มานุษยวิทยาด้านมืด: เมื่อโลกเปลี่ยน ทฤษฎีก็เปลี่ยน
“ทฤษฎีทางสังคมไม่เคยเป็นกลางหรือแยกจากโลกจริง Anthropology ตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา เปลี่ยนไปพร้อมการขยายตัวของ neoliberalism“
Sherry B. Ortner เริ่มต้นบทความด้วยข้อสังเกตพื้นฐานแต่ทรงพลังว่า งานวิชาการไม่เคยลอยอยู่เหนือโลกจริง มานุษยวิทยา เช่นเดียวกับศาสตร์ทางสังคมอื่น ๆ ที่มักจะถูกหล่อหลอมโดยเงื่อนไขทางการเมือง เศรษฐกิจ และประวัติศาสตร์ของยุคสมัยที่มันถือกำเนิดขึ้น คำถามที่นักมานุษยวิทยาเลือกถาม กรอบทฤษฎีที่เลือกใช้ ไปจนถึงสิ่งที่มองว่าสำคัญล้วนสะท้อนโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่
Ortner เสนอกรอบวิเคราะห์ 3 ส่วน คือ 1. Dark anthropology 2. Anthropologies of the good3. Anthropology of resistance / activism
ในกรณีของมานุษยวิทยาร่วมสมัยนับตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา Ortner ชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของสาขานี้ต้องถูกอ่านควบคู่ไปกับการผงาดของ เสรีนิยมใหม่ (neoliberalism) ในฐานะระเบียบเศรษฐกิจ การเมือง และการปกครองชีวิต เสรีนิยมใหม่ไม่เพียงเปลี่ยนโครงสร้างตลาดหรือบทบาทรัฐ หากแต่เปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตของผู้คนอย่างลึกซึ้ง ผ่านความเหลื่อมล้ำที่ถ่างกว้าง ขยายขอบเขต ความไม่มั่นคง การถูกผลักออกจากระบบ และการทำให้ความล้มเหลวกลายเป็นความผิดส่วนบุคคล
ภายใต้โลกเช่นนี้ มานุษยวิทยาจึงหันไปเผชิญความมืด หรือด้านมืดของชีวิตมนุษย์อย่างไม่อ้อมค้อม
***ชัยชนะของมานุษยวิทยาด้านมืด ( Dark Anthropology) ***
โดย Ortner เรียกแนวโน้มหลักของมานุษยวิทยาหลังทศวรรษ 1980 ว่ามานุษยวิทยาด้านมืด (dark anthropology) ซึ่งหมายถึงงานที่มุ่งศึกษามิติอันโหดร้ายของโลกสังคม อำนาจ การครอบงำ ความรุนแรง ความเหลื่อมล้ำ และความทุกข์ทั้งในระดับโครงสร้างและในระดับประสบการณ์เชิงอัตวิสัย เช่น ความกลัว ความสิ้นหวัง หรือภาวะซึมเศร้า
การหันเหนี้มาพร้อมกับการเปลี่ยนบรรพชนทางทฤษฎีของสาขา จากยุคที่มานุษยวิทยาอเมริกันเคยถกเถียงกันระหว่างสายวัฒนธรรมนิยมของ Clifford Geertz กับสายเศรษฐศาสตร์การเมืองของ Eric Wolf บทบาทของ Durkheim และ Weber ค่อย ๆ ลดลง ขณะที่ Marx (ในรูปแบบของมาร์กซิสต์ใหม่หรือนีโอทาร์กซิสต์ ที่พูดถึงสิ่งที่เรียกว่า ideology หรือ Hegemony ) และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Michel Foucault ( Power Discourse and Knowledge ) กลายเป็นศูนย์กลางทางความคิด
ฟูโกต์ได้มอบภาษาทางทฤษฎีที่ทำให้นักมานุษยวิทยามองเห็นอำนาจในรูปแบบที่แทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวัน ในความรู้ วาทกรรม สถาบัน และตัวตนของปัจเจกเอง อำนาจจึงไม่ได้กดทับจากเบื้องบนเท่านั้น แต่ยังผลิตตัวแบบมนุษย์บางประเภทขึ้นมา พร้อม ๆ กับขอบเขตของความเป็นไปได้ในชีวิต
