มนุษย์คืออะไร?
ในการศึกษาของนักมานุษวิทยา
และนักโบราณคดี ก็มีความความคิดตรงกันประการหนึ่งว่า ไม่ว่าจะเป็นสมัยใหม่ หรือก่อนประวัติศาสตร์
ก็มักจะเชื่อว่า สิ่งที่อยู่รอบตัวเขา ก็มีชีวิตเช่นเดียวกับที่เขามี ตัวอย่างเช่น
เมื่อเขาได้รับความเจ็บปวดจากก้อนหินหรือกิ่งไม้ที่ที่ตกหล่นลงมา
เขาก็จะเชื่อว่าเป็นเพราะสิ่งที่เหนือธรรมชาติที่เรียกว่า มานา (Mana) หรือวิญญาณร้ายของก้อนหินและต้นไม้
นอกจากความเชื่อในสิ่งที่เหนือธรรมชาติ
มนุษย์ชนเผ่าก็จะมองตัวเขาเองสัมพันธ์กับสังคม ชุมชนหรือกลุ่มคนที่เขาอยู่ รวมทั้งการตระหนักถึงตัวเอง มนุษย์เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า
เราคือใคร
มนุษย์เกิดขึ้นมาได้อย่างไร
จนมาถึง ความร้ายแรงของความตาย ทำไมมนุษย์ต้องตาย และปัญหาชีวิตหลังความตาย
ตายแล้วไปไหน คำถามเหล่านี้มนุษย์ก็พยายามหาคำตอบมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์
และดำรงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน ดังที่ปรากฏในเทพนิยาย
ในหลายพื้นที่ เกี่ยวกับการกำเนิดโลกทั้งอียิปต์ บาบิโลเนียน ซูมาเรียน และฮิบรูว์
เช่นในพระคัมภีร์ เกี่ยวกับเรือโนอาห์ น้ำท่วมโลก เป็นต้น
ในเทพนิยายทั้งหมดมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันหลายประการ
โดยเฉพาะความเชื่อเกี่ยวกับการสร้างมนุษย์โดยพระเจ้า เพื่อรับใช้พระเจ้า
เช่นการสร้างมนุษย์จากดินเหนียวของเทพคนัม เทพเจ้าแห่งหม้อดิน(Khnum) ในอียิปต์ ที่จะพบการวาดภาพคนบนเครื่องปั้นดินเผา
หรือชาวบาบิโลเนียน
มีนิยายปรัมปราเกี่ยวกับการสร้างมนุษย์ที่ทำจากก้อนดินผสมกับเลือดของพระเจ้าที่ถูกฆ่า
ในนิยายเทพของฮิบรูว์ (จากเรื่องเจเนซิสแห่งพระคัมภีร์ดั้งเดิม)
กล่าวถึงพระเจ้าเวห์ ที่สร้างมนุษย์จากดินเผา
และประทานชีวิตให้ด้วยเพื่อว่ามนุษย์เป็นวิญญาณที่มีชีวิต
หรือในเทพนิยายของชนเผ่าซูมาเรียน
เรื่อง กิลกาเมซ (Gilgamesh)
เมื่อกิลกาเมชพระเอกของเรื่องเผชิญหน้ากับความตายของเอนคิดู เพื่อนของเขาซึ่งเป้นประสบการณ์ที่อธิบายได้อย่างงน่ากลัวและเป็นสิ่งใหม่
กิลกาเมชกลัวว่าเขาจะเหมือน เอนคิดู ที่ปราศจากลมหายใจหรือการเคลื่อนไหว เขาอธิบายอย่างชัดเจนว่ามนุษย์รู้สึกอย่างไร
เมื่อเผชิญหน้ากับความจริงของความตาย
กิลกาเมซได้กระทำพิธีกรรมบางอย่าง โดยได้รับอนุญาตจากเทพเจ้าแห่งความตาย
เพื่อให้วิญญาณเอนคิดูมาบอกเขาเกี่ยวกับภาวะของความตาย เอนคิดูบอกว่า
