การพัฒนาที่ยั่งยืนในบริบทของสังคมไทย
เมื่อประเทศไทย
เป็นสนามที่โลดแล่นของวาทกรรมการพัฒนามาตั้งแต่ช่วงเริ่มแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่1 (พ.ศ.2504-2509) ที่มีการเตรียมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเข้าสู่ระบบทุนนิยมเต็มรูปแบบ
มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติเพื่อสร้างความเจริญก้าวหน้าและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างมหาศาล
ซึ่งทำให้เกิดสภาวะความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศน์และสิ่งแวดล้อมถูกทำลายอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าประเทศไทยก็มิอาจหลีกเลี่ยงจากสภาวะวิกฤตที่ประเทศต่างๆทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ตลอดระยะเวลาอันยาวนานของการพัฒนา
ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นตามมากับปัญหาสิ่งแวดล้อมคือ
ปัญหาสังคมและวัฒนธรรมที่ถูกละเลยเนื่องมาจากการเน้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงมิติเดียว
จนกระทั่งปี2530 ที่องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์วัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือUNESCO ได้ประกาศให้เป็นทศวรรษโลกเพื่อการพัฒนาทางวัฒนธรรม(ตั้งแต่พ.ศ.2531-2540)และในปีเดียวกันนี้ประเทศไทยก็ประกาศเป็นปีแห่งการพัฒนาว่าด้วยวัฒนธรรมของประเทศไทยด้วย
จะเห็นได้ว่าแนวคิดของการพัฒนาได้เริ่มมองมิติอื่นๆที่นอกเหนือจากมิติเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม
สังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมันเกิดจากกระแสความคิดของตะวันตก
ที่หันมาตั้งคำถามกับการพัฒนาควบคู่ไปกับการคำนึงถึงเรื่อง จริยธรรม(Ethic)หรือจิตใจ ซึ่งประเทศไทยซึ่งเป็นผู้ผลิตซ้ำวาทกรรมการพัฒนามายาวนานก็ไม่ปฎิเสธที่จะนำระบบความคิดและคุณค่าดังกล่าวเข้ามาปรับใช้ในสังคมไทยซึ่งมีพระพุทธศาสนาเป็นรากฐานทางคุณธรรมและจริยธรรมมาตั้งแต่อดีต
แน่นอนว่าจริยธรรมในแบบตะวันออกกับตะวันตกย่อมมีความแตกต่างกันในการอธิบายและตีความ
ไม่แตกต่างจากการนำคำศัพท์ในภาษาอังกฤษ มาอธิบายความ หรือแปลความหมายในภาษาไทย
แม้คำไทยที่พยายามจะสร้างรูปสัญญะและความหมายให้เหมือนกับคำภาษาต่างประเทศที่เป็นรากเหง้าดั้งเดิมเพียงใด
ก็ไม่อาจทำได้สมบูรณ์
เพราะระบบคุณค่าและความหมายที่ใส่เข้าไปในคำๆนั้นย่อมมีตรรกะหรือกฎเกณฑ์/ระบบภาษาชุดหนึ่งที่แตกต่างและมีบริบทที่เฉพาะแบบหนึ่ง
ในบริบทของประเทศไทย
การพัฒนาที่ยั่งยืน ได้ถูกนำเข้ามาโดยนักวิชาการ[1] นักคิดนักปรัชญาและนักพัฒนา
ในช่วงเวลาที่ประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมกลายเป็นประเด็นปัญหาที่สำคัญ
และแนวทางกาพัฒนาได้กลายเป็นเป้าหมายและยุทธศาสตร์ที่สำคัญของโลกในปัจจุบัน
ในช่วงแรกเริ่มอาจกล่าวได้ว่าผู้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันคำนี้ให้เป็นที่รู้จักยอมรับอย่างแพร่หลายก็คือ