***เสรีนิยมใหม่: โรงงานผลิตความทุกข์***
ในเชิงชาติพันธุ์วรรณนา เสรีนิยมใหม่กลายเป็นฉากหลังหลักของมานุษยวิทยาด้านมืด งานจำนวนมากชี้ให้เห็นว่า ความยากจน ความไม่มั่นคง และความทุกข์ของผู้คนมิใช่ผลจากความล้มเหลวส่วนบุคคล แต่เป็นผลผลิตของโครงสร้าง ไม่ว่าจะผ่านกระบวนการการสะสมทุนผ่านการกีดกันยึดครอง (David Harvey) แนวคิดความทุกข์ทางสังคม(Pierre Bourdieu) หรือการถูกทำให้เป็นประชากรส่วนเกิน (James Ferguson)
แนวคิดการสะสมทุนผ่านการกีดกันยึดครอง David Harvey เสนอว่า ทุนนิยมร่วมสมัยมิได้เติบโตจากการผลิตเพียงอย่างเดียว แต่เติบโตจาก การปล้น การยึด การผลัก และการพราก เขาเรียกกระบวนการนี้ว่า accumulation by dispossession ซึ่งรวมถึงการยึดที่ดินและทรัพยากรจากชุมชน การแปรรูปทรัพย์สินสาธารณะ การทำให้สิทธิขั้นพื้นฐาน (สุขภาพ การศึกษา น้ำ) กลายเป็นสินค้า รวมถึงการใช้รัฐ กฎหมาย หรือกำลังทหารเพื่อเปิดพื้นที่ให้ทุน
เสรีนิยมใหม่ยังต้องถูกเข้าใจในฐานะ ระบอบการปกครอง (governmentality) ที่ผลิตตัวตนแบบเสรีนิยมใหม่ ซึ่งถูกคาดหวังให้เป็นผู้ประกอบการของชีวิตตนเอง รับผิดชอบความเสี่ยงทุกอย่างด้วยตนเอง และถูกลงโทษเมื่อไม่ประสบความสำเร็จ รัฐไม่ได้หายไป แต่กลับแปรรูปเป็น รัฐลงโทษ ที่ใช้การควบคุม การเฝ้าระวัง และการทำให้ความยากจนกลายเป็นอาชญากรรม
แนวคิด ความทุกข์ทางสังคม (Social Suffering ) ของ Pierre Bourdieu เสนอว่า ความทุกข์จำนวนมากในโลกสมัยใหม่ถูก ทำให้มองไม่เห็นในฐานะปัญหาเชิงโครงสร้าง และถูกตีความใหม่ว่าเป็นปัญหาส่วนบุคคล เช่น คนตกงาน ถูกเชื่อมโยงกับความไม่ขยัน ผู้ลี้ภัย ถูกมองว่าเป็นภาระ ทหารผ่านศึกที่มีภาวะ PTSD ถูกมองว่าอ่อนแอ โดยแนวคิด social suffering ชี้ว่า ความทุกข์เหล่านี้เกิดจาก ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง (structural violence) และ ความรุนแรงเชิงสัญลักษณ์ (symbolic violence) ที่ทำให้ผู้คนโทษตนเองแทนที่จะโทษระบบ
แนวคิดเรื่องมนุษย์ส่วนเกิน (Surplus Populations) ของ James Ferguson เสนอว่า ในโลกทุนนิยมโลก ไม่ใช่ทุกคนจะถูกเอารัดเอาเปรียบบางคนกลับถูก ตัดออกจากระบบอย่างสิ้นเชิง กลายเป็น ประชากรส่วนเกินคนที่ไม่มีคุณค่าเชิงเศรษฐกิจอีกต่อไป ลักษณะสำคัญของประชากรส่วนเกินคือ ไม่จำเป็นต่อการผลิต ไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน และถูกจัดการผ่านการควบคุม การสงเคราะห์ หรือการทิ้งให้ตายช้า ๆ
***เมื่อความมืดไม่เพียงพอ: มานุษยวิทยาว่าด้วยความดีงาม***
อย่างไรก็ตาม Ortner ไม่ได้หยุดอยู่ที่การยกย่องมานุษยวิทยาด้านมืด เธอตั้งคำถามอย่างจริงจังว่า การจดจ่อกับความทุกข์และอำนาจเพียงอย่างเดียว อาจทำให้มานุษยวิทยาติดอยู่กับภาพโลกที่มืดมนเกินไปหรือไม่
คำถามนี้นำไปสู่การเกิดขึ้นของมานุษยวิทยาว่าด้วยความดีงาม (anthropologies of the good) ซึ่งหันไปสนใจชีวิตที่ดี ความสุข ศีลธรรม และการสร้างคุณค่าในชีวิตประจำวัน Joel Robbins เป็นหนึ่งในผู้ผลักดันแนวคิดนี้ โดยชี้ว่า มานุษยวิทยาไม่ควรทำให้ความทุกข์กลายเป็นเรื่องปกติจนมองไม่เห็นความหวังและคุณค่าที่ผู้คนพยายามสร้างขึ้น แต่ Ortner เตือนว่า ความดีงามไม่เคยอยู่นอกอำนาจ การศึกษาความสุขหรือศีลธรรมที่ตัดขาดจากบริบทของความเหลื่อมล้ำ อาจกลายเป็นการมองโลกในแง่ดีอย่างผิวเผิน งานที่ทรงพลังที่สุดคือ งานที่สามารถเชื่อม “ความดีงาม” เข้ากับ “ความมืด” ได้พร้อมกัน
