เช้าวันเสาร์ หาวัตถุดิบลงBlog ..นึกถึงหนังเรื่องหนึ่งชื่อไทยว่าเปรตเดินดินกินเนื้อคน หรือชื่ออังกฤษว่า Cannibal Holocaust ในปี 1979-1980 เป็นหนังเกี่ยวกับนักมานุษยวิทยากลุ่มหนึ่งไปศึกษาชนเผ่ากินคนในอะเมซอน แล้วไม่เคารพวัฒนธรรม ไปละเมิด ไปทำร้ายคนท้องถิ่น สุดท้ายทุกคนถูกชนเผ่ากิน และหายสาปสูญไป หนังสือ The Man-Eating Myth: Anthropology and Anthropophagy (1979) โดย William Arens เป็นผลงานสำคัญที่เขย่าวงการมานุษยวิทยา ด้วยการตั้งคำถามกับความเชื่อที่ฝังรากลึกเกี่ยวกับ การกินเนื้อมนุษย์ (cannibalism) ในหมู่ชนพื้นเมืองต่าง ๆ แนวคิดที่น่าสนใจ และคำถามที่ชวนคิดในหนังสือนี้คือ 1.การกินเนื้อมนุษย์เป็น “ตำนาน” มากกว่าความจริงทางมานุษยวิทยา โดย Arens โต้แย้งว่า หลักฐานเกี่ยวกับชนเผ่ากินคน ที่แพร่หลายในตำราและงานวิจัยจำนวนมากนั้น ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่แน่นหนา และมักอาศัยคำบอกเล่า หรือมุมมองจากคนนอกที่มีอคติ 2. Cannibalism ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความเป็นอื่น (Othering) โดยแนวคิดนี้เชื่อมโยงกับ postcolonial studies: อารยธรรมตะวันตกมักสร้างภาพของผู้ป่าเถื่อน (savage) เพื่อ...
คำถามสำคัญคือเราดูความเจ็บปวดของคนอื่น ว่าเป็น อย่างไร? มากกว่าการพยายาม “เข้าใจ” หรือ “รู้สึกแทน” ในความเจ็บปวดนั้น ภาพถ่ายไม่ใช่ภาพจริง แต่เป็นการแทนภาพ ที่ถูกเลือก จัดวาง ตัดต่อ หรือบอกเล่าในบางมุม เป็นการเลือกว่าจะ “ให้คนอื่นเห็นอะไร” และ “ไม่ให้เห็นอะไร” เราในฐานะ “ผู้ชม” (Spectatorship ) ความทุกข์ของผู้อื่น ต้องทบทวนและตั้งคำถามว่าการดูภาพถ่ายหรือข่าวความรุนแรง ทำให้เรา รู้สึกเห็นใจ หรือเฉยชา? ที่สำคัญ ผู้ชมไม่ได้เป็นกลางเสมอ แต่เกี่ยวพันกับอำนาจและอารมณ์ ความทุกข์ของคนอื่นมักอยู่ “ไกล” จากชีวิตประจำวันของเรา ดังนั้นภาพข่าวหรือภาพถ่ายทำให้เรารู้สึกว่าได้เห็นแต่ ไม่ได้เชื่อมต่อทางจิตใจ จริง ๆ ความเจ็บปวดของคนอื่นอาจกลายเป็น สินค้าทางวัฒนธรรม ที่ผู้ชมเสพเพื่อความสะเทือนใจหรือความบันเทิง ภาพสงครามถูกจัดวางในพิพิธภัณฑ์ หนังสือพิมพ์ หรือโซเชียลมีเดีย เพื่อเรียกอารมณ์ ไม่ใช่ความเข้าใจ ใครบางคนตายแล้ว “สังคมไว้อาลัย” แต่บางคน “ตายเงียบ” แบบไม่มีใครจดจำ นี่เป็นคำถามในเรื่อง อำนาจของการเลือกจดจำ ดังนั้นความเห็นอกเห็นใจแท้จริงควรนำไปสู่การลงมือเปลี่ยนแปลง แต่หลายครั้ง...