ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

โครงสร้างนิยม (Structuralism) ของ Claude Lévi-Strauss โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

Claude Lévi-Strauss เป็นนักมานุษยวิทยาชาวฝรั่งเศสที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนา **มานุษยวิทยาเชิงโครงสร้าง** (Structural Anthropology) เขาเชื่อว่าวัฒนธรรมมนุษย์ทั้งหมดมีโครงสร้างพื้นฐานที่คล้ายกัน และเราเข้าใจวัฒนธรรมได้ดีที่สุดผ่านการวิเคราะห์โครงสร้างที่อยู่เบื้องหลังความเชื่อและการปฏิบัติทางวัฒนธรรม ในงานของ Lévi-Strauss เขาได้พัฒนาหลายแนวคิดสำคัญและใช้ตัวอย่างเชิงรูปธรรมจากหลายสังคมทั่วโลกเพื่อตอกย้ำแนวคิดเหล่านี้ หนังสือสำคัญของเขาเข่น 1. The Elementary Structures of Kinship (1949) ในงานชิ้นนี้ Lévi-Strauss วิเคราะห์โครงสร้างของระบบเครือญาติ โดยเขาเสนอว่าเครือญาติเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมมนุษย์ และการวิเคราะห์เครือญาติสามารถทำได้ผ่านโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ในสังคมต่าง ๆ เขาเน้นถึงความสัมพันธ์ของการแต่งงานและการแลกเปลี่ยนระหว่างกลุ่มเครือญาติ ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่อยู่ในงาน Lévi-Strauss ยกตัวอย่างจากกลุ่มชนเผ่าหลายแห่งในออสเตรเลียที่มีการแลกเปลี่ยนสตรีในเครือญาติ ซึ่งทำให้การแต่งงานเป็นสิ่งที่สร้างสายสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มสังคม การแลกเปลี่ยนนี้ไม่ใช่แค่การทำให้ครอบครัวสืบต่อไป แต่ยังสร้างความเป็นปึกแผ่นทางสังคม ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานในสังคมที่มีการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน แนวคิดหลักที่ใช้คือ Reciprocity (การแลกเปลี่ยน) Lévi-Strauss เน้นความสำคัญของการแลกเปลี่ยนทางสังคมผ่านการแต่งงานและระบบเครือญาติ เขาเชื่อว่าการแลกเปลี่ยนนี้เป็นโครงสร้างพื้นฐานของสังคมมนุษย์ แนวคิด Binary Oppositions (การตรงกันข้ามสองขั้ว) โดย Lévi-Strauss มองว่าโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมมักจะถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของคู่ตรงกันข้าม เช่น ชาย-หญิง, สะใภ้-พี่สะใภ้ ซึ่งการแลกเปลี่ยนเหล่านี้ช่วยสร้างสมดุลในสังคม
2.หนังสือ Structural Anthropology (1958) ในหนังสือเล่มนี้ Lévi-Strauss อธิบายหลักการสำคัญของมานุษยวิทยาเชิงโครงสร้าง โดยเขาเชื่อว่าวัฒนธรรมทั้งหมดสามารถวิเคราะห์ได้ผ่านโครงสร้างที่อยู่เบื้องหลังการกระทำและความเชื่อทางวัฒนธรรม ตัวอย่างเช่นตำนาน (myth) และ ภาษา (language) มีโครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน เขามองว่าตำนานในสังคมต่าง ๆ มักมีโครงสร้างที่คล้ายคลึงกัน ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจคือ Lévi-Strauss