ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

คิดถึงอดีต โหยหาอดีต : สภาวะ Nostalgia โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

Nostalgia (ความคิดถึงอดีต) เป็นแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และความรู้สึกที่บุคคลมีต่ออดีต โดยเป็นการมองย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่น่าจดจำหรือน่าประทับใจ ซึ่งมักจะถูกอุดมคติขึ้นมา ทำให้อดีตนั้นดูดีกว่าที่เป็นจริงในความเป็นปัจจุบัน คำว่า nostalgia มาจากภาษากรีก "nostos" ที่หมายถึงการกลับบ้าน และ "algos" ที่หมายถึงความเจ็บปวด ทำให้ nostalgia หมายถึงความเจ็บปวดที่มาจากความคิดถึงบ้านหรืออดีตที่หายไป แนวคิดหลักเกี่ยวกับ Nostalgia 1. ความคิดถึงอดีตในแง่ของความสุข (Positive Nostalgia) - Nostalgia มักถูกมองว่าเป็นความคิดถึงช่วงเวลาที่ดีในอดีต ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกอิ่มเอมใจหรือเชื่อมโยงกับอดีตในทางบวก ช่วงเวลาที่คิดถึงอาจเป็นช่วงวัยเด็ก ช่วงเวลาแห่งความสำเร็จ หรือช่วงเวลาที่บุคคลรู้สึกมีความสุข อารมณ์เหล่านี้ช่วยเพิ่มพูนความพึงพอใจในชีวิตปัจจุบันและเสริมสร้างความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง 2. ความคิดถึงอดีตที่แฝงความโศกเศร้า (Melancholic Nostalgia) - แม้ว่า nostalgia จะสามารถทำให้ผู้คนรู้สึกดี แต่บางครั้งก็แฝงไปด้วยความเศร้าหรือความรู้สึกสูญเสีย เพราะมันทำให้ผู้คนตระหนักว่าช่วงเวลาเหล่านั้นไม่สามารถหวนกลับมาได้อีกแล้ว อดีตที่ถูกอุดมคติขึ้นอาจทำให้ผู้คนรู้สึกเศร้าเมื่อเปรียบเทียบกับสภาพปัจจุบันที่ไม่สมบูรณ์แบบเท่าเดิม 3. การสร้างอดีตใหม่ในจิตใจ (Idealized Past) - อดีตที่ผู้คนรู้สึก nostalgia อาจไม่ได้สะท้อนความจริงทั้งหมด เนื่องจากความทรงจำมักถูกสร้างและแต่งแต้มใหม่ผ่านการเลือกจำแต่สิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ตรงกับความรู้สึกปัจจุบัน ความทรงจำเหล่านี้ถูกอุดมคติขึ้น ทำให้อดีตที่คิดถึงดูดีกว่าความเป็นจริง 4. Nostalgia และอัตลักษณ์ (Nostalgia and Identity) - Nostalgia มีบทบาทสำคัญในการสร้างและรักษาอัตลักษณ์ของบุคคลและสังคม การคิดถึงอดีตทำให้คนรู้สึกเชื่อมโยงกับกลุ่มหรือสถานการณ์ที่มีความหมายต่อตนเอง ความทรงจำร่วมของกลุ่มคน เช่น การคิดถึงเพลง ภาพยนตร์ หรือวัฒนธรรมในอดีต สามารถเสริมสร้างอัตลักษณ์ทางสังคมและการเชื่อมโยงกับกลุ่มนั้นๆ ได้ 5. Nostalgia ในเชิงสังคมและการเมือง - Nostalgia ยังถูกนำมาใช้ในเชิงสังคมและการเมืองเพื่อสร้างความรู้สึกคิดถึง "ยุคทอง" หรือช่วงเวลาที่สังคมรู้สึกว่ามีเสถียรภาพและความสุขมากกว่าในปัจจุบัน นักการเมืองอาจใช้ nostalgia เพื่อชักชวนให้ผู้คนสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงโดยอ้างถึงอดีตที่ "ดีกว่า" เช่น การรณรงค์ที่เน้นการนำสังคมกลับไปสู่สภาพที่เคยรุ่งเรืองในอดีต ตัวอย่างเชิงรูปธรรม: - Nostalgia ในวัฒนธรรมป๊อป เพลง ภาพยนตร์ และแฟชั่นมักนำเสนอความคิดถึงอดีต เช่น การนำเสื้อผ้าและสไตล์ยุค 80 หรือ 90 กลับมาเป็นที่นิยม หรือการสร้างภาพยนตร์ที่กล่าวถึงช่วงเวลาหนึ่งในอดีต เช่น ซีรีส์ที่มีเนื้อเรื่องในยุค 80 อย่าง *Stranger Things* ซึ่งทำให้คนรู้สึก nostalgia กับความทรงจำเกี่ยวกับยุคนั้น Nostalgia ในการเมือง การรณรงค์ของนักการเมืองที่ใช้ความคิดถึงอดีตที่ผู้คนมองว่าเป็นยุคทอง เช่น คำขวัญ "Make America Great Again" ที่ชักชวนให้ผู้คนคิดถึงช่วงเวลาที่สหรัฐฯ เคยรุ่งเรืองและนำพาผู้คนให้สนับสนุนนโยบายเพื่อนำกลับไปสู่สภาพเช่นนั้น สรุป Nostalgiaเป็นอารมณ์ที่เกี่ยวกับการคิดถึงอดีต ไม่ว่าจะเป็นในเชิงบวกหรือเชิงลบ มันสามารถช่วยเสริมสร้างความรู้สึกของความเป็นตัวเองและความเชื่อมโยงกับสังคม อย่างไรก็ตาม nostalgia ก็สามารถแฝงไปด้วยความโศกเศร้าและการยึดติดกับอดีตที่ไม่สามารถหวนกลับมาได้ ขณะเดียวกัน nostalgia ยังมีผลต่อการสร้างอัตลักษณ์และการเปลี่ยนแปลงในระดับสังคม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...