Ruth Benedict เป็นหนึ่งในนักมานุษยวิทยาที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 20 เธอมีผลงานที่โดดเด่นเกี่ยวกับวัฒนธรรมและบุคลิกภาพ โดยเฉพาะการนำเสนอแนวคิดที่ว่าบุคลิกภาพและลักษณะทางจิตวิทยาของบุคคลได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมที่พวกเขาเติบโตมา หนังสือสำคัญของเธอที่น่าสนใจได้แก่
1. Patterns of Culture (1934)
หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในงานชิ้นเอกของ Benedict ซึ่งกล่าวถึงการเชื่อมโยงระหว่างบุคลิกภาพและวัฒนธรรม เธออธิบายว่าแต่ละสังคมมี "รูปแบบของวัฒนธรรม" ที่เฉพาะตัวซึ่งกำหนดพฤติกรรมและความคิดของคนในสังคมนั้น ๆ Benedict แบ่งแยกวัฒนธรรมออกเป็นประเภทต่าง ๆ โดยใช้ตัวอย่างจากการศึกษาสังคม Zuni, Dobu และ Kwakiutl
ตัวอย่างเชิงรูปธรรม อาทิเช่น วัฒนธรรม Zuni ในอเมริกาเหนือถูกอธิบายว่าเป็นวัฒนธรรมที่มีความสงบและเห็นแก่ส่วนรวม ทำให้คนในสังคมมีบุคลิกภาพที่สงบเสงี่ยมและมุ่งเน้นความร่วมมือ ในทางกลับกัน วัฒนธรรมของ Dobu ซึ่งเป็นสังคมหมู่เกาะในแปซิฟิกมีความก้าวร้าวและขัดแย้ง ทำให้สมาชิกในสังคมมีบุคลิกที่ก้าวร้าวมากกว่า
ใน Patterns of Culture (1934) แนวคิดหลักที่ใช้คือ Benedict เสนอแนวคิดว่าบุคลิกภาพของบุคคลในสังคมต่างๆ ถูกกำหนดโดยรูปแบบของวัฒนธรรม (Culture Patterns) ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของแต่ละสังคม และวัฒนธรรมเหล่านี้มีความเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ตัวอย่างเช่น
Zuni (ชนพื้นเมืองในอเมริกาเหนือ) ในสังคม Zuni เน้น วัฒนธรรมที่มีความสงบและเน้นความร่วมมือมากกว่าการแข่งขัน Benedict ใช้ Zuni เป็นตัวอย่างของวัฒนธรรมที่มีลักษณะ "Apollonian" ซึ่งหมายถึงการควบคุมตนเองและความสมดุล สมาชิกในสังคมจะปฏิเสธพฤติกรรมที่เกินเลยหรือก้าวร้าว ทำให้บุคลิกของคนในสังคมนี้สงบและมีการร่วมมืออย่างสูง
Kwakiutl (ชนพื้นเมืองในแคนาดา) ในชุมชนของ Kwakiutl เป็นสังคมที่เน้นการแข่งขันและการแสดงออกถึงอำนาจผ่านพิธีกรรมที่โอ่อ่าและหรูหรา เช่น การแสดง Potlatch ซึ่งเป็นพิธีการแจกจ่ายของขวัญจำนวนมากเพื่อแสดงสถานะทางสังคม Benedict ใช้ Kwakiutl เป็นตัวอย่างของวัฒนธรรมที่มีลักษณะ "Dionysian" ซึ่งหมายถึงความสุดโต่งและการแสดงออกอย่างเกินพอดี
Dobu (ชนพื้นเมืองในหมู่เกาะแปซิฟิก)ในชุมชนของ
Dobu เป็นตัวอย่างของสังคมที่มีความหวาดระแวงและเน้นการเอาตัวรอด มีการทำให้ความสัมพันธ์ทางสังคมเต็มไปด้วยการไม่ไว้วางใจและการต่อสู้แย่งชิง ทำให้บุคลิกภาพของคนในสังคมนี้มีลักษณะที่ก้าวร้าวและสงสัยในผู้อื่น
Ruth Benedict ใช้แนวคิดเรื่องวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ (Cultural Relativism) ซึ่งหมายความว่าวัฒนธรรมแต่ละแห่งมีวิธีการจัดการและกำหนดบุคลิกภาพที่แตกต่างกันไป ไม่มีวัฒนธรรมใดที่ดีกว่าหรือแย่กว่าวัฒนธรรมอื่น และบุคลิกภาพของบุคคลถูกกำหนดโดยรูปแบบของวัฒนธรรมที่พวกเขาอาศัยอยู่