ยกตัวอย่างการวิเคราะห์ตำนานของชนเผ่าในอเมริกาใต้โดยพบว่าแม้เนื้อเรื่องของตำนานจะแตกต่างกัน แต่โครงสร้างของตำนานเหล่านี้มีลักษณะเดียวกัน เช่น การแบ่งเป็นคู่ตรงข้าม เช่น ชีวิต-ความตาย, ธรรมชาติ-วัฒนธรรม เป็นต้น สิ่งนี้ทำให้เขาเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนคิดในรูปแบบโครงสร้างคล้ายกัน แนวคิดที่เขาใช้ เช่น Myth and Structure (ตำนานและโครงสร้าง)ซึ่ง Lévi-Strauss วิเคราะห์ตำนานในสังคมต่าง ๆ และพบว่าโครงสร้างของตำนานเหล่านี้มักเป็นคู่ตรงข้ามสองขั้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโครงสร้างทางความคิดของมนุษย์เป็นสิ่งที่ใช้ร่วมกันทั่วโลก Universal Structures (โครงสร้างสากล) โดย Lévi-Strauss เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีวิธีคิดที่ใช้โครงสร้างเหมือนกัน และวัฒนธวัฒนธรรมทั้งหมดสามารถอธิบายได้ผ่านการค้นหาโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้
3.หนังสือ The Savage Mind (1962) ในหนังสือThe Savage Mind ของ Lévi-Strauss ได้โต้แย้งกับความคิดดั้งเดิมที่เชื่อว่าสังคมที่ไม่พัฒนา (เช่น ชนเผ่าดั้งเดิม) ใช้วิธีคิดแบบ "ไร้เหตุผล" หรือ "ล้าหลัง" เขาเสนอว่าคนในสังคมดั้งเดิมนั้นมีวิธีคิดที่ซับซ้อนและมีตรรกะ (logic) ที่เหมือนกับสังคมตะวันตก แต่ใช้วิธีการคิดที่แตกต่างในการจัดการกับโลก เช่น การใช้ totemism (การบูชาในลักษณะเป็นตัวแทนสัตว์หรือพืช) ตัวอย่างเชิงรูปธรรม Lévi-Strauss วิเคราะห์ระบบTotemism ในชนเผ่าอเมริกันพื้นเมือง ซึ่งชนเผ่าต่าง ๆ ใช้สัตว์หรือต้นไม้เป็นตัวแทนของกลุ่มเครือญาติหรือตระกูล สัตว์เหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่สัญลักษณ์ทางศาสนา แต่ยังเป็นเครื่องมือในการจัดระเบียบสังคม การบูชาสัตว์หรือต้นไม้ช่วยให้คนในเผ่าสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเองและโลกทางธรรมชาติที่พวกเขาอยู่ แนวคิดที่ใช้ เช่นTotemism โดย Lévi-Strauss วิเคราะห์ว่า Totemism ไม่ได้เป็นเพียงความเชื่อทางศาสนา แต่เป็นระบบที่ใช้ในการจัดระเบียบสังคมและการรับรู้โลก ซึ่งแสดงถึงโครงสร้างการคิดที่ซับซ้อน แนวคิดเรื่อง Bricolage (การสร้างสิ่งของจากสิ่งที่มีอยู่) เขาอธิบายว่าคนในสังคมดั้งเดิมใช้กระบวนการสร้างสิ่งต่าง ๆ โดยการรวบรวมสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติมาผสมผสานกันเพื่อสร้างความหมาย
4. หนังสือ Mythologiques Series (1964-1971) ซีรีส์ใน Mythologiques ถือ เป็นงานวิเคราะห์ตำนานจากหลายสังคมทั่วโลก โดยเฉพาะตำนานของชนเผ่าพื้นเมืองในอเมริกาใต้ Lévi-Strauss ใช้แนวคิดเรื่องโครงสร้างสากลของตำนาน (Universal Structures of Myth) เพื่อแสดงให้เห็นว่าตำนานในสังคมต่าง ๆ มีโครงสร้างที่คล้ายคลึงกัน โดยสามารถวิเคราะห์ได้ผ่านการแบ่งออกเป็นส่วน ๆ และหาคู่ตรงข้ามสองขั้วที่ซ่อนอยู่ในเรื่องราว ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจ คือ Lévi-Strauss วิเคราะห์ตำนานเรื่องการสร้างโลกในชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกาใต้ เขาพบว่าตำนานเหล่านี้มักจะเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่างธรรมชาติและวัฒนธรรม การกินเนื้อดิบกับการปรุงเนื้อสัตว์ หรือความเป็นป่ากับความเป็นเมือง สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงความพยายามของมนุษย์ในการทำความเข้าใจและจัดการกับโลกที่ซับซ้อน แนวคิดที่เขาใช้ เช่น Binary Oppositions เป็นการวิเคราะห์ตำนานในลักษณะคู่ตรงข้าม เช่น ดิบ-สุก, ธรรมชาติ-วัฒนธรรม เป็นแนวทางที่ Lévi-Strauss ใช้ในการค้นหาโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ในตำนานทั่วโลก
5. หนังสือ The Raw and the Cooked" (1964) ในหนังสือ The Raw and the Cooked Lévi-Strauss ใช้การเปรียบเทียบอาหารดิบกับอาหารสุก** เป็นสัญลักษณ์เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติและวัฒนธรรม เขามองว่าการทำอาหาร (จากดิบไปสุก) เป็นกระบวนการเปลี่ยนธรรมชาติให้กลายเป็นวัฒนธรรม และเป็นวิธีที่มนุษย์ใช้ในการปรับตัวเข้ากับธรรมชาติ ตัวอย่างรูปธรรมที่น่าสนใจ Lévi-Strauss วิเคราะห์ วิธีการปรุงอาหารในวัฒนธรรมต่าง ๆ เช่น การย่าง การต้ม หรือการหมัก เขาชี้ให้เห็นว่าการปรุงอาหารแบบต่าง ๆ มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงจากสิ่งธรรมชาติสู่สิ่งที่มีความหมายในวัฒนธรรม ตัวอย่างเช่น ในบางสังคม การย่างอาหารอาจเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ ในขณะที่การต้มเป็นสัญลักษณ์ของการจัดการกับธรรมชาติอย่างเต็มที่ วิธีการตีความ Lévi-Strauss ใช้แนวคิด คู่ตรงข้ามสองขั้ว (binary oppositions) ดิบ-สุก ในการอธิบายว่ามนุษย์ทั่วโลกใช้โครงสร้างทางความคิดเดียวกันในการเข้าใจและจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ การแปรสภาพของอาหารเป็นภาพสะท้อนของกระบวนการปรับตัวของมนุษย์ต่อธรรมชาติและการสร้างสังคม
6.หนังสือ Totemism (1962) ในหนังสือ Totemis ของ Lévi-Strauss เขาได้ สำรวจระบบโทเท็มที่ชนเผ่าต่าง ๆ ทั่วโลกใช้ โดยเฉพาะในอเมริกาและออสเตรเลีย ซึ่งมนุษย์เชื่อมโยงกับสัตว์หรือต้นไม้เป็นโทเท็มที่แสดงถึงกลุ่มเครือญาติหรือตระกูล Lévi-Strauss ไม่ได้มองโทเท็มในแง่ศาสนาเท่านั้น แต่เป็นการจัดระเบียบทางสังคมและการทำความเข้าใจโลกผ่านสัญลักษณ์ ตัวอย่างรูปธรรมที่ใช้ Lévi-Strauss ยกตัวอย่างชนเผ่าTsimshianในแคนาดาที่ใช้ โทเท็มเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลและเครือญาติ สัตว์ที่ถูกเลือกให้เป็นโทเท็มไม่ได้มีเพียงความหมายทางจิตวิญญาณ แต่ยังมีหน้าที่ในการแบ่งแยกกลุ่มสังคมและจัดการกับความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลต่าง ๆ เช่น การห้ามแต่งงานระหว่างกลุ่มโทเท็มเดียวกัน วิธีการตีความในงานชิ้นนี้ Lévi-Strauss ตีความว่าโทเท็มเป็นระบบที่สะท้อนถึง **โครงสร้างทางสังคม** ที่ซับซ้อนของสังคมดั้งเดิม แม้สัตว์หรือต้นไม้ที่เป็นโทเท็มอาจดูเหมือนมีบทบาททางศาสนา แต่แท้จริงแล้วโทเท็มเป็นเครื่องมือในการจัดระเบียบและควบคุมสังคม