น.พ.ประเวศ วะสี[2] ส.ศิวรักษ์[3]และท่านเจ้าพระคุณพระธรรมปิฎก โดยเฉพาะท่านเจ้าพระคุณพระธรรมปิฏก
ที่ได้พยายามนำเสนอแนวคิดแบบตะวันตกในทรรศนะของพุทธศาสนา
ซึ่งเป็นการนำเอาแนวความิดแบบตะวันตกมาประยุกต์ใช้ให้มีความสอดคล้องกับสภาพของสังคมไทย
อย่างเช่นในปี2531 ที่องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้เป็นปีทศวรรษเพื่อการพัฒนาทางวัฒนธรรมของโลก
พระธรรมปิฎกได้แสดงปาฎกถา ในหัวข้อวัฒนธรรมกับการพัฒนา
ที่ได้กล่าวถึงการแสวงหาทางเลือกแนวทางการพัฒนาแบบใหม่ๆที่เน้นเรื่องของระบบคุณค่า
ความงามและจริยธรรมในทางพระพุทธศาสนาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา ดังจะเห็นได้จากงานของท่านในช่วงปี 2532-2536 ที่ท่านได้พยามทำให้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งแนวทางในการพัฒนาประเทศ
ที่จะทำให้การพัฒนาสอดคล้องสมดุลย์ ระหว่างตัวเองกับผู้อื่น ธรรมชาติระบบนิเวศน์
และเทคโนโลยีเพื่อความอยู่ดีกินดีของมนุษย์(พระธรรมปิฎก;2532;2533) หรือในช่วงปี2536 ที่มีการประชุมว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาEarth Summit ที่ริโอเดอเจเนโร ประเทศบราซิล
ท่านเจ้าพระคุณพระธรรมปิฎก ได้รับคำอารธนาเชิญของหมอประเวศ วะสี
ซึ่งได้ตั้งหัวข้อและกำหนดการสัมมนาเรื่อง “พระพุทธศาสนากับการพัฒนาที่ยั่งยืน” โดยในตอนต้นของหนังสือเล่มนี้ นพ.ประเวศ วะสี
ได้กล่าวแสดงความคิดเห็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ปาฎกถานี้ว่า
“เรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน
เป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในโลกตะวันตก
แต่ยังดูเหมือนยังไม่เข้าใจชัดเจนว่าว่าจะทำอย่างไรกันแน่
โดยที่ท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก เป็นนักปราชญ์ทางเอกพุทธศาสนา
ที่รู้เท่าทันภูมิปัญญาตะวันตก มีความละเอียดประณีตทางปัญญา
จึงเป็นคุณูปการแก่โลกที่ท่านได้ค้นคว้าเรียบเรียงเรื่องนี้ขึ้นมา
อาจเรียกได้ว่าเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนในแนวพุทธก็ได้”(ประเวศ วะสี ;คำนำหน้า6)
ต่อมาในปี2538 ได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ
การพัฒนาที่ยั่งยืนที่รวบรวมจากปาฎกถาเรื่องนิเวศวิทยาตามหลักพระพุทธศาสนาที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่วันที่
14 มกราคม 2536
ถือได้ว่าเป็นงานชิ้นสำคัญของท่าน
และได้แสดงให้เห็นความตระหนักในทิศทางของการพัฒนาประเทศและโลกในอนาคต
โดยชี้ให้เห็นความเป็นมาของแนวคิดการพัฒนายั่งยืน อันเกิดจากวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม
การเพิ่มของประชากร และขีดจำกัดในการรองรับและปล่อยของเสียสู่สิ่งแวดล้อม
ที่มีผลต่อเรื่องความยากจนและสภาพบรรยากาศของโลกทั้งหมดทั้งสิ้นล้วนแต่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ทั้งสิ้น ซึ่งเจ้าคุณพระธรรมปิฎก