2.The Chrysanthemum and the Sword (1946)
Ruth Benedict ศึกษาวัฒนธรรมญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่ง Benedict ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลสหรัฐฯ ให้วิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจแนวคิดและพฤติกรรมของคนญี่ปุ่น ในหนังสือเล่มนี้ เธอได้อธิบายถึงความขัดแย้งทางวัฒนธรรมระหว่าง "ดอกเบญจมาศ" (ความละเอียดอ่อนและความงดงาม) และ "ดาบ" (ความเข้มแข็งและความโหดร้าย) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมญี่ปุ่น
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่Benedict ใช้ เธออธิบายว่าคนญี่ปุ่นมีความรู้สึกเกี่ยวกับ "หน้าที่" และ "ความละอาย" (Giri และ On) ที่สูง ซึ่งแสดงให้เห็นผ่านการทำงานหนัก ความมีระเบียบ และการยอมรับกฎเกณฑ์ทางสังคมอย่างเข้มงวด ตัวอย่างหนึ่งที่เธออธิบายคือการเสียสละของทหารญี่ปุ่นในสงคราม ซึ่งสะท้อนถึงความรู้สึกของหน้าที่ต่อชาติที่มาก่อนความรู้สึกส่วนตัว
ผลงานของ Ruth Benedict ช่วยให้เข้าใจถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม และการเชื่อมโยงระหว่างวัฒนธรรมกับบุคลิกภาพของบุคคล Ruth Benedict ใช้ตัวอย่างเชิงรูปธรรมจากงานวิจัยภาคสนามและการศึกษาวัฒนธรรมต่างๆ เพื่ออธิบายแนวคิดของเธอเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างบุคลิกภาพและวัฒนธรรม นี่คือตัวอย่างจากหนังสือสำคัญสองเล่มของเธอ
ในหนังสือ The Chrysanthemum and the Sword (1946) แนวคิดหลักในหนังสือเล่มนี้เน้นถึงความขัดแย้งระหว่างค่านิยมที่ขัดแย้งกันในสังคมญี่ปุ่น เช่น ความสง่างาม (Chrysanthemum) และความแข็งแกร่ง (Sword) ซึ่งสะท้อนถึงการแสดงออกของบุคลิกภาพในรูปแบบที่ซับซ้อน
ตัวอย่างรูปธรรมจากหนังสือ ความรู้สึกของหน้าที่ (Giri) และความละอาย (On) โดย Benedict อธิบายว่าคนญี่ปุ่นมีความรู้สึกของหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดทางสังคม และการรู้สึกละอายเมื่อไม่สามารถทำตามข้อกำหนดเหล่านั้นได้ ความสัมพันธ์ระหว่างคนญี่ปุ่นถูกควบคุมโดยกฎเกณฑ์เหล่านี้ ทำให้การกระทำของบุคคลมักเน้นการรักษาเกียรติและสถานะทางสังคม
การฆ่าตัวตายของทหาร (Harakiri) โดย Benedict ยกตัวอย่างการฆ่าตัวตายของทหารญี่ปุ่นในช่วงสงคราม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกที่ผูกพันกับหน้าที่และความละอายต่อความพ่ายแพ้ ความกระทำนี้เป็นผลมาจากแรงกดดันทางสังคมที่คาดหวังให้บุคคลแสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อชาติและเกียรติยศ
แนวคิดของ Benedict ใช้แนวคิดเกี่ยวกับ "National Character" เพื่ออธิบายลักษณะเฉพาะของวัฒนธรรมญี่ปุ่น เธอพยายามทำความเข้าใจพฤติกรรมของคนญี่ปุ่นผ่านการวิเคราะห์ระบบคุณค่าและความเชื่อทางสังคม โดยใช้วิธีการวิจัยทางมานุษยวิทยาเพื่อทำความเข้าใจในบริบทของสงคราม
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น