ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ชีวิตเอ็นจีโอ(3)


เมื่อชาวบ้านแตกออกเป็นสองฝ่าย เมื่อคนที่เราเคารพนับถือหาว่าเราหลอกลวงให้เชื่อ
การรุกเข้ามาของบริษัทในช่วงปี2546 ซึ่งได้สร้างกรtแสของคนออกเป็นสองกลุ่มซึ่งในตอนแรกมีแค่กลุ่มต่อต้าน และกลุ่มคนที่ไม่แสดงตัวตนว่าคิดอย่างไร คอยดูข่าวสารความเคลื่อนไหวอยู่  คนกลุ่มหลังนี้ส่วนหนึ่งที่ได้แสดงตัวตนออกมาว่าเป็นกลุ่มที่สนับสนุนโครงการ โดยเฉพาะกลุ่มกำนันผู้ใหญ่บ้านสี่ตำบล นำโดย นายชำนาญ ภูวิไลและนายฉลอง ภูวิไล และกลุ่มพิทักษ์สิทธิตนเองบ้านดงมะไฟ ซึ่งในช่วงแรกๆที่บริษัทได้จ้างบัณฑิตอาสาที่เคยทำงานกับชุมชนและหมดวาระการทำงานมาเป็นพนักงานและคอยประสานงานให้ข้อมูลเกี่ยวกับโปแตชกับชาวบ้าน งานมวลชนสัมพันธ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเสนอเงินผ้าป่า เพื่อทำนุบำรุงวัด การจัดแข่งกีฬา การมอบอุปกรณ์โรงเรียน  การสนับสนุนอาชีพ เพาะเห็ด เลี้ยงไก่ชน การออกสื่อทั้งท้องถิ่นและระดับประเทศ ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ การจัดกิจกรรมและร่วมกิจกรรมระดับจังหวัด เช่นงานทุ่งศรีเมือง ครัวโลก เป็นต้น สิ่งเหล่านี้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงแนวความคิดของชาวบ้านเป็นอย่างมากโดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่นิ่งๆเงียบๆและรอดูท่าที เพราะผลประโยชน์อันมหาศาลและวัตถุที่จับต้องได้ มากกว่าอุดมการณ์ของชาวบ้านที่ต่อสู้มาเป็นเวลา4-5 ปีที่ต้องเสียสละเวลา แรงกายและเงินในการต่อสู้เพื่อปกป้องทรัพยากรและสมบัติของชาติ ที่ยังไม่เห็นผลชัดเจนในคำตอบสุดท้ายของโครงการ ว่าจะหยุดหรือสร้าง พร้อมกับสิ่งที่คนบางคนพูดย้ำว่า สู้ยังไงก็ไม่ชนะเขาหรอก
นี่คือสิ่งสิ่งที่ฝ่ายตรงกันข้ามพยายามสร้างขึ้นมาบั่นทอนกำลังใจ ของชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการเขียนบทความโจมตี ในเรื่องของแกนนำ เรื่องบุญกุ้มข้าว ความไม่โปร่งใสในการจัดงาน การใช้ประเพณีบิดเบือนเจตนารมณ์บรรพบุรุษ การใช้ความรุนแรงเหนือเหตุผลเป็นต้น สิ่งเหล่านี้ได้ตอกย้ำและสร้างภาพทางลบให้กับกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในสายตาคนข้างนอก ชาวบ้านบางคนก็เริ่มแสดงตัวตนออกมาอยู่ข้างกลุ่มสนับสนุนมากขึ้น แม้แต่ผู้ที่เคยต่อสู้ร่วมกันบางคน ที่เคยพูดว่าจะสู้ตรงนี้ สู้ที่นี่สู้จนตาย ตนเองเป็นคนสร้างบ้านแปลงเมือง เป็นหลักของลูกหลาน จะเป็นแกนนำในการต่อสู้เอง ก็ยังเปลี่ยนแปลง  ซึ่งแน่นอนว่า หากพื้นฐานของชุมชนที่อยู่บนฮีตบ้านคองเมือง ระบบจารีตประเพณีความเป็นชุมชน ระบบการลงโทษของชุมชน ก็จะจัดการและสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นในตัวของมันเอง ดังที่กลุ่มอนุรักษ์หรือคนในชุมชนใช้มาตรการ ไม่คบหาสมาคม ไม่ร่วมกิจกรรมต่างๆ ของคนๆนั้นก็น่าจะเป็นคำตอบในวิธีการจัดการความขัดแย้งของชาวบ้าน ซึ่งแน่นอนว่า วิธีการนี้คือขั้นสุดท้าย เพราะก่อนหน้านั้นได้มีการนำผู้เฒ่าผู้แก่ไปพูดคุยกับลูกหลานที่ไปเข้ากับบริษัทปลุกปั่นคนในชุมชนให้แตกแยกมาแล้ว แต่ก็ไม่ยอมฟัง  ซึ่งผู้เขียนก็ได้พบเห็นในหลายกรณี เช่นการมาจัดกีฬาที่หมู่บ้านซึ่งบริษัทให้งบมา ตอนสุดท้ายก็ต้องล้มเลิกหรือจัดไม่ได้ หรือการไม่รับเงินฌาปนกิจหมู่บ้านจากลุ่มที่สนับสนุนบริษัท จนกลุ่มคนเหล่านั้นต้องถอนจากกลุ่มฌาปนกิจหมู่บ้าน หรือแม้แต่การซื้อของในชุมชน คนในชุมชนก็จะเลือกซื้อของกับคนที่อยู่กลุ่มอนุรักษ์ไม่ซื้อของกับคนที่เข้ากับบริษัท หรือการที่บริษัทจะมามอบเงินให้กับวัด ชาวบ้านก็ไปรวมตัวกันชุมนุมที่วัดจนผลสุดท้ายวัดก็ไม่ยอมรับเงินเป็นต้น นี่เองที่เขาเรียกว่าห้องเรียนสันติวิธีและความรุนแรง การจัดการความขัดแย้งของคนในพื้นที่

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...