ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Multispecies Ethnography : เมื่อ สัตว์ป่าและพืชพันธุ์ในป่าคิดได้เช่นเดียวกับมนุษย์ โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

ในสาขาวิชา Anthropology หรือ มานุษยวิทยา แนวคิดใหม่ๆ ที่กำลังได้รับความสนใจและพัฒนาขึ้นมามีหลายด้านอาทิ 1. Anthropocene Anthropologyซึ่งเป็นแนวคิดนที่มุ่งเน้นศึกษาผลกระทบของมนุษย์ที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและโลกในยุค Anthropocene หรือยุคที่มนุษย์มีอิทธิพลสูงสุดต่อภูมิศาสตร์และระบบนิเวศทั่วโลก นักมานุษยวิทยาในสาขานี้จะศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี รวมถึงการปรับตัวของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน 2. Digital Anthropology แนวคิดนี้ศึกษาผลกระทบของเทคโนโลยีดิจิทัลและสื่อสังคมออนไลน์ที่มีต่อวัฒนธรรมและสังคมมนุษย์ การวิจัยในสาขานี้ครอบคลุมตั้งแต่พฤติกรรมออนไลน์ การสร้างตัวตนในโลกดิจิทัล ไปจนถึงการใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน 3. Medical Anthropology and Global Health มานุษยวิทยาทางการแพทย์และสุขภาพโลกมีการพัฒนาต่อเนื่อง โดยเน้นศึกษาการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ ความไม่เท่าเทียมทางสุขภาพ และผลกระทบของนโยบายสุขภาพต่อประชากรต่างๆ ในระดับโลก 4. Multispecies Ethnography แนวคิดนี้เน้นการศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ โดยมองว่ามนุษย์ไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวที่มีความสำคัญ แต่สัตว์ พืช และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ก็มีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศและวัฒนธรรมเช่นกัน 5. Posthumanism and Transhumanism แนวคิดนี้ศึกษาการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการพัฒนาเทคโนโลยี เช่น การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความสามารถของมนุษย์ หรือการปรับตัวทางเทคโนโลยีที่ทำให้ขอบเขตระหว่างมนุษย์และเครื่องจักรเริ่มเลือนลางลง 6. Affective and Emotional Anthropology แนวคิดนี้มุ่งเน้นศึกษาความรู้สึก อารมณ์ และการแสดงออกทางอารมณ์ในสังคมต่างๆ รวมถึงผลกระทบของอารมณ์ที่มีต่อการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมและวัฒนธรรม แนวคิดเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการขยายตัวและพัฒนาของมานุษยวิทยาในสาขาต่างๆ เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน แนวคิดที่ผมสนใจและอยากทำความเข้าใจมากขึ้นคือ Multispecies Ethnography ซึ่งได้รับความสนใจมากขึ้นในมานุษยวิทยา และมีหนังสือหลายเล่มที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่สนใจแนวคิดนี้ อาทิ 1. The Mushroom at the End of the World: On the Possibility of Life in Capitalist Ruins โดย Anna Lowenhaupt Tsing โดยเน้นศึกษาชีวิตของเห็ดมัตสึตาเกะ (Matsutake) และแสดงให้เห็นถึงการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในสภาพแวดล้อมที่ถูกทำลายจากระบบทุนนิยม หนังสือเล่มนี้ผมเคยรีวิวไปแล้ว 2. หนังสือ When Species Meet ของ Donna J. Haraway โดย Donna Haraway เป็นหนึ่งในนักวิชาการที่มีอิทธิพลในแนวคิด Multispecies Ethnography หนังสือเล่มนี้สำรวจความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสัตว์ โดยเฉพาะในบริบทของการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการทำงานร่วมกันของสายพันธุ์ต่าง ๆ ( ครั้งหน้าจะมารีวิวดู) แต่หนังสือที่ผมจะหยิบยกมาครั้งนี้คือ หนังสือ How Forests Think: Toward an Anthropology Beyond the Human โดย Eduardo Kohn หนังสือเล่มนี้มุ่งเน้นไปที่การศึกษาเกี่ยวกับการคิดของป่าฝนในประเทศเอกวาดอร์ โดยพยายามทำความเข้าใจถึงวิธีที่ป่าและสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ สื่อสารและสร้างความหมายร่วมกัน หนังสือ How Forests Think: Toward an Anthropology Beyond the Human โดย Eduardo Kohn ถือเป็นหนังสือที่โดดเด่นในวงการมานุษยวิทยา เนื่องจากมุ่งเน้นการศึกษาชีวิตที่อยู่เหนือขอบเขตของมนุษย์แบบดั้งเดิม โดยสำรวจการสื่อสารและการรับรู้ของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เช่น สัตว์และพืช หนังสือเล่มนี้พยายามนำเสนอวิธีคิดที่ไม่เพียงแต่รวมมนุษย์ แต่ยังรวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในการสร้างความหมายและการสื่อสารในโลกที่เราอาศัยอยู่ โดยสาระสำคัญที่ Kohn นำเสนอก็คือ แนวคิดเรื่อง “การคิดของป่า” Kohn ใช้แนวคิดว่า "ป่าคิดได้" เพื่ออธิบายว่าการสร้างความหมายและการสื่อสารไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ในสิ่งมีชีวิตที่เป็นมนุษย์ แต่ยังรวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่มีวิธีการสื่อสารและสร้างความหมายที่ซับซ้อนในสภาพแวดล้อมของพวกเขา งานศึกษาของ Kohn ถือเป็นการขยายขอบเขตของมานุษยวิทยา หนังสือเล่มนี้ได้ท้าทายขอบเขตดั้งเดิมของมานุษยวิทยา โดยเสนอให้เราเปิดรับการศึกษาการรับรู้และการสื่อสารของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ นอกเหนือจากมนุษย์ ซึ่งเรียกว่ามานุษยวิทยาที่เลยจากความเป็นมนุษย์ "Anthropology beyond the human" แนวคิดเรื่อง ความหมายและสัญญาณ โดย Kohn เน้นย้ำว่าสัญญาณและสัญลักษณ์ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือของมนุษย์ในการสื่อสาร แต่สัตว์และพืชก็สามารถสร้างและตีความสัญญาณเหล่านี้ได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น สัตว์ในป่าฝนอาจใช้เสียงและกลิ่นเพื่อสื่อสารกัน โดยที่มนุษย์อาจไม่เข้าใจหรือไม่สามารถรับรู้ได้อย่างเต็มที่ ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจที่ Kohn หยิบยกมาคือ ตัวอย่างจากป่าอเมซอน โดย Kohn ใช้ตัวอย่างจากประสบการณ์ของเขาในป่าอเมซอนที่เอกวาดอร์ โดยเขาได้ใช้เวลายาวนานในการศึกษาชีวิตของชาว Runa และการปฏิสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับสัตว์ป่า เช่น เสือจากัวร์ ในป่าฝน โดยพบว่าชาว Runa มองเสือจากัวร์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความคิด มีจิตใจ และสามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้ ซึ่งการรับรู้แบบนี้ทำให้พวกเขาสามารถปรับตัวและอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างสมดุล มุมมองเกี่ยวกับการวิเคราะห์เสือจากัวร์ในฐานะผู้ล่าและผู้ถูกล่า ซึ่งชาว Runa เชื่อว่าเสือจากัวร์สามารถ "มองเห็น" และ "อ่าน" พฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์อื่นๆ ได้ เช่น หากมนุษย์มองเสือจากัวร์ในฐานะผู้ล่า เสือจากัวร์ก็อาจมองมนุษย์ในลักษณะเดียวกัน ในทางกลับกัน ถ้ามนุษย์มีท่าทีที่แสดงออกถึงความเคารพ เสือจากัวร์ก็อาจไม่มองว่ามนุษย์เป็นภัยคุกคาม