***การกลับมาของการต่อต้านและความเป็นไปได้***
แนวโน้มสุดท้ายที่ Ortner กล่าวถึง คือการกลับมาของการศึกษาเรื่อง การต่อต้าน (resistance) ในโลกเสรีนิยมใหม่ การต่อต้านไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการปะทะเชิงการเมือง หากแต่รวมถึงการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน การดูแลกันเอง การตั้งคำถามต่ออุดมการณ์ตลาด และการจินตนาการรูปแบบชีวิตทางเลือก
ในที่นี้ แนวคิดของ Arjun Appadurai เรื่องจริยธรรมแห่งความเป็นไปได้ช่วยเปิดพื้นที่ให้มานุษยวิทยามองการต่อต้านไม่ใช่แค่การคัดค้าน แต่เป็นการสร้างเงื่อนไขของความหวังและอนาคตที่แตกต่าง
**ระหว่างความมืดและความหวัง***
บทความปิดท้ายด้วยจุดยืนที่ชัดเจนของ Ortner โดยอ้างวลีของ Gramsci ว่า “การมองโลกในแง่ร้ายของสติปัญญา และการมองโลกในแง่ดีของเจตจำนง”
มานุษยวิทยาที่ดีไม่ควรเลือกว่าจะเป็นศาสตร์แห่งความมืดหรือศาสตร์แห่งความหวัง หากแต่ต้องดำรงอยู่ในความตึงเครียดระหว่างการวิพากษ์อย่างไม่หลอกตัวเอง กับการไม่ละทิ้งความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนแปลง
ในโลกที่เสรีนิยมใหม่ยังคงผลิตความทุกข์อย่างต่อเนื่อง มานุษยวิทยาจึงไม่ได้มีหน้าที่เพียงอธิบายโลกที่เป็นอยู่ แต่ยังต้องช่วยเปิดพื้นที่ให้เราจินตนาการถึงโลกที่อาจเป็นไปได้ด้วย
หากมองเรื่องของสงครามในมุมมองของนักมานุษยวิทยาการแพทย์อย่างผม ภายใต้เลนส์ในการมองหรือสายตาแบบ Dark Anthropology ก็คงมองว่าสงครามจึงไม่ใช่ความล้มเหลวของระบบแต่เป็น โหมดการทำงานหนึ่งของทุนนิยมโลก ที่ยอมแลกชีวิตมนุษย์กับผลประโยชน์เชิงโครงสร้าง ชีวิตมนุษย์ในสงครามจึงกลายเป็น collateral damage สิ่งที่สูญเสียได้โดยไม่ต้องอธิบาย
สำหรับคนชายแดน สงครามไม่ได้อยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์ แต่ฝังอยู่ใน ร่างกายที่ป่วยเรื้อรัง ความวิตกกังวล ความทรงจำที่เจ็บปวดจากการสูญเสียคนที่รัก ไร่านา บ้านเรือนสัตว์เลี้ยง รวมทั้งความเงียบงันของเรื่องเล่าที่ไม่มีใครอยากฟัง
ระบบสุขภาพชายแดนมักจัดการผู้คนแบบ ชั่วครา เฉพาะหน้า และไม่ต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนการมองชีวิตเหล่านี้ว่าเป็น ชีวิตผ่านทาง ไม่ใช่ชีวิตที่ต้องลงทุนระยะยาว นี่คือสิ่งที่ผมได้เลนส์ของแนวคิด Dark Anthropology เรียกว่าความรุนแรงของความปกติ (banality of violence) ความรุนแรงที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องใช้ปืน แต่เจ็บปวดไม่แพ้กัน หรือสร้างความรุนแรงได้มากกว่า
สุดท้าย สงครามอาจจบในเชิงการเมือง แต่สำหรับคนชายแดน มันยังดำเนินอยู่ในชีวิตประจำวัน





ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น