ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

กายวิภาพ ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมบนเรือนร่างมนุษย์ โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

หนังสือ Anatomies: A Cultural History of the Human Body (2013 ) เขียนโดย Hugh Aldersey-Williams ถือเป็นงานที่สำรวจร่างกายมนุษย์จากมุมมองทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และศิลปะ แทนที่จะมองร่างกายในฐานะโครงสร้างทางชีววิทยาเพียงอย่างเดียว ผู้เขียนพยายามแสดงให้เห็นว่าร่างกายเป็นทั้งวัตถุทางกายภาพและสิ่งที่ถูกให้ความหมายผ่านบริบททางสังคม โดยAldersey-Williams ตั้งคำถามกับความเข้าใจของมนุษย์เกี่ยวกับร่างกาย ตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงปัจจุบัน เช่น มนุษย์เรียนรู้เกี่ยวกับร่างกายของตนเองผ่านวิทยาศาสตร์ ศิลปะ และวรรณกรรมอย่างไรสัญลักษณ์และความหมายของอวัยวะต่าง ๆ ในแต่ละยุคสมัยเป็นอย่างไร และเทคโนโลยีและการแพทย์มีผลต่อการรับรู้ร่างกายของเราอย่างไร Aldersey-Williams เน้นย้ำว่า ร่างกายมนุษย์เป็นมากกว่าโครงสร้างทางกายวิภาค แต่เป็นพื้นที่ของความหมายทางสังคม วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ ผู้เขียนเชื่อมโยงแนวคิดด้านศิลปะ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน ทำให้หนังสือเล่มนี้เป็นงานที่ให้มุมมองแบบองค์รวมต่อร่างกายมนุษย์ นอกจากแง่มุมทางชีววิทยาแล้ว ผู้เขียนยังศึกษาว่าผู้คนเข้าใจและให้ความหมายกับร่างกายอย่างไรตลอดประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นผ่านศิลปะ วรรณกรรม วิทยาศาสตร์ การแพทย์ และเทคโนโลยี Hugh Aldersey-Williams ไม่ได้นำเสนอร่างกายในฐานะโครงสร้างทางกายวิภาคเพียงอย่างเดียว แต่ยังชี้ให้เห็นว่าร่างกายเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปตามวัฒนธรรมและยุคสมัย ผู้เขียนนำผู้อ่านไปสำรวจว่าในอดีตผู้คนรับรู้เกี่ยวกับอวัยวะแต่ละส่วนอย่างไร ความหมายของมันถูกเปลี่ยนแปลงไปในบริบททางศาสนา ศิลปะ และเทคโนโลยีได้อย่างไร อาทิเช่น ประเด็นร่างกายกับศิลปะ โดย Aldersey-Williams วิเคราะห์ภาพวาด Vitruvian Man ของ Leonardo da Vinci ซึ่งแสดงถึงความพยายามทำความเข้าใจสัดส่วนของร่างกายมนุษย์จากทั้งมุมมองทางศิลปะและวิทยาศาสตร์ ในยุคเรอเนซองส์ ศิลปินและนักกายวิภาคศาสตร์ร่วมกันศึกษาศพมนุษย์เพื่อทำให้ภาพวาดแม่นยำขึ้นโดยผู้เขียนกล่าวถึงภาพวาดและประติมากรรมของร่างกายมนุษย์ เช่น งานของ Leonardo da Vinci ที่ศึกษากายวิภาคผ่านการร่างภาพ ซึ่งไม่เพียงแค่เป็นงานศิลปะ แต่ยังเป็นการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ด้วย ประเด็นอวัยวะร่างกายและสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมเช่น กรณีสมอง vs หัวใจในการต่อสู้เชิงวัฒนธรรม ในยุคกรีกโบราณ นักปรัชญาอย่างอริสโตเติลเชื่อว่าหัวใจเป็นที่อยู่ของจิตวิญญาณ ต่อมาในยุค Enlightenment การศึกษากายวิภาคแสดงให้เห็นว่าสมองคือศูนย์กลางของการคิด ทำให้แนวคิดนี้เปลี่ยนไป ดังนั้น ความหมายของหัวใจในยุคกลาง ซึ่งหัวใจถูกมองว่าเป็นศูนย์กลางของอารมณ์และจิตวิญญาณ ขณะที่ปัจจุบันเรามองหัวใจในเชิงชีววิทยาเป็นเครื่องสูบฉีดเลือด หรือสมอง:ในอดีตมีการถกเถียงว่าสมองหรือหัวใจเป็นศูนย์กลางของสติปัญญา ปัจจุบันสมองถูกเชื่อมโยงกับแนวคิดเรื่องปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมทั้งการยกตัวอย่าง สัญลักษณ์ของอวัยวะในวัฒนธรรมต่าง ๆ อาทิ ดวงตาในวัฒนธรรมอียิปต์ ดวงตาของเทพฮอรัส (Eye of Horus) เป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องและพลังเหนือธรรมชาติ หรือกระดูกที่บางสังคมวัฒนธรรมมองว่า กระดูกมีความหมายในพิธีกรรมความตาย ในบางวัฒนธรรมมีการเก็บกระดูกเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น ประเด็นการแพทย์และเทคโนโลยี โดย Aldersey-Williams พูดถึงการเปลี่ยนแปลงของการแพทย์ ตั้งแต่การผ่าตัดในยุคแรกเริ่ม ไปจนถึงการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การปลูกถ่ายอวัยวะและอวัยวะเทียม ซึ่งทำให้ร่างกายกลายเป็น “ไซบอร์ก” มากขึ้น โดยการปลูกถ่ายหัวใจครั้งแรกโดย Dr. Christiaan Barnard ในปี 1967 ทำให้เกิดคำถามทางจริยธรรมเกี่ยวกับ “ตัวตน” และ “ชีวิต” ปัจจุบัน ร่างกายสามารถถูกดัดแปลงได้ผ่านเทคโนโลยี เช่น แขนขาเทียม หุ่นยนต์ช่วยเดิน หรือแม้แต่สมองที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ การตั้งคำถามอนาคตของร่างกายมนุษย์ โดยผู้เขียนตั้งคำถามว่า ในอนาคตมนุษย์จะกลายเป็น “post-human” หรือไม่? เมื่อร่างกายของเราถูกผสมผสานกับเทคโนโลยีมากขึ้น แนวคิดสำคัญที่น่าสนใจในหนังสือเล่มนี้ ผมสรุปเป็น 4 ประเด็น 1. ร่างกายไม่ใช่เพียงชีววิทยา แต่เป็นสิ่งที่ถูกให้ความหมายทางวัฒนธรรม ในแต่ละยุคสมัยตีความร่างกายแตกต่างกัน เช่น ในยุคกลาง ร่างกายถูกมองผ่านแนวคิดทางศาสนา ขณะที่ยุคปัจจุบันเรามองผ่านมุมของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดังข้อความในหนังสือที่ Hugh Aldersey-Williams เน้นว่า We do not just have bodies, we are bodies.”(เราไม่ได้แค่มีร่างกาย แต่เราคือร่างกาย) โดยข้อความนี้เน้นย้ำว่าร่างกายเป็นมากกว่าสิ่งที่เราครอบครอง มันเป็นตัวตนของเราเอง เป็นสิ่งที่กำหนดว่าเราเป็นใคร และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดประสบการณ์ชีวิตของเรา ในแง่ปรัชญาและวิทยาศาสตร์ ร่างกายไม่สามารถแยกออกจากจิตใจและอารมณ์ได้อย่างชัดเจน 2. อวัยวะต่าง ๆ มีความหมายที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ดังเช่น หัวใจเคยถูกมองว่าเป็นที่อยู่ของจิตวิญญาณ ก่อนที่สมองจะกลายเป็นศูนย์กลางของความคิด หรือดวงตาเคยถูกมองว่าเป็นหน้าต่างของจิตวิญญาณ แต่ปัจจุบันเป็นเพียงอวัยวะรับแสงที่สามารถถูกแทนที่ด้วยเลนส์เทียม เป็นต้น ดังที่ Hugh Aldersey-Williams บอกว่า “The body is not just an object of medical study, but a canvas for cultural interpretation.”(ร่างกายไม่ได้เป็นเพียงวัตถุในการศึกษาทางการแพทย์ แต่เป็นผืนผ้าใบของการตีความทางวัฒนธรรม) หมายความว่าร่างกายไม่ได้ถูกกำหนดเพียงจากชีววิทยาเท่านั้น แต่วัฒนธรรม ศาสนา ศิลปะ และความเชื่อมีส่วนสร้างความหมายให้กับร่างกาย ตัวอย่างเช่น การมองว่า “หัวใจ” เป็นศูนย์กลางของความรัก และ “สมอง” เป็นศูนย์กลางของปัญญา เป็นแนวคิดที่ถูกสร้างขึ้นโดยวัฒนธรรมมากกว่าข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ 3. ร่างกายถูกเปลี่ยนแปลงและควบคุมผ่านเทคโนโลยี ดังเช่นการศัลยกรรม การปลูกถ่ายอวัยวะ และเทคโนโลยีไซบอร์ก กำลังเปลี่ยนความหมายของ “ร่างกายมนุษย์” ให้กลายเป็นสิ่งที่ปรับแต่งได้เสมอ ดังที่ Hugh Aldersey-William บอกว่าง “The human body is a palimpsest, constantly rewritten by science, medicine, and culture.”