ได้กล่าวถึงความเป็นมาของแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน
ว่าเกิดมาจากรายงานของบรันท์แลด์ชื่อOur
Common Future ที่ใช้ในการประชุมว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา
ที่ประเทศบราซิลและให้นิยามความหมายตามรายงานฉบับนี้ที่เป็นเรื่องของการประนีประนอมการใช้ประโยชน์อย่างเท่าเทียมระหว่างรุ่น
และท่านได้ให้ความหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนในทัศนะของท่านว่าหมายถึง “การพัฒนาที่เป็นบูรณาการ(Integrated) คือต้องทำให้เกิดเป็นองค์รวม(Holistic) ที่องค์ประกอบต่างๆมีความเกี่ยวข้องประสานกันและทำให้เกิดดุลยภาพ(Balance)เช่นการบูรณาการทางธรรมชาติแวดล้อมกับเศรษฐกิจ” โดยท่านมองว่ามูลเหตุแห่งปัญหาที่ต้องแก้ก็คือ
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ที่ต้องนำมาใช้ให้สอดคล้องกับเรื่องสิ่งแวดล้อมและนำเรื่องของจริยธรรม
ความเป็นมนุษย์ มาเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาด้วย
นอกจากนี้ซึ่งผู้มีบทบาทสำคัญในการส่งให้คำหล่านี้เข้ามาสร้างคุณค่าให้กับกระแสการพัฒนาแบบยั่งยืน
ก็คือนักวิชาการอย่าง อ.เสน่ห์ จามริก
ซึ่งจะเห็นว่าวาทะในงานของท่านหลายชิ้นได้ถูกอ้างอิงอย่างแพร่หลายในการศึกษาวิจัยเช่น
องค์รวม บูรณาการ ภูมิปัญญา จริยธรรม ความเข้มแข็งทางปัญญา
ได้กลายมาเป็นสูตรสำเร็จของการอ้างอิง แม้ว่านายแพทย์ประเวศ วะสี จะบอกว่า
แนวคิดของท่านเป็นเครื่องมือในขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมไม่ใช่เครื่องมือในวิเคราะห์สำหรับงานประเภทค้นคว้าวิจัยเนื่องจากถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสนองเป้าหลายที่แตกต่างกัน(อ้างจากปริตตา,2548) แต่คำเหล่านี้ก็ได้กลายสภาพเป็นสัญญะที่ล่องลอยและถูกใช้ในความหมายที่หลากหลาย
เป็นทั้งกรอบคิดในการวิจัยศึกษาและเป็นยุทธศาสตร์ในการต่อสู้เคลื่อนไหวที่นักวิชาการนักพัฒนาองค์กรภาคประชาชนได้นำไปใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ
แนวคิดเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ผลิตจากตะวันตกและส่งผ่านเข้ามาในเมืองไทย
จะต้องถูกผนวก เพิ่มเติมคุณค่าชุดหนึ่งหรือลงพุทธคุณ
เพื่อให้ผสานสอดคล้องกับหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา
ที่มีสถานะไม่แตกต่างจากวิทยาศาสตร์ในเชิงกระบวนการคิดการตั้งสมมติฐาน การทดลอง
เช่นเดียวกับการค้นหาเหตุแห่งปัญหาและแนวทางการแก้ปัญหา
หรือเหนือกว่าวิทยาศาสตร์ในเรื่องของจิตวิญญาณ จิตใจ คุณธรรม และจริยธรรม
ซึ่งได้ช่วยให้ความคิดดังกล่าวมีความเหมือนหรือแตกต่างจากแบบตะวันตก
และมีคุณค่าชุดหนึ่งที่คนในสังคมให้การยอมรับ
สิ่งที่น่าวิเคราะห์ต่ออีกอย่างหนึ่งก็คือแนวทางของการพัฒนาที่เป็นคู่ขัดแย้งกับกระแสการพัฒนาหลัก
ไม่ว่าจะเป็นแนวเศรษฐศาสตร์การเมืองหรือวัฒนธรรมชุมชน
ได้ถูกตั้งคำถามว่าเป็นการพัฒนาที่สุดขั้วเกินไปและสอดคล้องกับสภาพสังคมวัฒนธรรมปัจจุบันหรือไม่