“เขา(เทพเจ้าแห่งความตาย) ได้นำตัวพวกเราไปสู่อาณาจักรแห่งความมืดมน
บนถนนไม่มีทางกลับ และผู้ที่ย่างก้าวเข้าไป ไม่มีทางออกมาได้
ไปยังดินแดนที่ปราศจากแสงสว่างโดยมีหนทางที่เต็มไปด้วยฝุ่นและมีดินเป็นอาหาร
พวกเขาใส่เสื้อเหมือนปีกนก ไม่อาจเห็นแสงสว่าง อยู่แต่ในความมืด”
ดังนั้นมนุษย์ยุคโบราณก็มีความเชื่อในเรื่องของวิญญาณ การรักษาเอกลักษณ์ของเขาหลังจากที่ตายไปแล้ว
แม้ว่ารูปแบบอาจจะแตกต่างกัน เช่นมีปีก ดังเช่นภาพวาดของชาวอียิปต์ บนหลุมศพ
ก็จะพบสิ่งที่คล้ายคลึงกันในการแสดงสัญลักษณ์รูปคา (Ka) หรือวิญญาณของผู้ตายบินอยู่เหนือซากศพของตนแบบนกเล็กๆที่มีใบหน้ามนุษย์
แม้ในตราประทับของพวกครีตันยุคแรก ที่เรียกว่า วงแหวนแห่งเนสเตอร์
ได้แสดงให้เห็นวิญณาณของคนตายในรูปของผีเสื้อที่เกิดจากตัวด้วง หรือในยุคหิน
มนุษย์ถ้ำก็มีการฝั่งศพ ไปพร้อมกับเครื่องมือ อาวุธ อาหารไปพร้อมกับผู้ตาย
เพื่อชีวิตหลังความตาย
ความเชื่อในเรื่องชีวิตหลังความตาย
ก็สัมพันธ์กับความคิดที่ว่าวิญญาณของผู้ตายมีความสัมพันธ์กับความดีความชั่วด้วย
ขณะที่มีชีวิตอยู่ ในตำราของชาวบาบิโลเนียน ได้กล่าวถึงวิญญาณของอีติมมู(Etimmu) หรือวิญญาณแห่งความตาย โดยเฉพาะคนที่ตายอย่างกะทันหัน
หรือผู้ที่ไม่ไดรับการฝังโดยพิธีกรรมการทำศพอย่างถูกต้อง
ที่ได้สร้างความกลัวให้กับชนเผ่า ในแอฟริกาและบาบิโลเนียนในปัจจุบัน
แสดงให้เห็นความกลัวตายที่มีอยู่แบบดั้งเดิมที่เป็นสากล
ชาวเผ่าเชื่อว่าวิญญาณของผู้ตายพยายามที่จะกลับโลก
และอาจจะเข้าไปสู่ร่างของสิ่งมีชี่วิตได้ นอกจากจะมีการป้องกันไว้ บางเผ่าของมาลานีเซียน
แขวนเบ็ดตกบาไว้รอบๆกระท่อม เพื่อขจัดวิญญาณไม่ให้เข้ามา หรือประเพณีการไว้ทุกข์ ตัดผม ฉีกเสื้อผ้า ทำบาดแผลที่ใบหน้า ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงแสดงความโสกเสร้า
แต่ยังป้องกันการจำได้จากวิญญาณของผู้ตาย
นอกจากนี้
ยังมีความเชื่อว่า
วิญญาณผู้ตายมีความรู้เกี่ยวกับอนาคตที่สามารถจะถูกเรียกมาจากเบื้องล่างได้โดยทำพิธีกรรมบางอย่าง
เพื่อสอบถามหรือตักเตือนผู้มีชีวิตอยู่
ซึ่งความเชื่อนี้ยังปรากฏอยู่ในสังคมสมัยใหม่
ทั้งการพยายามควบคุมวิญญาณองคนตาย
ความกลัววิญญาณ หรือการทำพิธีกรรมเกี่ยวกับคนตาและวิญญาณ
ที่สะท้อนให้เห็นรากฐานทางด้านแนวคิดปรัชญาและศาสนายุคปัจจุบัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น