( ร่างกายมนุษย์เป็นเหมือนกระดาษที่ถูกเขียนทับอยู่เสมอโดยวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และวัฒนธรรม) ในประวัติศาสตร์ มุมมองต่อร่างกายเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เช่น ในยุคกลางร่างกายถูกมองว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ควรถูกผ่าตัด แต่ในยุคปัจจุบัน เรามองร่างกายในเชิงกลไกที่สามารถซ่อมแซมและดัดแปลงได้ ดังเช่น เทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น อวัยวะเทียมและการดัดแปลงพันธุกรรม กำลังเปลี่ยนความหมายของ “มนุษย์” ไปอย่างต่อเนื่อง 4. ศิลปะและวิทยาศาสตร์ทำงานร่วมกันเพื่อทำความเข้าใจร่างกาย เริ่มตั้งแต่ภาพวาดกายวิภาคของ Leonardo da Vinci จนถึงโมเดลร่างกายในปัจจุบัน วิทยาศาสตร์และศิลปะมีบทบาทร่วมกันในการทำให้เราตระหนักถึงร่างกายของตนเอง สิ่งที่ Hugh Aldersey-William ตั้งคำถามอย่างท้าทายคือ “We have always sought to understand the body, but never fully succeeded.“ (เราพยายามทำความเข้าใจร่างกายมาโดยตลอด แต่ไม่เคยเข้าใจมันอย่างสมบูรณ์) ตั้งแต่กรีกโบราณจนถึงปัจจุบัน มนุษย์พยายามทำความเข้าใจร่างกายผ่านกายวิภาค ศิลปะ และการแพทย์ แต่ก็ยังมีความลึกลับเกี่ยวกับร่างกายที่เราไม่สามารถไขปริศนาได้ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น แม้ว่าจะมีการศึกษาสมองอย่างกว้างขวาง แต่เรายังไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมดว่าสติและความรู้สึกตัวเกิดขึ้นได้อย่างไร Hugh Aldersey-William บอกว่า “The boundaries of the human body are increasingly blurred by technology.” (ขอบเขตของร่างกายมนุษย์กำลังถูกทำให้เลือนรางลงด้วยเทคโนโลยี) ในอดีต ร่างกายมีขีดจำกัดที่ชัดเจน แต่ปัจจุบัน เทคโนโลยีเช่น แขนขาเทียม หุ่นยนต์ช่วยเดิน และการดัดแปลงพันธุกรรม ทำให้ขอบเขตระหว่าง “ธรรมชาติ” และ “เทียม” ไม่ชัดเจนอีกต่อไป ดังเช่น การเชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์หรือการใช้เซ็นเซอร์ชีวภาพทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า “ความเป็นมนุษย์” Hugh Aldersey-William บอกว่า “In every age, we have viewed the body through the lens of our dominant beliefs.” (ในทุกยุคสมัย เรามองร่างกายผ่านกรอบความเชื่อที่ครอบงำเราในช่วงเวลานั้น) ดังเช่น ในยุคกลาง ศาสนาคริสต์มองร่างกายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในยุคเรอเนซองส์ ศิลปะและวิทยาศาสตร์เริ่มเปิดเผยความจริงทางกายวิภาค และในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีและชีววิทยาศาสตร์ทำให้เรามองร่างกายเป็นสิ่งที่สามารถแก้ไขและพัฒนาได้ Hugh Aldersey-William บอกว่า “The body is a paradox: fragile yet resilient, personal yet universal.” (ร่างกายเป็นสิ่งที่เต็มไปด้วยความย้อนแย้ง แม้ว่าจะเปราะบางแต่ก็แข็งแกร่ง แม้จะเป็นของส่วนตัวแต่ก็เป็นของส่วนรวม ร่างกายสามารถบาดเจ็บและเจ็บป่วยได้ง่าย แต่ในขณะเดียวกันก็มีศักยภาพในการรักษาตัวเอง ดังนั้น ร่างกายของเราเป็นของเราเอง แต่ก็ถูกสังคมกำหนดมาตรฐาน เช่น อุดมคติของความงาม สุขภาพ และเพศสภาพ เป็นต้น โดยสรุป หนังสือ Anatomies ไม่เพียงแต่วิเคราะห์ร่างกายในเชิงกายวิภาค แต่ยังสำรวจว่าเรารับรู้และตีความร่างกายในเชิงวัฒนธรรมอย่างไร Hugh Aldersey-Williams ชี้ให้เห็นว่า ร่างกายของเรามีความหมายมากกว่าที่เราคิด มันเป็นทั้งสิ่งที่ถูกหล่อหลอมจากความเชื่อทางศาสนา ศิลปะ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี และมันยังคงเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ร่างกายจึงอยู่ในฐานะวัตถุทางวัฒนธรรมที่ถูกตีความและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ร่างกายจึงมีความหมายมากกว่าที่คิด ไม่ใช่เพียงโครงสร้างทางกายวิภาค แต่เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความเชื่อ ค่านิยม และอนาคตของมนุษยชาติด้วย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...