นอกจากนี้ยังเป็นการสะท้อนให้เห็นสัญญาณและการสื่อสารด้วย เช่น เสือจากัวร์อาจใช้เสียงคำราม กลิ่น หรือรอยเท้าเป็นสัญญาณในการสื่อสารกับมนุษย์และสัตว์อื่น ๆ ชาว Runa เชื่อว่าสัญญาณเหล่านี้ไม่เพียงแค่สื่อถึงการปรากฏตัวของเสือจากัวร์เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความคิดหรือความตั้งใจของมัน เช่น การส่งสัญญาณเตือน หรือการบอกให้รู้ถึงอาณาเขตของมัน ภายใต้การตีความของมนุษย์ โดย ชาว Runa ต้องอาศัยความสามารถในการตีความสัญญาณเหล่านี้เพื่อป้องกันตนเองจากการเป็นเหยื่อของเสือจากัวร์ เช่น พวกเขาอาจต้องระมัดระวังมากขึ้นเมื่อพบรอยเท้าที่แสดงว่ามีเสือจากัวร์อยู่ใกล้ๆ หรืออาจต้องการแสดงท่าทีที่ไม่เป็นอันตรายเพื่อไม่ให้เสือจากัวร์มองว่าพวกเขาเป็นศัตรู หรือตัวอย่างของKohn เกี่ยวกับเรื่องนก ที่เชื่อมโยงกับแนวคิดเรื่องการรับรู้และการสื่อสารของนกในป่าฝนโดยนกในป่าฝนใช้เสียงในการสื่อสารระหว่างกัน และเสียงเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความเข้าใจระหว่างนกแต่ละตัว ตัวอย่างเช่น การส่งเสียงร้องอาจเป็นการเตือนถึงอันตราย หรือเป็นการประกาศอาณาเขต เสียงเหล่านี้จึงเป็นส่วนสำคัญในการรับรู้และการตอบสนองต่อสภาพแวดล้อม นกเหล่านี้มีการรับรู้ผ่านสายตาเช่นเดียวกับมนุษย์ ในขณะเดียวกันนกหลายชนิดมีการรับรู้ทางสายตาที่แตกต่างจากมนุษย์ เช่น ความสามารถในการมองเห็นแสงอัลตราไวโอเลต ซึ่งทำให้พวกมันสามารถมองเห็นรูปแบบสีและสัญลักษณ์ที่มนุษย์ไม่สามารถรับรู้ได้ การรับรู้เช่นนี้ช่วยให้นกสามารถหาคู่ หาน้ำหวานจากดอกไม้ หรือหลีกเลี่ยงอันตรายได้ดียิ่งขึ้น การตีความของ Kohn ชี้ให้เห็นว่าการรับรู้ของสัตว์เหล่านี้เป็นการสร้างความหมายและการสื่อสารที่ซับซ้อนซึ่งไม่จำกัดอยู่แค่ในมนุษย์เท่านั้น การทำความเข้าใจการรับรู้และการสื่อสารของสัตว์สามารถช่วยให้เรามีความเข้าใจในโลกธรรมชาติอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น และเห็นถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการยอมรับและพยายามทำความเข้าใจการรับรู้ของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เพื่อที่จะเข้าใจโลกและความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น แนวคิดเรื่องการรับรู้ของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ Kohn ยังกล่าวถึงว่าการรับรู้ของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ อาจแตกต่างจากมนุษย์อย่างสิ้นเชิง เช่น วิธีที่สัตว์มองเห็นโลกหรือประสบการณ์ทางอารมณ์ของพวกมัน ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจและการปฏิบัติตนในสภาพแวดล้อมนั้น ๆ Kohn สรุปว่าเพื่อที่จะเข้าใจโลกอย่างแท้จริง มนุษย์ต้องพิจารณาวิธีการรับรู้และสื่อสารของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ไม่เพียงแต่ผ่านกรอบความคิดของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังต้องพยายามเข้าใจการดำรงชีวิตและการสื่อสารของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจากมุมมองของพวกเขาเองด้วย แนวคิดนี้ทำให้ "How Forests Think" เป็นงานวิจัยที่โดดเด่นและสำคัญในแวดวง Multispecies Ethnography และ Anthropology Beyond the Human ผมจะใช้เป็นพื้นฐานในการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในป่าในอนาคตของผม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...