วนของเดการ์ต
แต่กลศาสตร์แบบควอนตัมมองว่าองค์รวมทั้งหมดจะกำหนดพฤติกรรมของส่วนย่อย
ตัวอย่างเช่น การศึกษาฟิสิกส์เกี่ยวกับอะตอม มองว่าความสำนึกของมนุษย์
มีบทบาทที่สำคัญอย่างมากในกระบวนการสังเกตทดลอง
มีความสัมพันธ์กับการกำหนดคุณสมบัติของปรากฏการณ์ที่ถูกสังเกต
ผู้สังเกตไม่ใช่ส่วนสำคัญในการสังเกตการณ์ปรากฏการณ์ของอะตอมเท่านั้น
แต่มีส่วนสำคัญอย่างจำเป็นและปฏิเสธไม่ได้ว่ามีส่วนทำให้เกิดคุณสมบัติเหล่านั้นขึ้นมาด้วย
เช่นเดียวกับการศึกษาปรากฏการณ์ทางสังคมที่ญาณวิทยาของความรู้เชื่อมโยงกับกระบวนการรู้
ว่าเราอยากรู้อะไรแล้วเราใช้เครื่องมืออะไรในการเข้าใจหรือรับรู้สิ่งเหล่านั้น
ความรู้ที่เกิดขึ้นก็จึงเป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้รู้
สิ่งที่ถูกรู้และวิธีการในการรู้ ดังนั้นการมองแบบฟิสิกส์ใหม่ทำให้เรามองปรากฏการณ์ต่างๆที่ไม่หยุดนิ่งคงที่
อยู่โดดและเป็นอิสระจากสิ่งอื่นๆ แต่มอว่าปรากฏการณ์นั้นๆมีการเคลื่อนไหว
ไม่หยุดนิ่ง มีปฏิกิริยาต่อกันเป็นเครือข่ายโยงใยที่ซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่างๆและสามารถเปลี่ยนแปลงรูปไปมาได้
จากทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นทำให้เราเห็นว่าวิชาการทางสังคมศาสตร์มีความสัมพันธ์กับวิทยาศาสตร์แบบเดการ์ตและฟิสิกส์แบบนิวตัน
ที่ถูกนำมาเป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง
และตัวตนและพฤติกรรมของมนุษย์
รวมทั้งอิทธิพลของวิทยาศาสตร์แบบเดิมที่กำลังถูกท้าทายด้วยวิทยาศาสตร์ใหม่
โดยเฉพาะควอนตัมฟิสิกส์ซึ่งสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงหรือปรับเปลี่ยนวิธีคิด
ความเข้าใจและการอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมที่มีความซับซ้อนในปัจจุบัน
ซึ่งโลกทัศน์เชิงกลไกแบบเดการ์ตอธิบายไม่ได้หรือไม่ครอบคลุม
ผ่านการมองสิ่งต่างๆอย่างเป็นองค์รวมและเป็นระบบ
มองความแตกต่างที่สัมพันธ์สอดคล้องซึ่งกันและกัน
โดยอธิบายความแตกต่างในแต่ละด้านแต่ละระดับโดยไม่ลดส่วนปรากฏการณ์ของระดับหนึ่งไปสู่อีกระดับหนึ่ง
ตัวอย่างเช่น การอธิบายปรากฏการณ์การบริโภค ในระดับครัวเรือน ชุมชน ท้องถิ่นและโลก
ความเป็นตะวันออก ตะวันตกที่เชื่อมโยงกัน โดยท้องถิ่นอาจต่อสู้ต่อรอง
หรือเป็นส่วนหนึ่งของโลก หรือท้องถิ่นก็อาจเป็นตัวแทนของโลกก็ได้
เช่นเดียวกับโลกที่ครอบงำท้องถิ่น หรือในขณะเดียวกันโลกก็ประกอบด้วยท้องถิ่น ต้องพึ่งพาท้องถิ่น
และโลกอาจเป็นภาพสะท้อนความเป็นท้องถิ่นที่ประกอบสร้างความเป็นโลก
ดังนั้นโลกและท้องถิ่นจึงไม่สามารถแยกออกจากการได้อย่างเด็ดขาด เป็นต้น
อ้างอิง
Capra Fritjof (1982) The Turning point : Science,Society
and Rising Culture. USA: Bantam Book.
Hollinger Robert (1994) Posmodernism
and The Social Sciences A Thematic Approach. SAGE Publication Thosand Oasks New
Delhi.
Mudimbe V.Y (1996) Open
the social sciences : report of the Gulbenkian commission on the restructuring
of the Social Sciences. California : Standford University Press.
Roger Backhouse and Philippe
Fontaine (2010) The History of Social Sciences since 1945. New York: Cambridge university press.
Thomas F.X
Noble et al. (2011) Western Beyond Boundaries Civilization. USA : Wadsworth
Cengage learning.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น