ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

The Dawn of Everything: A New History of Humanity : การท้าทายและเปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับมนุษยชาติ ของ David Wengrow & David Graeber

เริ่มต้นจากคำถามที่ว่า แนวคิดวิวัฒนาการ การจัดลำดับชั้นการแบ่งยุคจากล่าสัตว์ไปสู่เกษตรกรรมสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสังคมแบบแาณาจักร หรือรัฐ อย่างเป็นสากลหรือไม่ ผมคิดถึงหนังสือเรื่อง The Dawn of Everything: A New History of Humanity เป็นหนังสือสำคัญเขียนโดย David Graeber นักมานุษยวิทยา และ David Wengrow ซึ่งเป็นนักโบราณคดี ซึ่งตีพิมพ์ในปี 2021 หนังสือเล่มนี้ท้าทายแนวคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติและพยายามนำเสนอการมองใหม่เกี่ยวกับการพัฒนาและวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์ สาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้ที่ผมว่าน่าสนใจสำหรับพวกเราชาวมานุษยวิทยาก็คือ 1. การท้าทายแนวคิดวิวัฒนาการเชิงเส้นตรง ฃของสังคมมนุษย์ หนังสือเล่มนี้ท้าทายแนวคิดที่แพร่หลายว่าสังคมมนุษย์พัฒนาในรูปแบบเชิงเส้นตรง จากการเป็นชุมชนเล็กๆ ที่เท่าเทียม ไปจนถึงการสร้างรัฐที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ โดยมีขั้นตอนที่ชัดเจนตั้งแต่สังคมนักล่าสัตว์-เก็บของป่า, เกษตรกรรม, สังคมเมือง, และรัฐแบบปกครอง ทั้ง David Graeber และ David Wengrow เสนอว่า มนุษย์มีความหลากหลายในการจัดระเบียบสังคมมาแต่ต้น และไม่ได้จำกัดอยู่ที่เส้นทางเดียวของการพัฒนาที่นำไปสู่รัฐแบบรวมศูนย์และระบบอำนาจแบบเผด็จการ 2. แนวคิดเกี่ยวกับความหลากหลายของสังคมโบราณ Graeber และ Wengrow เน้นว่ามีหลักฐานมากมายที่แสดงให้เห็นว่าสังคมโบราณมีวิธีการจัดระเบียบและปกครองตัวเองที่หลากหลาย ไม่ใช่แค่การนำไปสู่การปกครองแบบรวมศูนย์ สังคมโบราณบางแห่งมีความซับซ้อนทางสังคมสูง แต่ไม่จำเป็นต้องมีลำดับขั้นสูงสุด หรือแม้แต่รัฐแบบรวบอำนาจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยถูกกล่าวถึงในประวัติศาสตร์ดั้งเดิม 3. แนวคิดเรื่องเสรีภาพและการปฏิรูปทางสังคม หนังสือยังกล่าวถึงแนวคิดเกี่ยวกับเสรีภาพสามประการของ Graeber และ Wengrow ซึ่งเสนอว่าเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการทำความเข้าใจวิธีที่สังคมมนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเอง ประกอบด้วย - เสรีภาพในการเคลื่อนย้าย: เสรีภาพในการเคลื่อนย้ายจากชุมชนหนึ่งไปอีกชุมชนหนึ่ง ซึ่งในอดีตอาจจะเป็นเรื่องปกติ - เสรีภาพในการขัดขืน: เสรีภาพในการท้าทายอำนาจหรือปฏิเสธการยอมรับอำนาจของบุคคลหรือกลุ่ม - เสรีภาพในการจินตนาการถึงสังคมใหม่: มนุษย์สามารถปรับเปลี่ยนและออกแบบสังคมของตัวเองได้ตามเงื่อนไขที่เปลี่ยนแปลง ดังนั้น พวกเขาเชื่อว่า มนุษย์มีความสามารถในการเลือกวิธีการปกครองตนเอง โดย Graeber และ Wengrow เน้นว่า มนุษย์ไม่ได้ถูกกำหนดให้ต้องปฏิบัติตามโครงสร้างทางสังคมแบบใดแบบหนึ่ง แต่พวกเขามีทางเลือกในการทดลองและเลือกวิธีการปกครองที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในสังคมของตนเอง 4. แนวคิดว่าด้วยการปฏิเสธแนวคิดดั้งเดิมเกี่ยวกัการปฏิวัติเกษตรกรรม Graeber และ Wengro