ในเมื่อเศรษฐศาสตร์การเมืองก็มองปัญหาด้านเศรษฐกิจ
การเมืองเป็นหลักในการวิเคาะห์เปลี่ยนแปลง
ส่วนวัฒนธรรมชุมชน ก็ยึดมั่นในเรื่องของความดีงามทางวัฒนธรรม
ภูมิปัญญาชาวบ้าน ฮีต12คอง14และประเพณีเพื่อการพึ่งตนเองและต้านทานกับกระแสทุนนิยมและโลกาภิวัฒน์ที่รุกเร้าเข้ามา
ซึ่งค่อยๆเลือนหายและเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตภายใต้การพัฒนา
ทำให้แนวทางของพระพุทธศาสนา
จึงเป็นสิ่งที่เสมือนมัชฌิมาปฎิปทาหรือทางสายกลางในการแก้ปัญหา
และด้วยลักษณะความเป็นวิทยาศาสตร์(ดูได้จากแนวคิดท่านพระพุทธทาส
พระธรรมปิฎ;2532)ทำให้สามารประยุกต์ใช้กับแนวคิดของตะวันตกที่อยู่บนฐานความคิดแบบวิทยาศาสตร์
มาปรับใช้ให้สอดคล้องกับพื้นฐานของสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐศาสตร์แบบพุทธ
เกษตรกรรมแบบพุทธ พุทธเกษตร
ที่สามารถเชื่อมโยงและมองเหตุแห่งปัญหาอย่างเชื่อมโยงเป็นมรรคผลเช่นเดียวกับความคิดเรื่ององค์รวม(Holism)และบูรณาการ(integration)ของตะวันตก
ในแวดวงวิชาการ
ภาครัฐและนักพัฒนานักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม
แนวความคิดเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนก็ได้กลายมาเป็นประเด็นสำคัญในการเสวนาและเป็นยุทธศาสตร์ในการกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศและการสร้างสถาบันต่างๆที่รองรับกับวาทกรรมดังกล่าว
ไม่ว่าจะเป็นการตั้งสำนักนโยบายและแผน
การตั้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในปี2545 การออกพระราชบัญญัติสิ่งแวดล้อมแห่งชาติในปี2535 การตั้งคณะทำงานวาระภาคประชาชนเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
หรือแม้แต่การบรรจุแนวคิดดังกล่าวเข้าไว้ในรัฐธรรมนูญ[4]และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ[5] การพัฒนาที่ยั่งยืนจึงกลายเป็นเป้าหมายหลักการสำคัญในการวางแผนการพัฒนาให้สอดคล้อง
ซึ่งเราจะเห็นได้จากการพยามให้ความหมายของการพัฒนายั่งยืนในองค์กรต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นคณะทำงานวาระประชาชนเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน นักการเมือง ข้าราชการ นักวิชาการ และนักพัฒนา
ได้พยายามหาข้อยุติทางด้านนิยามความหมายเพื่อให้เกิดผลอย่างชัดเจนและนำไปสู่การ
ปฎิบัติ โดยได้ให้นิยามต่างๆดังนี้
“การพัฒนาอย่างยั่งยืนในบริบทไทยเป็นการพัฒนาที่ต้องคำนึงถึงความเป็นองค์รวมของทุกๆด้าน
อย่างสมดุลบนพื้นฐานของทรัพยากรธรรมชาติ ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมของไทย
ด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกกลุ่ม ด้วยความเอืออาทร เคารพซึ่งกันและกัน
เพื่อความสามารถในการพึ่งตนเองและคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างเท่าเทียม”(คณะทำงานวาระประชาชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนอ้างจากสุริชัย,2546)