7.หนังสือTristes Tropiques (1955) Tristes Tropiques เป็นหนังสือที่บรรยายถึงการเดินทางของ Lévi-Strauss ไปยังอเมริกาใต้เพื่อศึกษาชนเผ่าพื้นเมือง เขาได้สำรวจวัฒนธรรมและสังคมดั้งเดิม พร้อมทั้งสะท้อนความคิดเกี่ยวกับกระบวนการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมที่ได้รับอิทธิพลจากการล่าอาณานิคม ตัวอย่างรูปธรรมที่ใช้ Lévi-Strauss บรรยายถึงชนเผ่า Nambikwaraซึ่งเขาได้ศึกษาวัฒนธรรมของพวกเขาอย่างลึกซึ้ง เช่น การสื่อสารของชนเผ่านี้ที่ไม่มีภาษาเขียน Lévi-Strauss ใช้การวิเคราะห์เพื่อแสดงให้เห็นว่าแม้ว่าชนเผ่า Nambikwara จะดูเหมือนเป็นสังคมดั้งเดิมที่เรียบง่าย แต่พวกเขามีระบบความสัมพันธ์ทางสังคมที่ซับซ้อน โดยเฉพาะในเรื่องของการจัดการกับทรัพยากรและความขัดแย้งในชุมชน การตีความของ Lévi-Strauss ชี้ให้เห็นว่าวัฒนธรรมดั้งเดิมไม่ได้เป็นสิ่งที่หยุดนิ่งหรือไม่มีการพัฒนา แต่เป็นวัฒนธรรมที่มีโครงสร้างซับซ้อนเช่นเดียวกับสังคมตะวันตก และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการล่าอาณานิคมนั้นทำให้วัฒนธรรมเหล่านี้ต้องปรับตัวอย่างมาก
8. หนังสือ The Origin of Table Manners (1968) ในหนังสือเล่มนี้ Lévi-Strauss สนใจเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหาร ซึ่งเป็นตัวแทนของโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรม เขาแสดงให้เห็นว่าแม้แต่พฤติกรรมที่ดูเหมือนเล็กน้อย เช่น การจัดการอาหาร การนั่งกินข้าว และการแบ่งอาหาร ก็มีความหมายเชิงสัญลักษณ์และโครงสร้างที่ซับซ้อน ตัวอย่างรูปธรรมในงานชิ้นนี้ คือ Lévi-Strauss วิเคราะห์มารยาทการกินในหลายวัฒนธรรม เช่น วิธีการแบ่งอาหารในชนเผ่า Bororo ของบราซิลที่มีการจัดอาหารเป็นหมวดหมู่และแบ่งกันตามลำดับชั้นทางสังคม การแบ่งอาหารสะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มในชุมชน การจัดลำดับความสำคัญของคนในสังคม และการกำหนดบทบาทหน้าที่ทางเพศ วิธีการตีความของ Lévi-Strauss ใช้แนวคิดว่าพฤติกรรมและมารยาทบนโต๊ะอาหารไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องส่วนบุคคล แต่เป็นการแสดงออกถึงโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมของกลุ่มคน ตัวอย่างเช่น การที่ผู้ชายในชนเผ่ามีสิทธิ์ในการรับประทานอาหารก่อน หรือการแบ่งอาหารให้กับหัวหน้ากลุ่มแสดงถึงสถานะทางสังคม
ตัวอย่างงานของ Claude Lévi-Strauss ที่แสดงให้เห็นแนวคิด มานุษยวิทยาเชิงโครงสร้าง (Structural Anthropology) มีอีกหลายชิ้นที่นำเสนอตัวอย่างรูปธรรมเพื่ออธิบาย โครงสร้างสากล และ คู่ตรงข้ามสองขั้ว ที่มีอยู่ในวัฒนธรรมของมนุษย์

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...