ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ร่างกายกับความเจ็บป่วย โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

“Being toward the world” เป็นแนวคิดที่มาจาก Maurice Merleau-Ponty ที่หมายถึงการที่ร่างกายของเรามีส่วนเกี่ยวข้องและมีปฏิสัมพันธ์กับโลกอย่างต่อเนื่อง มันสะท้อนถึงการที่ร่างกายไม่เพียงแต่รับรู้โลก แต่ยังมีการกระทำและแสดงออกในโลกนี้อย่างมีความหมาย ดังเช่นกรณี “Phantom limb” ที่เป็นปรากฏการณ์ที่ผู้ที่สูญเสียแขนหรือขามักจะรู้สึกถึงการมีอยู่ของอวัยวะที่หายไปนั้น เช่น การเจ็บปวดหรือการรู้สึกถึงอวัยวะที่ไม่ได้อยู่ในร่างกายอีกต่อไป ปรากฏการณ์นี้เกิดจากสมองที่ยังคงตีความข้อมูลจากร่างกายส่วนที่หายไปในลักษณะเดียวกับเมื่อมันยังคงมีอยู่ เมื่อลองเชื่อมโยง phantom limb และ being toward the world ของ Merleau- Ponty ภาวะ Phantom limb สามารถถูกมองว่าเป็นตัวอย่างของการที่ร่างกาย “being toward the world” แม้ว่าร่างกายจะสูญเสียส่วนหนึ่งไป แต่วิธีที่สมองและประสาทสัมผัสยังคงตีความและรับรู้สิ่งต่างๆ แสดงให้เห็นถึงการเชื่อมต่อที่ลึกซึ้งระหว่างร่างกายและโลก ในปรากฏการณ์ phantom limb ที่สมองยังคงคิดและมองไปที่ส่วนที่หายไปและคงการติดต่อกับโลกที่มีอวัยวะนั้นอยู่ ในขณะที่ร่างกายจริงๆ อวัยวะส่วนนั้นได้หายไปแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นถึง การรับรู้และปฏิสัมพันธ์กับโลกในลักษณะที่ไม่สมบูรณ์ แต่ยังคงพยายามทำความเข้าใจและตีความโลกผ่านร่างกายที่ขาดหายไป การศึกษาปรากฏการณ์ phantom limb สามารถช่วยเข้าใจถึงวิธีที่ร่างกายของเรา “ยังคงอยู่” กับโลกในขณะที่มีการสูญเสีย และวิธีที่สมองและร่างกายยังคงแสดงออกและตอบสนองต่อโลก แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างทางกายภาพก็ตาม ในขณะที่ภาวะที่เรียกว่า Chronic Fatigue หรือ ภาวะอ่อนล้าเรื้อรัง เป็นภาวะที่ทำให้บุคคลรู้สึกเหนื่อยล้าและหมดแรงอย่างต่อเนื่อง แม้จะพักผ่อนหรือหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมหนัก ๆ การเหนื่อยล้าดังกล่าวอาจส่งผลกระทบทั้งทางร่างกายและจิตใจ และไม่สามารถอธิบายได้จากโรคหรือภาวะทางการแพทย์ที่ชัดเจน ทำให้ผู้ป่วยมักต้องเผชิญกับการสูญเสียคุณภาพชีวิตที่สำคัญ ภาวะที่ Impasse of Reciprocity คือสถานการณ์ที่ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือสภาพแวดล้อมขาดความสมดุลในการแลกเปลี่ยนหรือการตอบสนอง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับ reciprocity (การแลกเปลี่ยนและการตอบสนองระหว่างบุคคล) ในกรณีของ chronic fatigue, ภาวะนี้อาจนำไปสู่ impasse หรืออาการติดขัดในความสัมพันธ์ ซึ่งส่งผลให้การแลกเปลี่ยนในระดับสังคมและส่วนบุคคลหยุดชะงักไป เช่น การที่บุคคลรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถตอบสนองต่อสิ่งรอบตัวได้เหมือนปกติ หรือไม่สามารถรับการดูแลจากผู้อื่นได้อย่างที่เคย การลองเชื่อมโยงระหว่าง Chronic Fatigue และ Impasse of Reciprocity พบว่า ภาวะ Chronic Fatigue อาจทำให้บุคคลรู้สึก หมดพลัง และ ไม่สามารถตอบสนอง หรือ แลกเปลี่ยน ในความสัมพันธ์ได้ตามปกติ ทำให้เกิด impasse ในการแลกเปลี่ยนทางสังคมและอารมณ์ ในขณะที่ Impasse of reciprocity ในกรณีนี้หมายถึงความรู้สึกของการขาดความสัมพันธ์ที่มีการตอบสนองในรูปแบบที่เหมาะสม เช่น การที่ผู้ป่วยไม่สามารถรับการดูแลจากผู้อื่น หรือไม่สามารถให้การสนับสนุนแก่คนอื่นตามที่ต้องการ ดังนั้นการแลกเปลี่ยนในความสัมพันธ์ทั้งในระดับสังคมและส่วนตัวนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่เมื่อมี chronic fatigue ส่งผลให้การรับรู้ถึงการแลกเปลี่ยนแบบตอบโต้กันอาจไม่เกิดขึ้น ส่งผลให้เกิดการรู้สึกถึงการ มีภาวะติดขัด (impasse) ในความสัมพันธ์ดังกล่าว บทสรุป การเชื่อมโยงระหว่าง chronic fatigue และ impasse of reciprocity แสดงให้เห็นถึงผลกระทบของการเหนื่อยล้าเรื้อรังที่ไม่เพียงแค่เป็นปัญหาทางร่างกาย แต่ยังส่งผลต่อความสัมพันธ์และการแลกเปลี่ยนในระดับสังคม การไม่สามารถตอบสนองต่อผู้อื่นหรือไม่สามารถได้รับการสนับสนุนที่ต้องการอาจทำให้เกิดความรู้สึกของการติดขัดและการขาดความสัมพันธ์ที่มีความหมาย กรณีของ Environmental illness หรือ โรคจากสิ่งแวดล้อม หมายถึงภาวะสุขภาพที่เกิดจากการสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่มีสารพิษหรือมลพิษ ซึ่งอาจมีผลกระทบทั้งต่อร่างกายและจิตใจของบุคคล สาเหตุอาจเกิดจากการสัมผัสสารเคมี, มลพิษทางอากาศ, สารก่อมะเร็ง, หรือการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ซึ่งผู้ที่ประสบกับโรคเหล่านี้อาจเผชิญกับอาการที่ไม่สามารถระบุหรือวินิจฉัยได้ชัดเจนในทางการแพทย์แบบดั้งเดิม ที่ส่งผลต่อการรักษา และการได้รับบริการสุขภาพตามระบบ เนื่องจากการเจ็บป่วยบางอย่างไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นโรคตามนิยามขององค์กรอนามัยโลก หรือ การตีความเจ็บป่วยเหล่านั้นเป็นความเจ็บป่วยทางจิต ที่ไม่ได้บ่งชี้อาการทางกายที่ชัดเจน มีเแค่คำอธิบายว่าแพ้อากาศ และบอกว่านำไปสู่อาการปวดหัว วิงเวียนและอื่นๆ ซึ่งไม่สามารถบ่งชี้โรคได้ชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงการรรักษา และโยนการรักษาให้กับนักจิตวิทยาแทน เป็นต้น ความเจ็บป่วยสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีที่เรารับรู้ร่างกายของตนเองและวิธีที่เรามีปฏิสัมพันธ์กับโลกในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นมิติทางร่างกาย อารมณ์ สังคม และวัฒนธรรม 1. การเปลี่ยนแปลงการรับรู้ร่างกายของตนเอง เมื่อเกิดความเจ็บป่วย เราอาจเริ่มรับรู้ร่างกายในลักษณะที่แตกต่างไปจากเดิม เช่น จากการเป็น “สิ่งที่มองข้าม” ไปสู่ “ศูนย์กลางของความสนใจ” ตัวอย่างเช่น ในสภาวะปกติ เราอาจไม่ใส่ใจร่างกายของตัวเองมากนัก แต่เมื่อล้มป่วย ร่างกายกลายเป็นจุดสนใจหลัก เราสังเกตอาการทุกอย่าง ตั้งแต่ความเจ็บปวด ไปจนถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ เช่น คนที่เป็นโรคข้ออักเสบ อาจรับรู้ถึงข้อต่อของตัวเองทุกครั้งที่ขยับ ซึ่งไม่เคยเป็นสิ่งที่สังเกตมาก่อน การเปลี่ยนแปลงขอบเขตของร่างกาย (Body Boundary Changes) ในกรณีของโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็ง หรือโรคไต การรักษาอาจทำให้ร่างกายต้องพึ่งพาเครื่องมือภายนอก เช่น สายฟอกไต หรือเครื่องช่วยหายใจ สิ่งเหล่านี้ทำให้บุคคลรู้สึกว่าร่างกายของตนเองไม่ได้เป็นอิสระอีกต่อไป แต่เชื่อมโยงกับอุปกรณ์ทางการแพทย์ หรือผู้ป่วยหญิงที่ต้องตัดเต้านมออก อาจรู้สึกว่าสูญเสียลักษณะของ “ความเป็นหญิง” และต้องปรับตัวกับการมองตนเองใหม่ หรือเลือกใช้เต้านมเทียมเพื่อคงรูปร่างทางกายภาพเดิม การสูญเสียความสามารถบางอย่าง (Loss of Bodily Agency) เช่นจากคนที่เคยวิ่งออกกำลังกายได้ทุกวัน แต่เกิดอุบัติเหตุจนต้องใช้วีลแชร์ อาจรู้สึกว่าตัวเอง “ไม่ใช่คนเดิม” และร่างกายกลายเป็นข้อจำกัด ไม่ใช่เครื่องมือในการดำรงชีวิตเหมือนก่อน 2. การเปลี่ยนแปลงปฏิสัมพันธ์กับโลก เมื่อร่างกายเปลี่ยนไป วิธีที่เรามีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งรอบตัวก็เปลี่ยนตามไปด้วย เช่น ความสัมพันธ์กับผู้อื่น ในคนที่ป่วยหนักอาจต้องพึ่งพาคนดูแล ทำให้เกิดความสัมพันธ์แบบใหม่ เช่น คนที่เคยเป็นหัวหน้าครอบครัวแต่ป่วยหนัก อาจต้องเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้พึ่งพา ทำให้เกิดความรู้สึกสูญเสียอำนาจและความเป็นอิสระ หรือคนที่มีภาวะซึมเศร้า อาจรู้สึกว่าร่างกายหนักหน่วง เคลื่อนไหวช้าลง หรือไม่มีแรงแม้กระทั่งทำกิจกรรมง่ายๆ สิ่งเหล่านี้เปลี่ยนแปลงวิธีที่พวกเขาปฏิสัมพันธ์กับสิ่งรอบตัว เช่น การหลีกเลี่ยงสังคมหรือหยุดทำกิจกรรมที่เคยชอบ เป็นต้น หรือการรับรู้พื้นที่และสภาพแวดล้อม เช่น คนที่เป็นโรคเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว เช่น พาร์กินสัน อาจมองสภาพแวดล้อมเดิมแตกต่างไป เช่น บ้านที่เคยเป็นพื้นที่ปลอดภัย อาจกลายเป็นอุปสรรค เต็มไปด้วยพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการล้ม 3.การเปลี่ยนแปลงในการดำเนินชีวิตและตัวตน ผู้ป่วยเรื้อรังอาจต้องเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวัน เช่น คนที่เป็นโรคเบาหวานต้องควบคุมอาหารอย่างเข้มงวด ทำให้กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาหาร เช่น การเข้าสังคมหรือการรับประทานอาหารนอกบ้าน กลายเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงมากขึ้น หรือบางคนที่เคยแข็งแรงแต่หลังจากติดโควิดแล้วพบว่ามีอาการเหนื่อยง่าย แม้แต่การเดินขึ้นบันไดก็กลายเป็นเรื่องยาก สิ่งนี้เปลี่ยนวิธีที่พวกเขามองร่างกายของตัวเอง และทำให้ต้องวางแผนการใช้พลังงานในชีวิตประจำวันใหม่ ดังนั้นเราจะพบว่าความเจ็บป่วยไม่ใช่แค่เรื่องทางกายภาพ แต่ส่งผลกระทบต่อวิธีที่เรารับรู้ร่างกายและมีปฏิสัมพันธ์กับโลกอย่างลึกซึ้ง การเปลี่ยนแปลงนี้สามารถมีได้หลายมิติ ตั้งแต่การรับรู้ขอบเขตร่างกายใหม่ การต้องพึ่งพาผู้อื่น ไปจนถึงการเปลี่ยนวิถีชีวิตและความสัมพันธ์ในสังคม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...