“...ความหลากหลายและความเชื่อมโยงสัมพันธ์ทั้งหมดทำให้เกิดความสมดุลย์หรือความยั่งยืน
นี่คือธรรมชาติและกฎของธรรมชาติ การเข้าธรรมชาติและปฎิบัติธรรมชาติ
ก่อให้เกิดความเป็นปกติ หรือสมดุลหรือยั่งยืนหรือศานติ”(หมอประเวศ วะสี ,2536)
“คำว่าพอเพียงหมายถึงความสมดุลภายในตัวเองทั้งร่างกายและจิตใจซึ่งคือจุดรวมของความพอดี
ส่วนคำว่ายั่งยืนกำหนดได้ด้วยใจ..”(ระพี สาคริก,2545)
“การบริหารจัดการ ที่คำนึงด้านเศรษฐกิจ สังคม
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน” (ประพัฒน์ ปัญญญาชาติรักษ์,2546)
“ทรัพยากรธรรมชาติ
ไม่ใช่สมบัติของคนรุ่นเราเท่านั้น แต่ยังคงเป็นสมบัติที่จะตกทอดถึงคนรุ่นหลังด้วย
ดังนั้นอนาคตของประเทศไทย
จึงขึ้นอยู่กับกระบวนการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างชาญฉลาดของคนรุ่นเรา”(นายกฯทักษิณ ชินวัตร)
“หลักการของการพัฒนาที่ยั่งยืนคือ
การพัฒนาที่คึงถึงขีดจำกัดของทรัพยากรธรรมชาติ คำนึงถึงความเป็นองค์รวม
ใช้เทคโนโลยีที่สร้างสรรค์”(สำนักงานคณะกรรมการพัฒน์ฯ,2547)
“ ยั่งยืนคือมั่น คือยืนยาว
เกษตรยั่งยืนคือจังเฮาเฮ็ดนากิน”(แม่สา ดวงปาโคตรอายุ74 ปีชาวบ้านโนนสมบูรณ์,2548)
ดังนั้นเราจะเห็นว่า คำว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนในบริบทของสังคมไทย
ได้ถูกนำมาใช้หลากหลายความหมาย ภายใต้การให้คุณค่าชุดหนึ่งที่มีร่วมกัน
เพราะรากเหง้าความหมายของคำว่ายั่งยืน ซึ่งเป็นคำไทยมีนัยในทางบวก
หมายถึงความมั่นคง ยืนยง[6] ที่เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ปรารถนาและยอมรับ และสามารถนำคำๆนี้มาใช้ร่วมกับคำอื่นๆได้
เช่น ประชาธิปไตยที่ยั่งยืน สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน การจัดการที่ยั่งยืน
การพัฒนาที่ยั่งยืน ธรรมาภิบาลที่ยั่งยืน
หรือแม้แต่ในขบวนการเคลื่อนไหวของเกษตรกรรมที่ยั่งยืนที่ถูกกล่าวถึงกันอย่างแพร่หลาย
ในส่วนของกรมวิชาการเกษตรองค์กรพัฒนาเอกชน
หรือภาคประชาชนที่ได้เปิดพื้นที่ของเกษตรกรรมรูปแบบต่างๆ เช่นวนเกษตร เกษตรพอเพียง
เกษตรผสมผสาน เกษตรอินทรีย์ เกษตรกรรมธรรมชาติ พุทธเกษตร
ที่เป็นเสมือนแนวทางอันนำไปสู่ความยั่งยืนในอนาคต เป็นต้น[7] คำว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนในบริบทไทยจึงมีสภาพไม่ต่างจากรูปสัญญะที่ล่องลอย
เปล่ากลวงทางความหมาย เนื่องจากมีความหมายที่กระจัดกระจาย ไม่สามารถที่จะหาความหมายที่ยุติเด็ดขาดได้
แต่มันก็สะท้อนถึงคุณค่าและความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับวงศาคณาญาติทางความหมายที่มาเกาะเกี่ยวสัมพันธ์
ไม่ว่าจะเป็น ภูมิปัญญา[8] องค์รวม บูรณาการ สันติ สมดุลย์ พอเพียง ยั่งยืนยาวนาน คงทนถาวร
ความเอื้ออาทร การมีส่วนร่วม[9] ความเคารพ ความหลากหลาย[10] การพึ่งตนเองและอื่นๆ คำต่างๆเหล่านี้
ล้วนมีรากเหง้า มาจากฐานคิดในเรื่องพระพุทธศาสนา ที่เป็นเรื่องของธรรมชาติ จิตวิญญาณ