ยังท้าทายแนวคิดที่ว่าการปฏิวัติเกษตรกรรมเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนาของรัฐและสังคมที่มีลำดับชั้นสูงขึ้น Graeber และ Wengrow ชี้ว่า มีหลายสังคมที่พัฒนาเกษตรกรรมแต่ไม่ได้พัฒนารัฐหรือโครงสร้างลำดับชั้นตามมา และยังมีสังคมที่ไม่ได้ทำการเกษตรแต่ก็สามารถสร้างโครงสร้างทางสังคมที่ซับซ้อนได้ ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงไม่ได้จำกัดอยู่แค่การปฏิวัติ" ทางเศรษฐกิจ Graeber และ Wengro เสนอว่า การเปลี่ยนแปลงในสังคมไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่จากปัจจัยทางเศรษฐกิจ เช่น การปฏิวัติเกษตรกรรม แต่สามารถเกิดจากการทดลองทางสังคมและการปรับโครงสร้างทางอำนาจในแบบที่แตกต่างกันไป ตัวอย่างเชิงรูปธรรมของหนังสือเล่มนี้ คือการยกตัวอย่างสังคมโบราณหลายแห่งที่ไม่ได้เป็นไปตามแนวทางการพัฒนาแบบดั้งเดิม เช่น สังคมของชาว Iroquois ในอเมริกาเหนือ ที่มีโครงสร้างทางการเมืองที่ซับซ้อนและความเสมอภาคทางเพศที่สูง นอกจากนี้ ยังยกตัวอย่างการปกครองในอาณาจักรอียิปต์และเมโสโปเตเมีย ที่มีความหลากหลายมากกว่าที่มักจะถูกนำเสนอในประวัติศาสตร์กระแสหลัก ตัวอย่างต่างๆที่น่าสนใจอาทิเช่น 1. ชุมชน Göbekli Tepe (ตุรกีในปัจจุบัน) Göbekli Tepe เป็นแหล่งโบราณคดีที่มีอายุมากกว่า 11,000 ปี ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมและศิลปะที่ซับซ้อนก่อนที่มนุษย์จะเข้าสู่ยุคเกษตรกรรม โดย Graeber และ Wengrow ใช้ตัวอย่างนี้เพื่อชี้ให้เห็นว่ามนุษย์สามารถสร้างสังคมที่ซับซ้อนและมีพิธีกรรมเชิงศาสนาก่อนที่การเกษตรจะเข้ามามีบทบาท นี่แสดงให้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องมีการปฏิวัติเกษตรกรรมเพื่อสร้างชุมชนขนาดใหญ่และซับซ้อน
2. ชาว Tlaxcalteca (ในเม็กซิโกปัจจุบัน) ชาว Tlaxcalteca เป็นกลุ่มชนพื้นเมืองในเม็กซิโกที่อาศัยอยู่ในสังคมที่ไม่มีระบบลำดับชั้นแบบรัฐรวมศูนย์ แต่ก็สามารถปกครองสังคมของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยชุมชนนี้ถูกยกตัวอย่างเพื่อแสดงให้เห็นว่าสังคมที่ไม่มีการรวมศูนย์อำนาจสามารถคงอยู่ได้และไม่จำเป็นต้องนำไปสู่การจัดระเบียบทางสังคมแบบรัฐรวมศูนย์และอำนาจเบ็ดเสร็จ
3. เมือง Cahokia (ในสหรัฐอเมริกาปัจจุบัน) Cahokia เป็นเมืองโบราณที่ตั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำมิสซิสซิปปีซึ่งมีอายุประมาณ 1,000 ปี ในเมืองนี้พบหลักฐานของการก่อสร้างโครงสร้างที่ซับซ้อนและมีการรวมศูนย์ทางการเมือง แต่ในขณะเดียวกันก็มีการละทิ้งเมืองอย่างรวดเร็ว ซึ่งยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดจากอะไร Graeber และ Wengrow นำเมืองนี้มาอธิบายเพื่อท้าทายแนวคิดที่ว่าเมื่อมนุษย์สร้างรัฐขึ้นมาแล้ว สังคมจะต้องวิวัฒนาการไปในทางที่เป็นไปตามลำดับแบบคงที่ พวกเขาแสดงให้เห็นว่า แม้จะมีการรวมศูนย์ทางการเมือง แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมที่รวดเร็ว
4. ชาว Kwakiutl (ชนเผ่าพื้นเมืองในแถบชายฝั่งตะวันตกของแคนาดา) ชาว Kwakiutl มีระบบเศรษฐกิจที่เรียกว่า Potlatch ซึ่งเป็นพิธีการที่ผู้นำชุมชนจัดงานเพื่อแจกจ่ายทรัพย์สินและของขวัญเพื่อแสดงความมั่งคั่งและอำนาจ โดยการแจกจ่ายทรัพย์สินในพิธีนี้ขัดกับแนวคิดดั้งเดิมที่ว่าระบบเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้วต้องเน้นไปที่การสะสมความมั่งคั่งส่วนตัว นี่แสดงให้เห็นถึงทางเลือกที่หลากหลายในการจัดการทรัพยากรและอำนาจในสังคม
