ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

การมองเรื่องเอดส์ HIV และถุงยางอนามัย ผ่านแนวติดแบบ post human และ Multi Species โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

ระหว่างอ่านข่าว รมช.สธ. เปิดเผยว่าเยาวชนไทย 4 จังหวัด ติดเชื้อ HIV เพิ่มมากขึ้น จ่อแจกถุงยาง ให้ความรู้ เพื่อป้องกันติดเชื้อ...ตามประสาคนชอบคิดไปเรื่อย และได้ประเด็นคุยเรื่องเพศวิถีกับนักศึกษาคลาสพรุ่งนี้แล้ว… ผมคิดเล่นๆ ในฐานะคนเรียนมานุษยวิทยาการแพทย์ ถ้าผมจะทำประเด็นวิจัยสักเรื่อง ผมสนใจหัวข้อ โลกของหลายชีวิต: พลวัตของมนุษย์ เชื้อโรค และวัตถุป้องกันในชีวิตทางเพศ” A Multispecies World: Dynamics of Humans, Viruses, and Preventive Things in Sexual Life ผมจะมองปัญหาเอดส์และการใช้ถุงยางอนามัยในมุมชีวการแพทย์ กับมุมมองแบบ posthuman การมองสิ่งเหล่านี้แบบที่มากกว่าตัวมนุษย์(more-than-human) กรอบประเด็นที่ผมจะวิเคราะห์คือ 1.ถุงยางในฐานะสิ่งของที่มีชีวิตทางสังคม 2.HIV เป็นตัวละครที่ทำให้คนต้องคิดใหม่เรื่องเพศ ความรัก และการจัดการตนเอง 3.การอยู่ร่วมกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ (HIV) สร้างความสัมพันธ์ใหม่ของ care / risk / trust 4. การประกอบสร้างอัตลักษณ์ผ่านการสัมพันธ์กับสิ่งของ non-human (เช่น PrEP, การตรวจเลือด, condom, stigma) รวมทั้งการลองวางกลุ่มที่จะศึกษา คือ กลุ่มวัยรุ่นกับถุงยาง กลุ่มผู้ติดเชื้อที่อยู่ร่วมกับยา/อุปกรณ์ และประสบการณ์ของผู้หญิง /ผู้ชาย /ผู้มีความหลากหลายทางเพศที่อยู่กับ “การตรวจ-การป้องกัน-ความรัก” ที่จะทำให้ได้ข้อมูลมาวิเคราะห์ ภายใต้การวิเคราะห์ผ่านกรอบคิดที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ จะทำให้เรามองปรากฏการณ์ทางสุขภาพไม่ใช่แค่เรื่องของพฤติกรรมมนุษย์ แต่เป็น “กระบวนการร่วม” ที่มนุษย์, เชื้อโรค, วัตถุ, เทคโนโลยี และระบบความรู้ ร่วมกันประกอบสร้างโลกทางสังคมที่เผชิญอยู่ เมื่อผมลองวิเคราะห์เรื่้อง HIV เอดส์และถุงยางอนามัยผ่านมุมมอง posthuman หรือ multispecies น่าจะมองได้ว่า 1. HIV ในฐานะของ Non-human Agent โดยการมองว่า HIV ไม่ใช่แค่เชื้อโรคธรรมดา แต่มี “agency” ในการเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคม การเปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับเพศ ความรัก และการดูแลตัวเอง รวมทั้งการสร้างความกลัวผ่านการตีตรา (stigma) และการแบ่งแยกระหว่าง “ผู้ติดเชื้อ” ออกจาก “คนปกติ” ที่ผลักให้เกิดการวิจัย เทคโนโลยีใหม่ในการป้องกันและรักษา และนโยบายใหม่ในการควบคุม (เช่น PEP, PrEP, ตรวจเร็ว รักษาเร็ว) ดังนั้น HIV จึงมีบทบาทในกระบวนการสร้างอัตลักษณ์ และเปลี่ยนโครงสร้างสังคม อย่างต่อเนื่องเสมอมา 2. ถุงยางอนามัยในฐานะสิ่งของที่มีบทบาททางวัฒนธรรม (Cultural Thing) ดังนั้น ถุงยางอนามัยไม่ใช่แค่ “อุปกรณ์ป้องกัน” แต่เป็นสิ่งที่ทำหน้าที่หลากหลาย อาทิเช่น ป้องกันโรค การเป็นตัวกลางการต่อรองในการมีเพศสัมพันธ์ การเป็นเครื่องหมายของ “ความรับผิดชอบ” หรือ “ความไม่ไว้ใจง่าย” รวมทั้งมีบทบาทในการจัดการความเสี่ยง (risk management) ในบางบริบท ถุงยางอาจกลายเป็น “สิ่งต้องห้าม” (taboo) หรือถูกมองว่า “ทำลายความรักและความสุข” แต่ในอีกบริบทหนึ่ง มันคือ “พันธมิตรทางชีววิทยา-เทคโนโลยี” ที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับความสัมพันธ์ 3. ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์–nonhuman กับ โลกของโรค (Multispecies Infection) เมื่อมนุษย์ไม่ได้อยู่กับเชื้อโรคในแบบผู้ควบคุม แต่มนุษย์และเชื้อโรค “อยู่ร่วม” และ “แทรกซึมกัน” ผ่านระบบภูมิคุ้มกัน, พฤติกรรมทางเพศ รวมถึงนโยบายสาธารณสุข ดังนั้น การอยู่กับ HIV จึงไม่ใช่แค่เรื่อง “ป้องกัน” แต่คือการอยู่ร่วมในโลกที่มี การตัดสินทางศีลธรรม และ การเจรจาระหว่างร่างกาย ยา เทคโนโลยี และความสัมพันธ์ ดังนั้น ถุงยางอนามัยในบริบทของ HIV/AIDS จึงเป็นมากกว่าอุปกรณ์พลาสติกที่วางขายในร้านสะดวกซื้อ สิ่งที่ภาครัฐ องค์กรพัฒนาเอกชนใช้แจกกัน แต่มันคือ วัตถุทางวัฒนธรรมที่ร่วมสร้างอัตลักษณ์ ความสัมพันธ์ และความรู้สึกถึงความมั่นคง/ไม่มั่นคง ในเพศวิถีของผู้ใช้… เมื่อวิเคราะห์ผ่านแนวคิด posthuman เราจะเห็นว่า การควบคุมเอดส์ไม่ใช่เรื่องของมนุษย์เพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นผลลัพธ์ของการเจรจาระหว่าง non-human agents หลายประเภททั้ง ถุงยาง เชื้อ HIV ยาต้านไวรัส ระบบบริการสุขภาพ ความเชื่อทางศีลธรรม ฯลฯ ถุงยางอนามัยจึงไม่ใช่เพียงเครื่องป้องกันแต่เป็นผู้กระทำร่วม (co-actor) ที่อยู่ในโครงสร้างของการเรียนรู้ การดูแลตัวเอง และการเจรจาความสัมพันธ์ ดังนั้นการแจกถุงยางจึงต้องวางอยู่ในระบบของการสร้าง ความรู้ ความเข้าใจ และการไม่ตีตรา โดยการทำให้การใช้ถุงยาง กลายเป็น เรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องน่าอาย การออกแบบพื้นที่ที่เด็กสามารถเข้าถึงโดย ไม่ต้องเผชิญหน้ากับความละอาย ความกลัว…หรือการถูกมองในเชิงลบ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พิธีกรรม สัญลักษณ์ และ Victor Turner โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

  พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ  Victor turner  ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก  Arnold Van Gennep  ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา  (Periodicity)  ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์   จะทำอะไร   จะปลูกอะไร   ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ   ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคม ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ   โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น  3  ระยะคือ 1.rite of separation  หรือขั้นของการแยกตัว   ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม   ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์  (purification rites)  เช่น   การโกนผม   การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย   รวมถึงการตัด   การสร้างรอยแผลเป็น   การขลิบ  (scarification or cutting)  ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 2.rite of transition  เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ   โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...