คุณธรรมและจริยธรรม ความเป็นไทยที่ต้านทานกับกระแสะวันตกและดูเหมือนจะสามารถปรับตัวให้สอดคล้องสมดุลย์กับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในปัจจุบันด้วย อันมีมูลเหตุมาจากการสูญเสียจิตวิญญาณ
คุณธรรม จริยธรรม ความสงบสุขมั่นคง ภูมิปัญญาและสิ่งแวดล้อม
รวมทั้งการมองและแก้ปัญหาแบบแยกส่วน
การพัฒนาที่ยั่งยืนจึงรวมคุณค่าความหมายต่างๆที่ดีงามเข้ามาไว้ในในตัวของมันทั้งความหมายที่มีนัยของรากเหง้าจากตะวันตก
เช่น การพัฒนา การบริหารจัดการ บูรณาการ องค์รวม
และความหมายที่ถูกต่อติมผ่านระบบคิดโลกทัศน์แบบตะวันออก เช่น ภูมิปัญญา มั่นคงถาวร
พอเพียง พึ่งตนเอง เป็นต้น
ซึ่งในปัจุบันการพัฒนาที่ยั่งยืนได้กลายเป็นสิ่งที่นักพัฒนา นักสิ่งแวดล้อม
นักการเมือง นักธุรกิจ นักวิศวกร สื่อมวลชน
ข้าราชการ และคนกลุ่มอื่นๆ เข้ามาใช้พื้นที่ในสนามแห่งนี้ร่วมกัน ดูเหมือนคำว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนจะสามารถผสมผสานกลมกลืน
สิ่งที่แตกต่างขัดแย้งกัน เข้ากันไม่ได้ให้หันหน้าเข้าหากัน
ภายใต้ยุทธศาสตร์เป้าหมายร่วมกันแม้ผลประโยชน์เบื้องหลังจะแตกต่างกันอย่างมากมายเพียงใดก็ตาม
ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของนักเรียนทางมานุษยวิทยา ที่จะต้องศึกษาองค์ความรู้
เพื่อแสดงให้เห็นถึงกลไกลทางอำนาจในการสร้างคุณค่า
ให้ความหมายที่กลุ่มต่างๆเข้ามาใช้สนามหรือพื้นที่ของวาทกรรมการพัฒนาที่ยั่งยืนในปัจจุบัน
ซึ่งสุดท้ายแล้วเราอาจจะพบว่ามันก็ไม่แตกต่างจากมายาคติที่ถูกสร้างขึ้นและมีความเปล่ากลวงในตัวของมันเอง
เพียงแต่ว่ามันสามารถที่จะถูกสถาปนาและสร้างอำนาจความชอบธรรมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่คนทั่วไปยอมรับและไม่ปฎิเสธการพัฒนาดังกล่าว
โดยมีสถาบันต่างๆมารองรับ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมาย
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สถาบันวิจัยและพัฒนา เป็นต้น
ที่ทำให้การพัฒนาที่ยั่งยืนได้กลายเป็นสนามปฏิบัติการทางอำนาจที่มีคนกลุ่มต่างๆเข้าไปใช้อย่างแพร่หลาย
[1] โดยเฉพาะนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมโดย
ที่มีการจัดสัมนาวิชาการของคณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ในหัวข้อการพัฒนาอย่างยั่งยืน(Sustainable
Development) ทางเลือกใหม่ในการแก้ปัญหาในปี2534ซึ่งน่าจะเป็นการประชุมเรื่องแรกเกี่ยวกับแนวคิดนี้ ที่ได้พยายามระดมแนวคิดจากนักวิชาการนักพัฒนาในการแสวงหาทางเลือกในการพัฒนา
แต่ก็ยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายนัก ดูได้จากเอกสารการประชุม วันที่14-15 กุมภาพันธ์ 2534
[2] นับว่าท่านมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการนำเสนอยุทธศาสตร์ในการพัฒนาของชาติให้สอดคล้องกับภูมิปัญญาท้องถิ่นภูมิปัญญของชาติเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชาติ(ดูตัวอย่างการสรุปงานบางชิ้นของนพ.ประเวศ วะสีในงานของอ.ปริตตา,