ตัวอย่างที่ยกมาสามารภเชื่อมโยงแนวคิดที่สำคัญได้ดังนี้ 1. การปฏิเสธเส้นทางวิวัฒนาการเชิงเส้นของสังคม Graeber และ Wengrow ปฏิเสธมุมมองเชิงเส้นของการวิวัฒนาการทางสังคม ที่เชื่อว่าสังคมมนุษย์ต้องพัฒนาไปในลำดับขั้นตอนเดียวกันจากสังคมนักล่าสัตว์-เก็บของป่า ไปจนถึงการเกษตร และต่อไปเป็นสังคมเมืองและรัฐ Graeber และ Wengrow ชี้ให้เห็นว่าสังคมหลายแห่งสามารถมีลักษณะผสมผสาน ไม่จำเป็นต้องเดินตามลำดับขั้นตอนที่เป็นเส้นตรง ตัวอย่างในบางสังคม เช่น ชาว Iroquois หรือชาว Kwakiutl อาจมีเศรษฐกิจที่ซับซ้อน แต่ไม่จำเป็นต้องมีรัฐรวมศูนย์ หรือการมีชุมชนที่ซับซ้อนไม่จำเป็นต้องนำไปสู่การก่อตั้งรัฐตามที่แบบแผนทางประวัติศาสตร์มักกล่าวถึง 2. มนุษย์มีความสามารถในการทดลองทางสังคม หนึ่งในแนวคิดหลักที่ Graeber และ Wengrow นำเสนอคือ มนุษย์ในอดีตไม่ได้ถูกกำหนดให้ต้องพัฒนาไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง แต่พวกเขาได้ทดลองสร้างสังคมที่หลากหลายตามบริบทของตนเองและปรับเปลี่ยนวิธีการปกครองตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ ตัวอย่างสังคมโบราณบางแห่งอาจเลือกที่จะไม่มีผู้นำถาวร เช่น การสลับผู้นำตามฤดูกาลหรือกิจกรรมที่กำลังทำ (เช่น ในการล่าสัตว์หรือการปลูกพืช) ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามนุษย์มีความยืดหยุ่นในการจัดระเบียบทางสังคม 3. การตั้งคำถามต่อแนวคิดเรื่องความเหลื่อมล้ำ หนึ่งในประเด็นสำคัญคือ การที่ Graeber และ Wengrow ตั้งคำถามกับความคิดว่าความเหลื่อมล้ำทางสังคมเป็นผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของการพัฒนาทางเศรษฐกิจ Graeber และ Wengrow เสนอว่าความเหลื่อมล้ำเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นผ่านกระบวนการทางการเมืองมากกว่าที่จะเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีหรือเศรษฐกิจโดยตรง ตัวอย่างชาว Kwakiutl สามารถสร้างระบบการแจกจ่ายทรัพยากรแบบ Potlatch ซึ่งเน้นการแบ่งปันทรัพยากรมากกว่าการสะสม นี่แสดงให้เห็นว่า ความเหลื่อมล้ำไม่ใช่ผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากการพัฒนาทางเศรษฐกิจ แต่เป็นการเลือกของสังคมในการจัดการทรัพยากร หนังสือ The Dawn of Everything จึงเป็นหนังสือที่เสนอให้เรามองประวัติศาสตร์มนุษย์ใหม่ โดยมุ่งเน้นที่ความหลากหลายของสังคมมนุษย์ในอดีต และเสนอว่าเราไม่ควรมองการพัฒนาในรูปแบบเชิงเส้นตรง และส่งเสริมให้เราตั้งคำถามต่อแนวคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับการพัฒนาของสังคม และเปิดโอกาสให้พิจารณาวิธีการใหม่ๆ ในการสร้างสังคมที่เสรีและยุติธรรม รวมทั้งท้าทายมุมมองดั้งเดิมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์มนุษยชาติ โดยชี้ให้เห็นว่า มนุษย์มีความสามารถในการสร้างสังคมที่หลากหลายและปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคมอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังเน้นความสำคัญของการตั้งคำถามต่อแนวคิดเกี่ยวกับการวิวัฒนาการทางสังคมที่เชิงเส้นตรงในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
ชาว Iroquois

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...