ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

กว่า 5 ทศวรรษของกระบวนการพัฒนาประเทศไทย เพื่อก้าวไปสู่ความทันสมัยและเป็นประเทศผู้นำทางด้านอุตสาหกรรมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เน้นการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ มูลค่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ และรายได้ของประชาชน ต่อหัวซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดความเจริญก้าวหน้าของ ประเทศในปัจจุบัน แต่ทว่าในขณะเดียวกัน การเจริญเติบโตดังกล่าวต้องแลกมาด้วย การใช้ประโยชน์ จาก ทรัพยากรธรรมชาติภายในประเทศจำนวนมหาศาล รวมทั้งความเสียสละของประชาชนในพื้นที่ ที่ถูกมองว่าเป็นคนกลุ่มน้อยที่ต้องทำเพื่อคนส่วนใหญ่ ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้กลายเป็นกลุ่มคนระดับล่างของกระบวนการพัฒนา และการตัดสินใจเชิงนโยบาย ซึ่งบางครั้งนโยบายการพัฒนาเหล่านั้นก็ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากกระบวนการกีดกันพวกเขาในฐานะเจ้าของพื้นที่ออกจากกระบวนการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจต่อนโยบายของโครงการนั้นๆ ที่อาจจะมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตและคุณภาพชีวิตของพวกเขาในอนาคต ดังจะเห็น ได้จากการปรากฏตัวของชาวบ้านในพื้นที่ต่างๆที่รวมกลุ่มกันต่อต้านนโยบาย การพัฒนาของภาครัฐ และเอกชนที่เกิดขึ้นในทั่วทุกภาคของประเทศไทย รากเหง้าของความขัดแย้งดังกล่าว มีสาเหตุมาจากปัญหาในเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ที่ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันและความขัดแย้งระหว่าง รัฐกับชาวบ้าน ชาวบ้านกับกลุ่มทุนข้ามชาติและชาวบ้านในพื้นที่ด้วยกันเอง กรณีปัญหาดังกล่าว ส่วนหนึ่งถูกนำเสนอต่อสาธารณะชน อีกส่วนหนึ่งไม่ถูกนำเสนอ ซึ่งทำให้ปัญหาดังกล่าวไม่ถูกรับรู้และสร้างให้พวกเขากลายเป็นชายขอบของการพัฒนา แม้ว่าในบางพื้นที่จะมีนักศึกษาและนักวิจัยเข้าไปทำการศึกษาประเด็นปัญหาเป็นจำนวนมาก แต่ชาวบ้านในพื้นที่ก็ยังขาดข้อมูลทางวิชาการเพื่อสนับสนุนการต่อสู้ของชาวบ้านในพื้นที่ เนื่องจากลักษณะของงานวิชาการเหล่านี้มีความหลากหลายตามสาขาวิชาและแหล่งทุนสนับสนุน เช่น งานข้อมูลบางชิ้นก็จัดทำโดยนักวิชาการที่กลุ่มทุนหรือบริษัทข้ามชาติ จ้างเข้ามาเก็บรวบรวมข้อมูลและทำวิจัยในพื้นที่เพื่อประโยชน์ต่อการดำเนินโครงการ งานวิจัยบางชิ้นก็ถูกศึกษาโดยนักวิชาการในสถานศึกษาส่วนกลางหรือท้องถิ่นที่ได้รับทุนสนับสนุน หรือไม่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ผ่านกระบวนการทำวิทยานิพนธ์ หรือเป็นงานศึกษาขององค์การพัฒนาเอกชนเพื่อใช้ทำการเคลื่อนไหวต่อประเด็นปัญหาในพื้นที่ เป็นต้น งานวิจัยเหล่านี้มีทั้งในส่วนที่ชาวบ้านรับรู้และไม่รับรู้ ชาวบ้านมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วมในการศึกษาวิจัย ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ปัญหาไม่สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลและความรู้เหล่านี้รวมทั้งไม่สามารถใช้ความรู้เหล่านี้ให้เกิดประโยชน์ในการต่อสู้และเคลื่อนไหวในประเด็นปัญหาของพื้นที่ได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้พวกเขาต้องจำยอมต่อการพัฒนาดังกล่าวเพราะไม่อาจต่อสู้กับกระแสของการพัฒนาและนโยบายของรัฐและเอกชนที่ถาโถมเข้ามาเข้ามาในพื้นที่อย่างรวดเร็วและรุนแรงได้ ปรากฏการณ์ดังกล่าว สะท้อนให้เห็นปัญหาของงานด้านวิชาการ ที่เกิดจากนักวิชาการที่ทำงานเกี่ยวข้องกับข้อมูลประเด็นปัญหาในพื้นที่นั้น ยังไม่ได้มีการรวบรวมองค์ความรู้ งานวิจัยและงานศึกษาที่กระจัดกระจายอยู่ในหน่วยงานต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชนหรือแม้แต่ในกลุ่มชาวบ้านที่ทำการเคลื่อนไหวต่อสู้ด้วยการสร้างและรวบรวมความรู้ของตัวเอง (วิจัยไทบ้าน) อีกทั้งยังไม่ได้เชื่อมโยงเครือข่ายทางวิชาการ ในการใช้องค์ความรู้ที่มีชี้ให้เห็นทิศทางและแนวโน้มของนโยบายการพัฒนา ที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับประเด็นปัญหาไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทรัพยากรเช่น ป่าไม้ ที่ดิน แร่ธาตุ อุตสาหกรรม และพลังงาน ที่มีผลกระทบและเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตทางสังคมวัฒนธรรมของพวกเขา ดังนั้นงานสังเคราะห์และประมวลความรู้ชิ้นนี้ จึงน่าจะมีประโยชน์ในการรวบรวมความรู้ที่กระจัดกระจายให้เป็นระบบและหมวดหมู่เพื่อให้ง่ายต่อการนำไปใช้ประโยชน์ และสามารถนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ในการคาดคะเนถึงทิศทางการพัฒนาในอนาคต และเป็นข้อมูลที่สามารถนำมาสร้างเป็นแผนที่เป้าหมาย ที่รวบรวมและสะท้อนให้เห็นปัญหาของพื้นที่ แกนนำต่อสู้ในพื้นที่ กลุ่มทุนในพื้นที่ และเครือข่ายวิชาการในพื้นที่ เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับการต่อสู้เคลื่อนไหวของพื้นที่กรณีปัญหาและเครือข่ายต่อไป รวมทั้งฐานข้อมูลเหล่านี้ยังเป็นประโยชน์สำหรับนักวิชาการที่จะนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ในการศึกษาและวิจัยต่อไป และนำไปสู่เป้าหมายสูงสุดคือความร่วมมือระหว่างนักวิชาการและชาวบ้าน ที่สามารถนำไปสูการสร้างเครือข่ายทางวิชาการที่เข้มแข็งและใช้ความรู้ทางวิชาการในการหนุนเสริมการต่อสู้ร่วมของชาวบ้านในพื้นที่กรณีปัญหาในอนาคต

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...