2548)
[3] ผู้มีบทบาทสำคัญอีกท่านหนึ่งในการสำรวจองค์ความรู้ของสังคมไทยที่จะต้านทาน
ปรับตัวให้สอดคลองกับแนวคิดตะวันตกหรือกระแสโลกในปัจจุบันโดยแสวงหาภูมิปัญญาไทย
ท่านได้จัดตั้งวาสารปาจารยสารและสถาบันสันติประชาธรรม(ดูรายละเอียดของการเสวนาของสถาบันปรีดี
พนมยงค์ เรื่ององค์ความรู้กับสังคมไทย,2529)
[4]
รัฐธรรมานูญแห่งราชอาณาจักรไทย2540 มาตร79
ระบุว่า
รัฐจะต้องส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการสงวนบำรุงรักษาและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุลรวมทั้งมีส่วนร่วมในการบำรุงรักษาและคุ้มครองคุณภาพสิ่งแวดล้อมตามหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน ตลอดจนควบคุมและจำกัดภาวะมลพิษที่มีผลต่อสุขภาพอนามัยสวัสดิภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชน
รวมถึงมาตราที่46 ที่ชุมชนท้องถิ่นมีสิทธิที่จะอนุรักษ์ฟื้นฟูจาฃีต
ประเพณี ภูมิปัญาท้องถิ่น
ศิลปะและวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่นและชาติและมีส่วนร่วมในการจัดการบำรุงรักษาและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนและสมดุล
[5]
ตัวอย่างเช่นแผนพัฒนาฯฉบับที่9 การพัฒนาที่พอเพียง กำหนดว่าวิสัยทัศน์การพัฒนาประเทศที่กำหนดให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและสังคมที่เข้มแข็งมีคุณภาพ
แก้ปัญหาความยากจนและยกระดับคุณภาพชีวิตโดยยึดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเครื่องนำการพัฒนา
[6]
ในอักขรภิธานศัพท์
ของหมอบรัดเลย์ พ.ศ.2416 กล่าวว่า ความยั่งยืน หมายถึง มั่นคง คือแน่นอน
เหมือนว่าวคุลาที่เขาชักคว้ากับอีป้าว อีป้าวมันแทงทะลุก็ไม่ตกนั้นว่า ยั่งยืน
อย่างหนึ่งคนไม่พูดมุสา ไม่พุดเท็จ ไม่พูดโกหก
พูดได้ความจริงถึงจะซักถามก็ไม่พูดกลับถ้อยคำว่า เขาพูดจายั่งยืน
[7]
หาอ่านได้จากอนุสรณ์
อุณโณ(2545) เรื่องขบวนการเกษตรกรรมยั่งยืนในสังคมไทยและการเมืองของานเขียนเกษตรกรรมยั่งยืนซึ่งศึกษาขบวนการเคลื่อนไหววาทกรรมเกษตรกรรมยั่งยืน
ที่นำไปสู่การปรับเปลี่ยนคุณค่าและวิธีการจัดการทรัพยากร
โดยศึกษาผ่านงานเขียนด้านเกษตรกรรมที่ยั่งยืนทั้งของภาครัฐและองค์กรพัฒนาเอกชน
[8]
ดูตัวอย่างการประยุกต์ใช้แนวคิดในเรื่องนี้จากภูมิปัญญาชาวบ้านกับการพัฒนาที่ยั่งยืนโดย
นพ.ประเวศ
วะ สี,2536
[10]
ความหลากหลายทางชีวภาพก็จัดเป็นเครือญาติของการพัฒนาที่ยั่งยืนภายใต้อนุสัญญาที่ว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ
ที่ทำให้มนุษย์หันกลับมาตระหนักเรื่องความหลากหลาย
การเลิกปลูกพืชเชิงเดี่ยวและมาปลูกพืชที่หลากหลายซึ่งเป็นขบวนการเคลื่อนไหวของคนท้องถิ่นเรื่องการเพาะปูลก
เรื่องป่าและสมุนไพร ที่อยู่ภายใต้โครงการพัฒนาและเรื่องของสิทธิบัตร(ดูได้จากงานของอ.ยศ สันสมบัติ,2542 สุรชัย
หวั่นแก้ว,2545)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น